อันที่จริงศาลเทพภูเขาของที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่บูชาร่างทองของบุรุษผู้นี้ เดิมทีเป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นอย่างผิดระเบียบเพราะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักแคว้นไฉ่อี บวกกับที่พื้นที่รอบด้านคือสุสานไร้ญาติ ปราณสกปรกแผ่ปกคลุมไปทั่วทิศ บุรุษร่างสูงใหญ่ได้รับควันธูปจึงโชคดีได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาได้สำเร็จ หลังจากนั้นเพื่อการฝึกตนของตัวเอง เขาก็ถึงขั้นยอมจับปลาในน้ำขุ่น เพิ่มระดับการแห้งเหี่ยวโรยราของภูเขาและแม่น้ำให้เร็วขึ้น ในฐานะแกนกลางการโคจรของค่ายกล บ้านโบราณจึงแค่ดึงดูดเอาปราณดำมืดชั่วร้ายมาโดยที่ไม่เผาผลาญปราณวิญญาณของภูเขา กลับเป็นการช่วยรักษาสมดุลของแม่น้ำและภูเขาเอาไว้ ทว่าเรื่องวงในเหล่านี้พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ นักพรตเต๋าวัยกลางคนที่จมดิ่งสู่วิถีมารกับเทพภูเขาเถื่อนที่เดินไปบนเส้นทางที่ไม่เที่ยงตรง ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ จะอย่างไรซะพวกเขาทั้งสองก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว
จู่ๆ บุรุษร่างสูงใหญ่ก็พลันถามสีหน้าดุดัน “เพื่อช่วงชิงพื้นที่ทั้งหมดกลับคืนมา เจ้าปรารถนาอยากครอบครองเรือนกายของผีสาวตนนั้น และหากเจ้าได้ควบคุมมันก็ย่อมต้องเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก ถ้าอย่างนั้นไอ้หมอนั่นล่ะคิดอะไรอยู่? หรือว่าในบ้านโบราณหลังนี้ยังมีสมบัติอาคมล้ำค่าที่ข้าไม่รู้ซ่อนอยู่อีก?”
นักพรตเต๋าวัยกลางคนหัวเราะหึหึ “เรื่องนี้ข้าไม่แน่ใจหรอก ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้พวกเราค่อยไปถามเขาด้วยกันดีไหมล่ะ?”
บุรุษร่างสูงใหญ่อารมณ์ดีขึ้นทันตา “แบบนี้ย่อมดีที่สุด!”
นักพรตเต๋าหันมองไปรอบด้าน นอกจากดินโคลนแล้ว อย่างมากก็มีแต่หน้าผาโล้นเตียน ต้นไม้สีเขียวมีให้เห็นเป็นหย่อมๆ แต่เขากลับรู้ดีว่านี่ต้องมอบคุณความชอบให้กับ ‘อารมณ์สุนทรี’ ของผีสาวตนนั้น ผืนดินแห่งนี้ถึงได้มีกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง
ไม่ว่าจะเป็นด้านโชควาสนาหรือด้านนิสัยของผีสาวตนนั้นก็ล้วนเป็นสิ่งที่หาได้ยาก หลังจากนักพรตขยับเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องได้นางมาครอบครองให้ได้
นักพรตทอดสายตามองไปยังบ้านโบราณหลังนั้นแล้วจุ๊ปากพูด “ต้นไม้นี้กิ่งก้านแห้งเหี่ยวใบปลิดปลิว มองดูแล้วคงหมดซึ่งชีวิตชีวา”
คิดไม่ถึงว่าเทพภูเขาเถื่อนก็เคยเรียนหนังสือมาก่อน จึงรับคำยิ้มๆ ว่า “ขนาดต้นไม้ยังเป็นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคน”
หนึ่งนักพรตหนึ่งองค์เทพมองหน้าและส่งยิ้มให้กัน
……
เรือนชั้นที่สองของบ้านโบราณ ห้องปีกข้างห้องหนึ่งดับไฟมืดสนิทแล้ว บัณฑิตทั้งสองน่าจะนอนหลับกันแล้ว แต่ในห้องของเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้กับนักพรตหนุ่มกลับยังมีแสงไฟสว่างโร่ ไม่รอให้หญิงชราเดินมาเคาะห้อง ชายฉกรรจ์ที่ติดเหล้าเป็นชีวิตจิตใจได้กลิ่นหอมของเหล้าโชยมาแต่ไกล เขาจึงตบประตูห้องด้วยตัวเอง “มีเหล้าให้ดื่มหรือไม่? หากมี ถ้าอย่างนั้นก็เอาเหล้ามาแลกชีวิต รับรองว่าเจ้าจะมีแต่กำไรไม่ขาดทุน!”
หญิงชราไม่ได้ขัดขวาง เพียงเอ่ยว่า “พวกเจ้าจัดหาห้องพักกันเองก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ให้ดี เดินไปเปิดประตูห้องก็เห็นชายฉกรรจ์แปลกหน้าหน้าตาท่าทางหยาบกระด้างคนหนึ่ง
มือดาบเครายาวปรายตามองเฉินผิงอันแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าหนูน้อย ได้ยินเสียงเดินกับเสียงลมหายใจของเจ้า น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์กระมัง? ตอนนี้ถึงขอบเขตสองแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันตอบด้วยรอยยิ้ม “เรียนวรยุทธ์กับผู้อาวุโสในตระกูลมาตั้งแต่เด็ก นี่เป็นครั้งแรกที่ออกเดินทางในยุทธภพ ยังไม่รู้ว่าขอบเขตตัวเองอยู่ในระดับไหน”
หันกลับไปมองก็เห็นว่านักพรตจางซานถูกเสียงดังปลุกให้ตื่น กำลังลุกขึ้นนั่งสวมรองเท้าอยู่บนเตียง
มือดาบเครายาวก้าวยาวๆ ข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามานั่งแปะลงบนเก้าอี้ จุ๊ปากพูด “ไม่รู้ขอบเขต? ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามาจากชนบทที่ห่างไกลความเจริญน่ะสิ? แล้วทำไมถึงพูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปพวกเราได้คล่องแคล่วขนาดนี้? หากเป็นบ้านนอกของแคว้นเล็กๆ ทั่วไปจะไม่เรียนรู้เรื่องพวกนี้หรอก! ว่ามา เจ้าใช่ผีร้ายที่ห่มหนังคนหรือไม่?!”
มือดาบชักดาบออกจากฝักมาเกินครึ่ง ประกายดาบจ้าแสบตา ถลึงตาจ้องมองมาอย่างขุ่นเคืองพลางคำรามก้อง “รีบบอกชื่อของเจ้ามา ดาบของข้าผู้แซ่สวีไม่เคยบั่นคอผีไร้นาม!”
เฉินผิงอันหันมามองหน้ากับนักพรตจางซาน
หรือว่าเป็นเพราะตากฝนอยู่ด้านนอก น้ำจึงเข้าสมองพี่ชายผู้นี้แล้ว?
ผีร้าย?
ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ มีผู้ฝึกตนอิสระอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ที่มาของพวกเขาซับซ้อนยากแยกแยะ แม้ว่าภูตผีปีศาจจะได้รับการดูถูกอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็อยู่ไกลเกินกว่าจะถูกคนไล่ฆ่าทุบตี ทว่าผีผู้ฝึกตนกลับเป็นข้อยกเว้น หากถูกค้นพบเข้าก็แทบจะต้องถูกผู้คนร้องด่าไล่ฆ่า หากจะบอกว่าการพิสูจน์ความเป็นอมตะของผู้ฝึกลมปราณถือเป็นเรื่องที่ละเมิดต่อกฎสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นคนตายแล้วถูกฝังลงใต้ดิน ก็ถือเป็นวิถีแห่งมนุษย์ ทว่าเมื่อผีผู้ฝึกตนละเมิดกฎข้อนี้ก็เท่ากับเป็นวิถีนอกรีตชั่วร้ายที่ผู้คนต้องการสังหารให้หมดสิ้น
เซียนฝึกตนขณะมีชีวิตอยู่ เทพได้รับแต่งตั้งขณะที่ตายไปแล้ว
ผีผู้ฝึกตนก็คือข้อยกเว้นพอดี ทั้งไม่ใช่ผู้ที่ฝึกตนตอนมีชีวิตอยู่ในโลก แล้วก็ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำที่ทางราชสำนักแต่งตั้ง มอบร่างทองให้หลังจากที่ตายไปแล้ว
ดังนั้นเป้าหมายที่กระบี่ไม้ท้อของเทียนซือในภูเขามังกรพยัคฆ์ผู้ซึ่งมีมรรคาถาลึกล้ำอย่างแท้จริงชี้ไป ก็มักจะเป็นผีร้ายที่สร้างความวุ่นวายก่อเรื่องไปทั่ว มากกว่าจะชี้เข้าหาภูตที่ส่วนใหญ่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านร้านตลาด
คำว่าภูตนี้ ยิ่งเป็นแถบพื้นที่ที่มีผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ การค้าเจริญรุ่งเรืองก็ยิ่งไม่มีความหมายในเชิงลบที่ชัดเจนอีกแล้ว
และในความเป็นจริงแล้ว แคว้นใหญ่ๆ บางแห่ง โดยเฉพาะราชวงศ์ที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งกองกำลังบนภูเขาหยั่งรากลึกมั่นคง ต่อให้เป็นชาวบ้านทั่วไปก็ยังเคยชินกับการที่ภูตประหลาดนับร้อยนับพันชนิดใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนในโลกมนุษย์
เล่าลือกันว่าภูตน้อยจำนวนมากที่ช่วยสตรีแต่งงานแล้วล้างหน้าหวีผม แต่งหน้าประทินโฉม พับเสื้อผ้า ฯลฯ จะมีปีกคอยบินไปบินมาอย่างคล่องแคล่วว่องไวถึงขีดสุด อีกทั้งจะรักและสนิทสนมกับเจ้านายของพวกมันไปทุกชาติทุกภพ
เฉินผิงอันไม่ได้อธิบายอะไร เขาเพียงปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าออกจากเอวแล้วดื่มเงียบๆ
ชายฉกรรจ์เครายาวอึ้งตะลึง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง เห็นได้ชัดว่าพยาธิหิวเหล้าในท้องทำพิษซะแล้ว ความดุดันของเขาพลันลดฮวบ ทำหน้าหนายื่นมือไปขอ “ขอแค่เชิญให้ข้าดื่มเหล้า ต่อให้เจ้าเป็นผี ข้าก็จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ขอแค่ไม่กระทำการชั่วร้ายให้ข้าเห็นจะๆ ทุกอย่างก็ล้วนพูดง่าย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ยอมส่งให้
มือดาบหนวดยาวถอนหายใจอย่างหม่นหมอง “ไอ้หนู เจ้านี่ไม่ซื่อสัตย์เลยนะ เจ้าเล่ห์มาก เห็นชัดๆ ว่ากำลังรังแกยอดฝีมือผู้เที่ยงธรรมอย่างข้า!”
นักพรตจางซานรีบนั่งลงช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ แล้วพูดคุยกับชายฉกรรจ์หนวดยาวด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป
……
ตรงระเบียงสาวงาม (ระเบียงที่ยื่นออกมารอบหอสูง มีพนักพิงโค้งยื่นออกไปด้านหลังเพื่อสะดวกแก่การนั่งพิง) ของหอซิ่วโหลวเรือนชั้นในของบ้านโบราณ มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอิงแอบแนบชิดกัน สตรีสวมชุดกระโปรงสีเขียวเข้ม ชายกระโปรงพองใหญ่จึงไม่เผยให้เห็นสองขาและรองเท้าปักลายของนาง
จอนผมของคนทั้งสองเสียดสีกัน บุรุษกระซิบเบาๆ ว่า “ขอให้ภรรยามีเสื้อผ้าอบอุ่นสวมใส่ในฤดูใบไม้ผลิที่เหน็บหนาว ขอให้ภรรยาหัวคิ้วคลายไร้ความทุกข์ตรม ขอให้ภรรยาได้เห็นจันทราสุกสกาวกลางนภา เห็นน้ำใสภูเขาเขียวทุกครั้งที่เปิดหน้าต่าง…”
สตรีที่ใบหน้าอัปลักษณ์อย่างถึงที่สุดส่งเสียงอือๆ อาๆ ราวกับกำลังร่ำไห้ หรือไม่ก็กำลังร้องระบายทุกข์ ชายกระโปรงด้านล่างพลิกตลบรุนแรงดุจคลื่นน้ำ
หญิงชราที่เดินอยู่ท่ามกลางระเบียงยาวมืดมิดถอนหายใจเบาๆ สุดท้ายนั่งพิงเสาระเบียงที่ห้อยโคมไฟเอาไว้ ปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่า หญิงชราลูบคลำใบหน้าที่แห้งตอบของตัวเอง นางลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้ส่องกระจกมานานกี่ปีแล้ว?
นางเป็นเช่นนี้ คิดว่าคุณหนูที่ตลอดระยะเวลาร้อยปีไม่เคยก้าวเดินออกจากหอซิ่วโหลวสักครึ่งก้าวก็ยิ่งเป็นเช่นนี้กระมัง
……
ชายฉกรรจ์ที่กำลังพูดคุยอยู่กับนักพรตหนุ่มพลันเอามือกดลงบนด้ามดาบ สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดไม่เหลือแววล้อเล่นอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไป “เป็นอย่างคำเล่าลือที่พูดกันในเมืองเล็กบริเวณใกล้เคียงจริงๆ ปราณปีศาจมาจากเรือนด้านหลังของบ้านหลังนี้! ช่างเป็นปราณปีศาจที่เข้มข้นยิ่งนัก มิน่าเล่าฮวงจุ้ยของที่แห่งนี้ถึงได้ถูกเผาผลาญไปจนสิ้น ไม่แน่ว่าอาจเป็นปีศาจเฒ่าขอบเขตหกแล้ว ไอ้หนูทั้งสอง ข้าจะไปสังหารปีศาจเดี๋ยวนี้ หากพวกเจ้าสองคนเห็นท่าไม่ดีก็รีบหนีไปทันที อย่าเห็นเป็นเล่น สถานที่แห่งนี้อันตรายผิดปกติ บ่อน้ำขุ่นบ่อนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะก้าวเข้ามาได้!”
มือดาบเครายาวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “แต่อย่าเพิ่งถอยตอนนี้จะดีกว่า จะได้ไม่ถูกปีศาจเฒ่าของบ้านโบราณหลังนี้หมายหัว ต่อให้ข้าจะพ่ายแพ้ก็จะพยายามถ่วงเวลาพวกเขาไว้ให้ได้นานที่สุด ถึงเวลานั้นพอได้ยินสารจากข้า บอกให้พวกเจ้าหนี พวกเจ้าก็ห้ามลังเลเด็ดขาด!”
จากนั้นก็เห็นเพียงว่ามือดาบผู้มีหนวดเครารกรุงรังสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชักดาบออกจากฝัก ประกายดาบเปล่งแสงวาบ แล้วชายฉกรรจ์ก็ยื่นมือข้างหนึ่งปัดขี้เถ้าในกระถางไฟออก หยิบถ่านก้อนหนึ่งที่กำลังลุกไหม้แดงโร่มากุมไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นเช็ดไปที่ตัวดาบ สะเก็ดไฟกระเซ็นไปทั่วทิศยิ่งขับให้ดาบวิเศษเล่มนั้นคมกริบเกินต้านทาน
ต่อให้โอกาสชนะจะไม่สูง แต่เวลานี้ทั่วร่างของชายฉกรรจ์กลับเต็มไปด้วยปราณแห่งความองอาจใจกว้าง เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของวีรบุรุษ
เฉินผิงอันยื่นกาเหล้าส่งไปให้ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สักหน่อยไหม ท่านผู้กล้า?”
ชายฉกรรจ์ส่ายหน้ายิ้มๆ มือถือดาบวิเศษ ลุกพรวดขึ้นยืน “ดื่มเหล้าเวลาคุยพูดคุยกันก็แค่แก้กระหายเท่านั้น อันที่จริงสังหารปีศาจใหญ่ กำจัดมารผดุงความเป็นธรรมต่างหากที่สาแก่ใจยิ่งกว่าดื่มเหล้านับร้อยนับพันเท่า!”
ท่ามกลางม่านฝน ชายฉกรรจ์ถือดาบเปิดประตูเดินก้าวยาวๆ ออกไปทางเรือนด้านหลัง สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง แสงดาบก็ส่องประกายสว่างจ้าไปทั่วทิศ ชายฉกรรจ์เคราดกเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศไกล เอ่ยเสียงดังกังวาน “สวีหย่วนเสียอยู่นี่แล้ว โปรดชี้แนะด้วย!”
นักพรตจางซานหยิบกระบี่ไม้ท้อที่มีกระดิ่งสดับปีศาจห้อยอยู่ขึ้นมา เอ่ยเสียงจริงจังกับเฉินผิงอัน “ข้าจะไปช่วยเขาสังหารปีศาจ! เฉินผิงอัน เจ้าคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากยังไม่เลื่อนสู่ขั้นสี่ก็ไม่เหมาะให้รับมือกับพวกปีศาจใหญ่หรือสิ่งชั่วร้าย เจ้ารออยู่ที่นี่ หากจำเป็นจริงๆ ข้าถึงจะตะโกนเรียกเจ้า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
หลังจากที่ร่างของนักพรตหนุ่มพุ่งออกจากห้องไปอย่างว่องไว เฉินผิงอันรอคอยอยู่ชั่วครู่ เขาไม่ได้เลือกจะรอดูการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่เดิม แต่เดินออกมาจากห้อง ปล่อยหมัดเปล่าผ่านม่านฝนที่กั้นขวางเข้าไปหาห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า”
ประตูของห้องที่ไฟดับลงไปนานแล้วค่อยๆ แง้มเปิดอย่างเชื่องช้า บัณฑิตแซ่ฉู่คนนั้นเดินออกมา เรือนกายของเขาสูงเพรียว ในมือถือคบเพลิงที่ก่อนหน้านี้ถูกสายฝนราดรดดับ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม พอมองประสานสายตากับเฉินผิงอัน บัณฑิตก็กระตุกมุมปาก ยกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือลูบไปยังช่วงบนของคบเพลิง คบเพลิงนั้นก็ติดไฟในเสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะปักคบเพลิงอันนั้นไว้ช่วงบนของเสาต้นหนึ่ง “เจ้าพูดน้อยที่สุด แต่ว่าฉลาดที่สุด แน่นอนว่าความสามารถก็ไม่น้อย สามารถกำจัดเหรียญทองแดงผีของนักพรตป๋ายลู่ได้ ทว่าวัตถุผีที่มีเพียงขอบเขตสาม จะว่าไปแล้วก็ร้ายกาจเพียงเท่านั้น เจ้าหนุ่มเจ้าอย่าลำพองใจเกินไปเพราะเหตุนี้…”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ เรือนกายที่ผอมบางหายวับไปจากจุดเดิมอย่างไม่มีลางบอกเหตุ
บัณฑิตผู้นั้นตะลึงเล็กน้อย
เรือนกายหนึ่งกระโจนพุ่งผ่านม่านฝนที่กั้นขวางอยู่ระหว่างห้องเข้ามาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ บัณฑิตที่ค่อนข้างประมาทไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนหมัดที่เป็นดั่งสายรุ้งซึ่งพาดผ่านมาจากอีกด้านหนึ่งของขอบฟ้า กระแทกลงบนศีรษะอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างของเขากระเด็นหวือออกไป กระแทกชนทั้งประตูและผนัง สุดท้ายร่างของบัณฑิตที่ไปโผล่อีกฝั่งหนึ่งของระเบียงก็กระแทกลงบนเสาหนาใหญ่ต้นหนึ่ง เสาระเบียงที่ตรงกับหัวใจด้านหลังของเขาเกิดเสียงดังปังแล้วปริร้าวเหมือนใยแมงมุมรังเล็กๆ นั่นถึงทำให้บัณฑิตพอจะหยุดร่างที่ปลิวละลิ่วเอาไว้ได้ เขากระอักเลือดไม่หยุด จิตวิญญาณสั่นสะท้านรุนแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ไม่เพียงแต่พละกำลังของวิชาหมัดที่น่าครั่นคร้าม ทว่าทั้งปณิธานแห่งหมัดและพายุหมัดที่สลับกันต่อยลงบนร่างของเขาล้วนเหมือนแส้โบยวิญญาณในมือของเซียนที่เฆี่ยนตีผีและสิ่งชั่วร้ายแรงๆ ประหนึ่งดาวพิฆาตที่มาจากธรรมชาติ
เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว
คราวนี้หมัดกระแทกเข้าที่ลำคอ
ทั้งคนทั้งเสาต่างก็ล้มครืนไปด้านหลังพร้อมกัน
บัณฑิตหนุ่มถูกสองหมัดนี้ต่อยจนน้ำเลือดน้ำตาปะปนกันจนแยกไม่ออก สีหน้าของเขาดุดัน อาภรณ์ขาดวิ่น เตรียมจะเผยร่างเดิมโดยไม่สนใจอีกว่าจะเป็นกับดักหรือไม่
ทว่าจากนั้นเขากลับได้ยินคำพูดประหลาดคำหนึ่ง “ชูอี”
—–