หญิงชราที่ใบหน้าไร้สีเลือดหลังงองุ้ม นางกำลังจ้องมองมายังคนทั้งสี่ที่อยู่นอกประตูเงียบๆ
บัณฑิตที่เคาะประตูเป็นคนขี้ขลาดมาก เห็นหญิงชราท่าทางน่าสะพรึงกลัวก็ถึงกับไม่กล้ามองสบตานางตรงๆ อีกทั้งยังไปหลบอยู่ด้านหลังเพื่อนตัวเอง รู้สึกเพียงว่าสวรรค์ไม่เหลือหนทางให้เดิน ชีวิตช่างยากลำบาก
บัณฑิตคนนี้ชอบอ่านตำราของร้อยเมธีมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะอ่านเจอเรื่องของภูตผีปีศาจที่มีแต่ความแปลกประหลาดพิลึกมหัศจรรย์จากปลายพู่กันของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียง เรื่องราวและตัวละครในตำราเหล่านั้น ส่วนใหญ่จะสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด หนึ่งคือพวกที่ชอบประทินโฉมงดงาม คล้ายคลึงกับปีศาจจิ้งจอกที่หลงรักบัณฑิต อีกอย่างก็คือแบบบ้านตรงหน้านี้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผี ต่อให้ตอนที่เข้าพักตอนกลางคืน มองปราดๆ จะเห็นเค้าโครงเป็นบ้าน เห็นเสาคานแกะสลัก เห็นภาพวาดติดประดับ แต่พอโชคดีรอดมาได้จนถึงฟ้าสางแล้วกำลังจะจากไป กลับกลายเป็นว่าบ้านหลังนั้นเปลี่ยนมาเป็นสุสานร้างที่จิ้งจอกและกระต่ายวิ่งเข้าวิ่งออก
ลมฝนพัดโชย อากาศหนาวเย็นสะท้านไปถึงกระดูก บัณฑิตที่ถือคบเพลิงกล้าหาญมากกว่าสหายที่เดินทางมาด้วยกัน เขากระเด้งหีบหนังสือที่สะพายอยู่ด้านหลังให้เข้าที่หนึ่งครั้ง ถูมือหาความอบอุ่นพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “ท่านป้า ให้พวกเราค้างแรมสักคืนได้หรือไม่? ฝนข้างนอกนี้ตกหนักมาก สหายของเราคนหนึ่งทนหนาวไม่ไหวจนหมดสติไปแล้ว หากยังไม่มีสถานที่ให้หาไออุ่น จะผ่านพ้นคืนนี้ไปได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก หวังว่าท่านป้าจะช่วยเหลือ คิดเสียว่าช่วยชีวิตคนหนึ่งครั้งได้บุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น”
หญิงชราสีหน้าเคร่งเครียด พูดด้วยภาษาถิ่นที่ยากจะฟังเข้าใจคล้ายกำลังสอบถามอะไรบางอย่าง
ใบหน้าของบัณฑิตเต็มไปด้วยความขมขื่น ได้แต่อธิบายด้วยภาษาถิ่นแบบเดียวกับหญิงชรา
หญิงชรากลอกตาที่เหมือนดวงตาปลาตายคู่นั้นหันมาจับจ้องเฉินผิงอัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป “เป็นผู้ฝึกยุทธ์รึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หญิงชรามองไปทางนักพรตหนุ่มที่เฉินผิงอันแบกไว้บนหลัง ด้านหลังของเขามีด้ามกระบี่ไม้ท้อโผล่ออกมา หลังจากหมดสติไป ลมหายใจของนักพรตจงซานกลับทอดยาวหนักแน่นยิ่งกว่าตอนที่ยังตื่นมีสติ นี่น่าจะเป็นความมหัศจรรย์ของผู้ฝึกลมปราณ ไม่ว่าจะอยู่ในจุดใดล้วนสามารถหวนกลับคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม อยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คนได้เสมอ หญิงชราเห็นกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นแล้วก็หรี่ตาลง “เพื่อนของเจ้าคือนักพรตฝึกวิชาลัทธิเต๋า?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอีกครั้ง
สุดท้ายหญิงชรามองไปยังบัณฑิตถือร่มที่ท่าทางหวาดกลัวคนนั้น “เป็นบัณฑิตรึ?”
บัณฑิตที่ตรงเอวห้อยหยกมันแพะส่ายหน้า “ไม่มีตำแหน่งเคอจวี่ ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิต”
หญิงชรากระตุกมุมปาก เบี่ยงไหล่หลีกทางให้ “ในเมื่อต่างก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเข้ามาเถอะ จำไว้ว่าหลังเข้ามาแล้ว แค่พักผ่อนอยู่ในห้องของใครของมันก็พอ อย่าเดินไปไหนเพ่นพ่าน หากรบกวนนายท่านของข้าก็ต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง ในห้องมีถ่านและกระถางไฟ คุณชายทุกท่านใช้ได้ตามสะดวก ไม่ต้องถามให้มากความ ทุกคนที่มาเยือนล้วนถือเป็นแขก เจ้านายของข้าไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยด้วยเรื่องแค่นี้”
ตอนที่หญิงชราปิดประตู นางกวาดตามองไปรอบด้านครั้งหนึ่ง จากนั้นก็งับประตูใหญ่ปิดลงอย่างรวดเร็ว ประตูใหญ่ที่หนาหนัก เมื่อมาอยู่ในมือของชรากลับปิดลงดังปังอย่างง่ายดายราวกับเบาดุจขนนก
บ้านหลังนี้ไม่เล็กเลยจริงๆ น่าจะมีลานบ้านสี่ชั้น คนทั้งสี่ซึ่งรวมไปถึงเฉินผิงอันถูกจัดให้เข้าพักในเรือนใหญ่ชั้นสอง จากนั้นหญิงชราก็บอกกับพวกเขาว่าห้ามเดินไปยังเรือนที่อยู่ทางด้านหลัง ชายคาที่ตวัดงอนของตัวเรือนมีรูปสัตว์มงคล นก บุปผาและลายน้ำลายเมฆ ดอกไม้ที่ฉลุตรงบานหน้าต่างงามประณีต บนพื้นในตัวเรือนปูด้วยก้อนอิฐสีเขียวกับสีแดง ทางเดินหลักและทางเดินรองแยกจากกันอย่างชัดเจน มีระเบียบเป็นขั้นเป็นตอน
ระเบียงทางเดินเชื่อมโยงรอบห้องหลักและห้องรอง เพื่อสะดวกให้เดินได้สบายๆ ในช่วงเวลาที่ฝนตกอย่างวันนี้
ร่างของหญิงชราหายเข้าไปในระเบียงทางเดินแคบๆ ที่กั้นอยู่ระหว่างลานบ้านชั้นที่สองกับชั้นที่สาม มองไปรอบด้านมีแต่ความมืดมิด พอสายฟ้าเปล่งวาบขึ้นมา บัณฑิตสองคนยังไม่ถอนสายตากลับจึงมองเห็นใบหน้ายิ้มๆ ที่ซีดขาวของหญิงชราเข้าพอดี ทำเอาคนทั้งสองตกใจอกสั่นขวัญผวา รีบเดินเข้าไปยังห้องที่อยู่ติดกัน บัณฑิตสองคนที่แซ่ฉู่กับแซ่หลิวไม่กล้าแยกย้ายกันไปนอนคนละห้อง จำต้องมารวมตัวอยู่ในห้องเดียวกันชั่วคราว บัณฑิตแซ่หลิววางร่มกระดาษน้ำมันลง จุดตะเกียงอ่านตำราของอริยะนักปราชญ์เพื่อใช้สิ่งนี้มาเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง
บัณฑิตแซ่ฉู่ใจกล้ามากกว่าเล็กน้อย หาไม่แล้วคงไม่มีทางรู้ว่ามีบ้านตั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เขาวางคบเพลิงลง เริ่มจุดไฟในกระถางเพลิง หยิบแท่งจุดไฟที่ใช้กระดาษน้ำมันห่ออย่างแน่นหนาออกมาจากในหีบหนังสือ ไม่นานก็จุดไฟนำมาติดถ่าน เพียงชั่วครู่ในห้องก็อบอุ่นขึ้น เขาหันมองไปรอบกาย ยื่นมือวางลงบนผ้าปูเตียง กลิ่นเชื้อราอับชื้นบางๆ โชยมาจากผ้าห่ม นี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก ปีนี้หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ แคว้นไฉ่อีก็มีฝนตกอึมครึมมาโดยตลอด แทบไม่มีวันใดที่แดดออกแรงๆ คงไม่ดีหากจะเอาเรื่องนี้ไปกล่าวโทษเจ้าของบ้าน แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอแค่มีสถานที่ให้พักเท้าก็ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายมากแล้ว
บัณฑิตแซ่ฉู่มัดผมด้วยผืนผ้าสีดำ เรือนกายสูงเพรียว หน้าตาหล่อเหลา ระหว่างหว่างคิ้วมีกลิ่นอายของความเด็ดเดี่ยวเที่ยงธรรม เขามองไปรอบๆ แล้วสังเกตเห็นว่ารูปแบบของหน้าต่างมีหลากหลาย ทั้งประณีตสวยงามทั้งมีความหมายแฝงที่ดี มีการแกะสลักเป็นรูปค้างคาว ปลาหลีและเห็ดหลินจือ ฯลฯ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงตระกูลบัณฑิตผู้มีความรู้เท่านั้นถึงจะมีความคิดเช่นนี้ เขาพลันขยับเข้ามาใกล้หน้าต่าง เพ่งสายตามองไป พบว่าบนแผ่นไม้ที่ค่อนข้างหนาระหว่างหน้าต่างสองบานคล้ายจะมีร่องรอยหมึกสีชาดหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ตัวอักษรกระดำกระด่าง พร่าเลือนไม่ชัดเจน แต่ยังพอจะมองออกว่าเป็นตัวอักษรที่ใช้เขียนยันต์
เมื่อในห้องเริ่มอบอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ความกล้าของบัณฑิตแซ่หลิวก็เพิ่มมากขึ้นอีกนิด เขาจึงวางตำราในมือลง เห็นว่าสหายเหมือนกำลังจ้องมองไปที่หน้าต่างจึงเงยหน้ามองตามสายตาของอีกฝ่ายไป ผลกลับได้เห็นใบหน้าแก่ชราที่สาดสะท้อนไปด้วยสีแดงจากผนังนอกหน้าต่าง ตามมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ดึกมากแล้ว หวังว่าคุณชายทั้งสองจะรีบพักผ่อน”
หญิงชราที่ถือโคมไฟลาดตระเวนปรากฏกายกะทันหันแบบนี้ เกือบจะทำให้บัณฑิตสองคนตกใจตายทั้งเป็น
หญิงชราเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เด็กหนุ่มสะพายกรอบกระบี่ในห้องนั้นก็จุดตะเกียงอ่านหนังสืออยู่เหมือนกัน มองมาที่หน้าต่างเหมือนกัน แต่กลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจแบบนี้ หญิงชราส่ายหน้า เดินจากไปอย่างเชื่องช้าพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “จะอย่างไรความกล้าของบัณฑิตก็มีน้อยกว่า”
ในห้องฝั่งตรงข้าม
เฉินผิงอันยืนพิงอยู่ใกล้ๆ กับหน้าต่าง เอ่ยเตือนเสียงเบา “แม่เฒ่าเดินจากไปแล้ว”
ที่แท้ก่อนจะเข้ามาในจวนแห่งนี้ นักพรตหนุ่มก็ฟื้นคืนสติแล้ว เขากินยาหยางกลับคืนไปหนึ่งเม็ด จากนั้นก็ตามด้วยเหล้ารสร้อนแรงที่อยู่ในน้ำเต้าเจียงหูของเฉินผิงอัน เพียงชั่วครู่ก็กลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง เดิมทีเขาไม่เต็มใจจะสิ้นเปลืองยาเม็ดหนึ่ง แต่จู่ๆ กลับสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจที่พุ่งผ่านไป จึงไม่กล้าขี้เหนียวอีก จะอย่างไรเงินเกล็ดหิมะหนึ่งอีแปะก็เทียบกับชีวิตของตัวเองไม่ได้ นักพรตจางซานลุกขึ้นนั่งบนเตียง สวมชุดนักพรตเต๋าใหม่เอี่ยม ค้อมตัวขยับเข้าใกล้กระถางไฟ ยื่นมือมาอังไฟหาความอบอุ่น กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน คืนนี้พวกเราผลัดกันเฝ้ายามเถอะ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่วางใจจริงๆ มักรู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าแค่เอากระบี่ไม้ท้อที่ห้อยกระดิ่งสดับปีศาจเล่มนั้นไว้ใกล้ๆ กับหน้าต่างก็พอแล้ว ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการรับมือกับภูตผีปีศาจเท่าใดนัก ดังนั้นจึงยังต้องให้กระดิ่งช่วยเตือน ส่วนเรื่องเฝ้ายาม ข้าถนัดมาก เจ้านอนหลับให้สบายใจ หากเกิดเรื่องจริงๆ ข้าก็ต้องรีบเตือนเจ้าอยู่แล้ว”
นักพรตจางซานครุ่นคิดหาเหตุผล “หลังจากแขวนกระบี่ไม้ท้อกับกระดิ่งสดับปีศาจแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตจะผิงไฟอีกสักหน่อย รอให้ร่างอบอุ่นแล้วค่อยนอนก็ยังไม่สาย”
ตอนที่นักพรตหนุ่มแขวนกระบี่ไม้ เฉินผิงอันก็กล่าวว่า “ตรงกรอบหน้าต่างเคยมีคนเขียนยันต์เอาไว้ ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว ตอนนี้ถึงเห็นได้ไม่ค่อยชัด แต่น่าจะเป็นยันต์ของลัทธิเต๋าพวกเจ้า เจ้ารู้จักหรือไม่?”
เดิมทีนักพรตหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็น พอเฉินผิงอันเอ่ยเตือน เพ่งมองอย่างละเอียดถึงได้พบเบาะแส จึงอดที่จะนับถือความใจกล้าและละเอียดรอบคอบของเฉินผิงอันไม่ได้ หลังจากมองประเมินอย่างละเอียด สีหน้าของเขาก็เริ่มหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายใช้นิ้วเช็ดไปบนคราบสีเบาๆ เอามาดมใต้จมูก กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เงียบๆ “หากเป็นอย่างที่ข้าผู้เป็นนักพรตคิดไว้จริงๆ ก็ค่อนข้างจะยุ่งยากแล้วล่ะ ยันต์ที่เขียนไว้บนกรอบหน้าต่างคือยันต์ตำราชาดที่ใช้ขับไล่ภูตผี ดูจากร่องรอยของมันน่าจะเป็นชนิดหนึ่งของยันต์คำเขียวสำนักโองการเทพที่เขียนด้วยสีชาด อานุภาพยิ่งใหญ่มหาศาล อีกอย่างในเมื่อเป็นฝีมือของยอดฝีมือในสำนักโองการเทพ และถึงขนาดเขียนไว้เกือบเต็มบานหน้าต่างด้วยปลายพู่กันที่เร่งร้อน พอจะจินตนาการได้ว่า ภูตผีและสิ่งชั่วร้ายที่ผู้อาวุโสคนนั้นต้องเผชิญย่อมมีตบะไม่ตื้นเขินแน่”
นักพรตหนุ่มถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนกล่าวอย่างเจ็บแค้น “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นข้าผู้เป็นนักพรตไม่ควรเก็บยาหยางกลับคืนเม็ดนั้นเอาไว้ ควรกินเข้าไปแต่เนิ่นๆ ตอนที่ใกล้ถึงบ้านหลังนี้จะได้ไม่หมดสติ ข้าผู้เป็นนักพรตที่พอจะเข้าใจศาสตร์ฮวงจุ้ยลองคำนวณตั้งแต่อยู่ไกลๆ คงพอจะทราบได้คร่าวๆ ว่าบ้านหลังนี้มีฮวงจุ้ยอยู่ในระดับใด รวมไปถึงรู้วิธีรวบรวมฮวงจุ้ยว่าเป็นฝ่ายหยางหรือฝ่ายหยิน อยู่ห่างจากวิถีของธรรมะหรือไม่ ขอแค่พอจะแยกแยะต้นกำเนิดของมันได้คร่าวๆ ก็จะสามารถอนุมานเรื่องราวได้มากมาย…เฉินผิงอัน ขอโทษนะ เป็นข้าที่ทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตราย…”
เฉินผิงอันฟังนักพรตหนุ่มพึมพำกล่าวโทษตัวเองก็ไม่ได้พูดปลอบใจอะไร เพียงเอ่ยเย้าว่า “ท่านเทียนซือใหญ่จาง กำจัดมารผดุงความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องที่เจ้าถนัดหรอกหรือ?”
นักพรตหนุ่มรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “อย่าๆๆ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่เหมาะกับคำว่า ‘เทียนซือ’ นี้หรอก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จางซานก็มีสีหน้าเพ้อฝัน เอ่ยเบาๆ ว่า “เทียนซือที่แท้จริงคือลูกศิษย์สายตรงสกุลจางจากจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ แต่ละคนสวมชุดคลุมสีเหลืองสีม่วง เป็นอัครเสนาบดีบนภูเขาที่สืบทอดบรรดาศักดิ์สู่รุ่นต่อรุ่นมาหลายพันปี นอกจากนี้เทียนซือต่างแซ่ที่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็มีคุณสมบัติได้รับคำเรียกขานว่า ‘เทียนซือ’ อย่างแท้จริง ทว่าต่อให้เป็นเทียนซือจากภูเขามังกรพยัคฆ์เหมือนกันก็ยังแบ่งออกได้อีกหลายระดับ เทียนซือระดับหนึ่งคือเทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนที่ได้รับควันธูปกราบไหว้ในศาลบรรพชนของภูเขามังกรพยัคฆ์ ถัดจากลำดับนั้นลงมาก็คือลูกศิษย์สืบทอดสกุลจางสายตรงซึ่งเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ (หวงคือสีเหลือง จื่อคือสีม่วง) หนึ่งในนั้นในอนาคตอาจได้ครอบครอง ‘ตราประทับเทียนซือ’ และกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง ถัดลงมาอีกก็คือเทียนซือต่างแซ่จำนวนมากที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนภูเขามังกรพยัคฆ์ ในฐานะพื้นที่มงคลที่เกิดตามธรรมชาติอย่างภูเขามังกรพยัคฆ์ จะเปิดให้คนนอกเข้ามาได้ก็ต่อเมื่อผู้ฝึกตนเหล่านั้นยอมรับปากว่าหลังจากที่ฝึกตนได้สำเร็จแล้วจะลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร เมื่อถึงเวลานั้นภูเขามังกรพยัคฆ์จะมอบกระบี่ไม้สำเร็จรูปที่ทำจากไม้ท้อให้เล่มหนึ่ง และนี่ก็คือความใจกว้างของภูเขามังกรพยัคฆ์ ทำให้เป็นนักพรตจากทวีปอื่นอย่างพวกเราก็ยังเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันตั้งใจฟังอย่างมาก รู้สึกว่าทั้งภูเขามังกรพยัคฆ์และพวกเทียนซือเหล่านี้ต่างก็ไม่เลวเลย
—–