ตอนที่ 212.2 เต๋าสูงหนึ่งคืบ

บทที่ 212.2 เต๋าสูงหนึ่งคืบ
โดย

เฮ้อเสี่ยวเหลียงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง เอ่ยถามว่า “ที่อาจารย์บอกว่าจะเก็บไว้บอกใน ‘ช่วงสุดท้าย’ หมายความว่าอย่างไร? การผูกสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับเฉินผิงอันก็มีความหมายที่ลึกซึ้งด้วยหรือ?”

ลู่เฉินพยักหน้ารับ “แน่นอน หากเป็นคนทั่วไป เจ้าไม่ใช่เฮ้อเสี่ยวเหลียง เขาไม่ใช่เฉินผิงอัน ถ้าเช่นนั้นการที่ข้าผู้เป็นนักพรตลำบากเป็นผู้เฒ่าดวงจันทร์เชื่อมด้ายแดงในครั้งนี้ก็จะดูไม่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย ฉีจิ้งชุนจับคู่ยวนยางมั่วซั่วก็ต้องรับผิดชอบ หวังว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนั้นจะสามารถใช้ใจตนแบกขุนเขาไว้บนไหล่ได้ ส่วนสองฝั่งของด้ายแดงในมือข้าผู้เป็นนักพรตก็คือคนสองคน และยิ่งเป็นกระจกที่ใสสะอาดไร้มลทินสองบานที่ส่องสะท้อนกันและกัน ไม่ใช่แค่ให้เฉินผิงอันมาแบ่งโชควาสนาของเจ้าไปเท่านั้น เฉินผิงอันยังช่วยให้เจ้าผ่านด่านความรักไปได้ด้วย”

ลู่เฉินหันไปมองยังทิศทางที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงปรากฏตัวก่อนหน้านี้ “ใต้หล้านี้มีคนประหลาดและคนที่พิเศษหมื่นหมื่นพัน (เป็นจำนวนที่แสดงถึงปริมาณที่มากเกินกว่าจะบอกเป็นตัวเลขที่แน่ชัด) นิสัยอย่างเฉินผิงอัน ข้าผู้เป็นนักพรตก็เคยเห็นมาเป็นพันพันหมื่น เขาอาจจะไม่ได้พิเศษอะไรนัก แต่กลับมีทั้งความคล้ายคลึงและทั้งไม่คล้ายนิสัยของเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง มีการเชื่อมโยงที่มองไม่เห็นอย่างพอเหมาะพอเจาะ ดังนั้นครั้งแรกที่พวกเจ้าพบหน้ากัน คนทั้งสองต่างก็มีสถานะที่พิเศษ แต่เจ้าก็ยังคงมองออกถึง ‘วาสนาบางเบา’ ระหว่างกัน อันที่จริงไม่ใช่ว่าพวกเจ้ามีวาสนาที่น้อยนิดต่อกัน เพียงแค่เพราะตบะของเจ้ามีจำกัด จึงมองออกอย่างตื้นเขิน”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงถามเบาๆ “อาจารย์ นี่ก็คือการทดสอบอีกหรือ?”

ลู่เฉินหัวเราะร่าเสียงดัง “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าแล้ว ยังจะต้องทดสอบอะไรอีก? ทำไม อยากจะกลายเป็นผู้สืบทอดสายตรงของท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋า ได้นั่งทัดเทียมกับลู่เฉินในรวดเดียวถึงจะยอมเลิกราอย่างนั้นรึ?”

สายตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงกระจ่างใส ส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้ามิกล้าคิดเช่นนั้นหรอก”

ลู่เฉินยิ้มตาหยี “ในเมื่อเป็นอาจารย์ ก็ควรจะมอบของขวัญพบหน้าให้กับลูกศิษย์คนใหม่สักชิ้น ของขวัญชิ้นนี้ไม่เล็ก อีกทั้งยังเป็น ‘เต๋า’ เล็กๆ น้อยๆ ที่อาจารย์ของเจ้าได้มาอย่างยากลำบากจากอาจารย์ปู่ก่อนหน้าที่จะลงมาที่นี่”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงตะลึงไปเล็กน้อย

เพิ่งจะตัดขาด ‘สะพาน’ ที่เชื่อมโยงกับเฉินผิงอันไปบนเรือคุน ตนก็กลับกลายมาเป็นเฮ้อเสี่ยวเหลียงคนที่มีพรสวรรค์ค้ำฟ้าอีกแล้วหรือ?

ดูเหมือนลู่เฉินจะมองความคิดในใจของแม่ชีสาวหน้าตางดงามออก จึงหัวเราะเสียงดัง ตบป้าบลงไปบนโต๊ะ “ข้าผู้เป็นนักพรตจะพาเจ้าไปเดินบนสะพานแห่งกาลเวลารอบหนึ่ง เดินทวนกระแสขึ้นไป!”

ต่อให้ถ้ำสวรรค์หลีจูจะห้ามใช้เวทคาถาทุกชนิด แต่ก็ยังมีกฎใหญ่ของวิถีสวรรค์ที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือสี่ฤดูกาลใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง หนาว และเกิดแก่เจ็บตาย

ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้วิชาอภินิหารของเจ้าลัทธิลู่เฉิน

สี่ฤดูกาลผันเปลี่ยนเป็นหนาว ใบไม้ร่วง ร้อน ใบไม้ผลิ และตาย เจ็บ แก่ เกิด

เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ร่างยังอยู่ในโรงเรียน แต่กลับรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฟ้าดินไปชั่วขณะ มองภาพต่างๆ ที่เปล่งประกายหลากหลายสีสันย้อนกลับผ่านไป สายตาของแม่ชีโฉมงามเจิดจ้าระยิบระยับ

นี่ก็คือเส้นทางที่นางอยากเดิน!

ลู่เฉินยิ้มบางๆ “เดินตามมาด้านหลังข้าผู้เป็นนักพรต ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง จะพาเจ้าไปพบคนสองคน”

คนทั้งสองเริ่มออกเดิน ด้านหลังคือเสียงท่องหนังสือดังกังวานของเด็กนักเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ เด็กนักเรียนทั้งหลายต่างก็ท่องหนังสือย้อนหลัง เพียงแต่ว่าอาจเป็นเพราะพันธนาการบางอย่าง หรือฉีจิ้งชุนมีการแลกเปลี่ยนอะไรกับมรรคาจารย์เต๋า ใบหน้าของพวกเด็กๆ จึงปรากฏให้เห็นเด่นชัด เสียงที่ดังเข้าหูแจ่มชัดก้องกังวาน แต่อาจารย์สอนหนังสือที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขากลับไม่อยู่แล้ว ราวกับว่าหายไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างสิ้นเชิงแล้ว

เดินผ่านตรอกซอกซอยต่างๆ ไปตลอดทาง เฮ้อเสี่ยวเหลียงตามติดอยู่ด้านหลังนักพรตสวมกวานดอกบัว กลัวว่าหากตนเดินพลาดไปจะหลงทางอยู่ในนี้

สุดท้ายลู่เฉินหยุดเดิน บอกนางว่ารอสักครู่ เฮ้อเสี่ยเหลียงไม่กล้าขยับ จึงยืนรออยู่ที่เดิม

ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ โลกพลิกกลับ ทุกอย่างกลับคืนมาเป็นตามขั้นตอนปกติ แม่น้ำแห่งกาลเวลาเริ่มไหลรินไปอีกครั้ง

หลังจากนั้นลู่เฉินก็พานางมาที่แผงใกล้ๆ เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์เจ้าลัทธิท่านนี้ถึงพาตนมาที่นี่ หรือว่าแผงนี้มีอะไรผิดปกติ? เฮ้อเสี่ยวเหลียงเพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาท่าทางซื่อๆ คนหนึ่งกำลังยืนขายถังหูลู่

แล้วเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็เห็นเด็กผอมแห้งผิวดำเกรียมคนหนึ่งเดินมาช้าๆ เขามาหยุดยืนอยู่ข้างกายนาง มองไปทางแผงที่กำลังขายดีแล้วกลืนน้ำลาย รอจนคนซาไปจากแผงนั้นแล้ว เด็กชายก็เดินจากไปเงียบๆ

ลู่เฉินดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เวลากลางวันและม่านราตรีหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

แผงนั้นยังคงทำการค้าเป็นปกติทุกวัน เด็กชายคนนั้นหากไม่กลับมาจากเก็บสมุนไพรบนภูเขา หรือกลับมาจากจับปลาริมลำธาร ไม่ก็ช่วยตักน้ำให้เพื่อนบ้าน ล้วนจะต้องเดินผ่านแผงนี้ทุกครั้ง

ในที่สุดมีวันหนึ่ง เดิมทีเด็กชายควรขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพื่อแลกเอาเงินมา ต่อให้จะแบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่เดินมาถึงหน้าตรอกหนีผิงแล้ว แต่พอคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ตนโชคดีเก็บสมุนไพรที่มีราคามาได้หลายต้น ถังข้าวสารน้อยในบ้านมีข้าวสารบรรจุเต็มเกินครึ่งถังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหิวโหยไปอีกสิบวัน ดังนั้นเด็กชายจึงเงยหน้ามองสีท้องฟ้าที่อึมครึมราวกับกำลังบอกตัวเองว่าหากฝนตนลงมา ต่อให้ขึ้นเขา ไปได้ครึ่งทางก็คงต้องกลับมาก่อน

ดังนั้นเด็กชายจึงวิ่งกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษ ปลดตะกร้าไม้ไผ่ลง หยิบเงินเหรียญทองแดงสองสามเหรียญมาจากไหเล็กที่วางไว้ในมุมกำแพง จากนั้นก็วิ่งตะบึงออกจากตรอกหนีผิงไปที่ร้านนั้น

ทว่าขณะที่เด็กชายขยับเข้าไปใกล้แผงขายถังหูลู่มากขึ้นทุกขณะ ฝีเท้าของเขากลับยิ่งหนักอึ้ง ยิ่งวิ่งช้าลงเรื่อยๆ เป็นเหตุให้ทั้งที่ยังอยู่ห่างจากร้านอีกไกลมาก เด็กชายก็หยุดยืนนิ่ง สีหน้าน่าขันเหมือนคนที่ความคิดในหัวตีกันยุ่งเหยิง มือเขากำเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนั้นเอาไว้แน่น

สุดท้ายเด็กชายก็เดินขยับไปอีกสองสามก้าว นั่งยองลง แล้วเงยหน้ามองพุทราเชื่อมสีแดงสดปลั่งเคลือบน้ำตาลมันวาวอย่างเหม่อลอย

ลู่เฉินและเฮ้อเสี่ยวเหลียงต่างก็ยืนอยู่ข้างกายเด็กชาย

ลู่เฉินถามยิ้มๆ “หากเอาตัวไปวางไว้ในมุมของเขา เจ้าคิดว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรถึงจะเรียกว่าเป็นอารมณ์ของคนปกติ?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงตอบอย่างไม่ลังเล “คิดว่าหากได้กินถังหูลู่โดยไม่ต้องเสียเงินก็คงดี”

ลู่เฉินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “มารอดูกัน”

หลังจากนั้นพ่อค้าแผงลอยที่ลูกค้าเพิ่งจากไป กำลังอยู่ในช่วงพักก็คล้ายจะมองเห็นเด็กชายที่เดินผ่านร้านของตนหลายครั้ง แต่กลับไม่เคยซื้อถังหูลู่เลยสักครั้ง ชายฉกรรจ์ครุ่นคิด ทรุดตัวนั่งลงบนม้านั่งเงียบๆ สุดท้ายเหมือนจะเกิดความสงสารจึงลุกขึ้นยืน กวักมือเรียกเด็กคนนั้นแล้วพูดว่า “มาๆ ข้าจะเก็บร้านกลับบ้านแล้ว ยังเหลือถังหูลู่ที่ขายไม่ออก หากเจ้าอยากกิน ข้ายกให้เจ้าไม้หนึ่งได้ ไม่คิดเงิน!”

ชายฉกรรจ์ยิ้มซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม ไม่ต่างจากชาวไร่ชาวนาทั่วไป เขาดึงถังหูลู่มาไม้หนึ่ง แกว่งให้เด็กชายคนนั้นดู “เอาไปเถอะ”

ทว่าเด็กชายกลับรีบลุกขึ้นยืน ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้ววิ่งหนีไป

เฮ้อเสี่ยวเหลียงสงสัยเล็กน้อย หากนี่ก็คือเฉินผิงอันตอนเด็ก การที่เขาเลือกจะทำอย่างนี้ อันที่จริงนางก็ไม่แปลกใจนัก

ลู่เฉินชี้ไปยังชายฉกรรจ์ที่ขายถังหูลู่คนนั้น “คนผู้นี้คือคนสำนักหยินหยางที่ชื่อเสียงไม่เด่นชัดซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยกำลังของเขาคนเดียวก็สามารถงัดข้อกับสกุลลู่สำนักหยินหยางได้ทั้งหมด นับว่าเป็นคนประหลาดที่ร้ายกาจอย่างมาก แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังไม่สามารถคาดเดาความคิดของคนผู้นี้ได้ทั้งหมด”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ่งสงสัย

ลู่เฉินเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ หลังจากนี้ต่างหาก”

ลู่เฉินยื่นฝ่ามือออกมาแล้วลูบปัดช้าๆ จากบนลงล่าง ข้างกายเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็มี ‘เฉินผิงอัน’ ตอนเด็กปรากฏขึ้นมาคนหนึ่ง

เด็กคนนี้วิ่งไปรับถังหูลู่ที่ไม่ต้องจ่ายเงินไม้นั้นมาแล้ววิ่งกลับตรอกหนีผิงอย่างเริงร่า มีความสุขอย่างมาก พอได้กินถังหูลู่แล้วก็ติดใจ ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็วิ่งไปที่ร้านเป็นครั้งที่สอง แล้วก็ได้ถังหูลู่ที่ไม่ต้องจ่ายเงินมาอีกไม้ เด็กชายยากจนที่เพิ่งจะคุ้นเคยกับความยากลำบากเริ่มเกิดความเกียจคร้าน มักจะนึกถึงถังหูลู่เหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง ยาสมุนไพรที่เก็บมาได้ตอนขึ้นภูเขาน้อยกว่าเวลาปกติ…เป็นอย่างนี้วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เด็กหนุ่มไม่ได้กลายมาเป็นคนเลวร้ายอะไร ทว่าในสายตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงเขากลับไม่ใช่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เจอกันครั้งแรกบนหินหลังควายคนนั้นอีกแล้ว

หลังจากนั้นทุกอย่างก็ย้อนกลับไปที่เดิม ลู่เฉินเอาฝ่ามือปาดลงหนึ่งครั้ง ผิงอันน้อยปรากฏตัวอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้รับถังหูลู่มาเปล่าๆ แต่เลือกที่จะจ่ายเงินซื้อมัน และนับแต่นั้นมาเด็กชายก็ยิ่งเต็มใจทนรับกับความลำบากมากกว่าเดิมเพื่อหาเงินมาให้ได้มากๆ แต่เขากินถังหูลู่จนเบื่อแล้ว จึงหันไปชอบขนมแทน เมื่อเด็กชายคนนี้เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่ม ในสายตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียง เฉินผิงอันคนนี้ก็คล้ายว่าจะไม่ปกตินัก

เมื่อลู่เฉินยกฝ่ามือขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ได้เห็นเฉินผิงอันคนแล้วคนเล่า รวมไปถึงสภาพการณ์ในชีวิตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปหลากหลาย

ถึงท้ายที่สุดเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ลู่เฉินยิ้ม “กลับกันเถอะ”

คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง เดินไปยังโรงเรียน

ภาพเหตุการณ์ในเวลานี้ แท้จริงแล้วกลับคล้ายภาพที่ฉีจิ้งชุนเคยพาเด็กหนุ่มที่ไปที่ต้นไหวโบราณเพื่อขอใบไหวมาใบหนึ่งซึ่งเคยเกิดขึ้นจริงในแม่น้ำแห่งกาลเวลา

ลู่เฉินที่เดินสองมือไพล่หลังนำอยู่ด้านหน้าถามว่า “คิดเข้าใจแล้วหรือยัง?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงตอบเสียงเบา “มีเพียงรักษาจิตใจดั้งเดิม ถึงจะเป็นคนคนเดิม”

ลู่เฉินอืมรับหนึ่งทีแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

เฮ้อเสี่ยวเหลียงถาม “ศิษย์คิดผิดไป หรือว่ายังมองไม่สูงไม่ไกลมากพอ?”

ลู่เฉินพลันหันหน้ามายิ้มให้ “เปล่าสักหน่อย เจ้าคิดได้ดีมากแล้ว สิ่งเดียวที่ยังไม่พอก็คือ ลูกศิษย์อย่างเจ้าไม่ควรมองข้ามเงาดำใต้โคมไฟ มองไม่เห็นวิชาอภินิหารที่ค้ำฟ้าของอาจารย์เจ้าสิ”

……

ในขณะที่ลู่เฉินพาเฮ้อเสี่ยวเหลียงชมการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายของชีวิตคน ในบางช่วงบางตอนของแม่น้ำแห่งกาลเวลา หลังจากเด็กนักเรียนเลิกเรียนแล้ว ชายชาวลัทธิขงจื๊อที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลานั่งเล่นหมากล้อมอยู่เพียงลำพังในห้อง ใบหน้าของเขาแจ่มชัด ไม่พร่าเลือนอีกต่อไป ‘ตอนนี้’ ของลู่เฉินกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง หรือควรจะพูดว่า ‘ปีนั้น’ ของถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี ฉีจิ้งชุนโน้มตัวลงคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา เอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ “ก็แค่นี้เอง”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset