อยู่ในยุทธภพนานวันเข้า ใครบ้างที่จะไม่มีความสามารถอันเป็นสมบัติก้นกรุและอาวุธอาคมอยู่ซะเลย
เมื่อบัณฑิตแซ่ฉู่ได้ยินคำเรียกว่า ‘ชูอี’ หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านอย่างไรสาเหตุ รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นท่าไม้ตายของเด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้ แต่กลับไม่อาจสัมผัสได้ว่าจุดเริ่มต้นของวิกฤตอันตรายขุมนั้นมาจากที่ใด บัณฑิตแซ่ฉู่ที่สภาพกระเซอะกระเซิงใช้ความคิดอย่างเร่งด่วน เขากัดฟันกรอด ทันใดนั้นลูกกลมสีขาวดำลูกหนึ่งก็กลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา ส่องประกายแสงสุกสว่าง แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา
หลังจากบัณฑิตแซ่ฉู่กำนิ้วทั้งห้าไว้แน่นลูกกลมนั้นก็หลอมละลายเหมือนเทียนที่เจอเปลวไฟ ของเหลวเหนียวหนืดเหมือนปรอทไหลออกมาจากมือของเขาแล้วแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว นาทีถัดมาบุรุษที่ร่างสูงเพรียวก็สวมเสื้อเกราะสีขาวกระจ่างราวหิมะ กระจกปกป้องหัวใจที่อยู่ตรงกลางส่องประกายวิบวับ ลักษณะคือเสื้อเกราะกวางหมิง (กวางหมิงหมายถึงแสงสว่าง เสื้อเกราะกวางหมิงคือเสื้อเกราะสีทองสว่างที่แผ่นเหล็กทรงสี่เหลี่ยมหลายชิ้นประกบต่อกัน) องค์เทพบนสวรรค์ที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ในวัดหรืออารามเต๋าของโลกมนุษย์จะสวมเสื้อเกราะแบบนี้กันมากที่สุด เพราะมีความหมายแฝงถึงความเปิดเผยตรงไปตรงมา
หากไม่เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มีต่อชีวิต ต่อให้ต้องเผยร่างจริง บัณฑิตแซ่ฉู่ก็ไม่มีทางยอมใช้ ‘เม็ดเสื้อเกราะ’ ที่มีมูลค่าควรเมืองเม็ดนี้แน่ เม็ดเสื้อเกราะคือสมบัติล้ำค่าสูงสุดของสำนักการทหาร ได้รับความนิยมเป็นเท่าตัว ราคาไม่มีแพงที่สุด มีแต่แพงยิ่งกว่า อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่ราคา แทบจะหาคนซื้อไม่ได้เพราะราคาที่สูงเกิน โดยทั่วไปแล้วอาจารย์ด้านกลไกของสำนักโม่จะร่วมมือกับพรรคยันต์ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าสร้างขึ้นมา เวลาปกติหากย่อเก็บไว้จะมีลักษณะเหมือนเม็ดยาขนาดใหญ่เท่ากำปั้น กินพื้นที่ไม่มาก พกพาได้สะดวก หากลงสนามรบแค่กรอกปราณที่แท้จริงราดรดเข้าไป มันก็จะกลายมาเป็นเสื้อเกราะวิเศษในชั่วพริบตา แข็งแกร่งมิอาจทำลาย
บัณฑิตแซ่ฉู่มีเสื้อเกราะคุ้มกันกาย พื้นผิวของเสื้อเกราะส่องม่านแสงสีขาวสะอาดกระเพื่อมเป็นริ้วแผ่วๆ หนึ่งชั้นเหมือนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหิมะถูกแสงจันทร์ยามราตรีสาดส่อง บัณฑิตลุกขึ้นยืน เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว สีหน้าของเขาเยือกเย็นมากขึ้นหลายส่วน เขากล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน “เจ้าหนุ่ม เจ้าทำร้ายข้าเสียหมดสภาพเลย เดิมทีเสื้อเกราะกวางหมิงนี้เตรียมไว้เพื่อป้องกันหากการแบ่งผลประโยชน์ในช่วงสุดท้ายไม่เท่าเทียม ถึงเวลานั้นก็สามารถเอามาใช้ต้านทานการโจมตีของนักพรตป๋ายลู่กับเทพภูเขาได้ ตอนนี้กลับต้องมาเผยพิรุธเร็วขนาดนี้ พวกเขาต้องยิ่งระมัดระวังเพิ่มการป้องกันมากกว่าเดิม แบบนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ?”
แม้ว่าน้ำเสียงจะผ่อนคลาย แต่บัณฑิตหนุ่มกลับไม่ประมาทแม้แต่น้อย ตอนนี้เขายังคิดไม่ตกว่าทำไมหลังจากเด็กหนุ่มเอ่ยเรียก ‘ชูอี’ แล้วถึงไม่มีประโยคตามหลัง? อีกทั้งกระบี่วิเศษก็ไม่ได้ออกจากฝัก บินพุ่งมาจากห้องฝั่งตรงข้าม แล้วก็ไม่มีตัวช่วยที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดกระโจนมาเข่นฆ่าเขาด้วย
บัณฑิตแซ่ฉู่เกิดความฉงนสนเท่ห์
เด็กหนุ่มพูดน้อยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องไม่ใช่พวกที่ชอบพูดล้อเล่นแน่นอน
แค่สองหมัดก็เกือบจะทำให้ตนกลับคืนสู่ร่างเดิม เกรงว่าต่อให้เป็นศักยภาพขอบเขตสี่ของมือดาบหน้าหนวดที่บุ่มบ่มบุกเข้าไปสังหารปีศาจใหญ่คนนั้นก็คงทำไม่ได้
แม้ว่า ‘ชูอี’ จะไม่ได้ปรากฏตัวออกมาก็ตาม
แต่บัณฑิตแซ่ฉู่ก็ยังแน่ใจได้ว่า ขอแค่ชูอีเผยตัวก็ย่อมต้องเป็นยอดฝีมือที่ไม่อาจดูแคลน หรือไม่ก็อาจจะเป็นสมบัติอาคมที่มีพลังพิฆาตมหาศาลแน่นอน
ส่วนเฉินผิงอันกลับหงุดหงิดเล็กน้อย เขาตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวตัวเองแรงๆ หนึ่งที
ตอนนี้จู่ๆ ‘ชูอี’ ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็นิสัยเปลี่ยนไปมาก ก่อนหน้านี้มันมีนิสัยฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เอะอะก็ทำให้เฉินผิงอันต้องเจ็บปวดยากลำบาก แต่พอออกมาจากภูเขาลั่วพั่วกลับมีนิสัยเกียจคร้าน วันๆ เอาแต่อยู่นิ่งเฉยไม่ยอมขยับ แม้แต่จะตีโพยตีพายเอาแต่ใจกับเฉินผิงอันก็ยังไม่ทำ หลังจากเฉินผิงอันตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แรงๆ มันก็ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก
กลับเป็นสืออู่กระบี่บินสีเขียวมรกตที่ส่งเสียงอื้ออึง กำลังสื่อสารทางอารมณ์กับเฉินผิงอันอย่างตื้นเขิน คงจะอยากพูดประมาณว่าหากชูอีไม่ยอมต่อสู้ มันสืออู่สามารถทำหน้าที่แทนให้ได้
หลังจากกระบี่บินสองเล่มมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง ก็คล้ายกับเด็กน้อยที่ยังพูดไม่ได้ แม้ว่าจะมีสติปัญญา แต่สติปัญญานั้นกลับไม่สูงนัก กระทำทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณอย่างเดียวเท่านั้น พวกมันสามารถสัมผัสกับเสียงหัวใจและความต้องการของเฉินผิงอันได้อย่างชัดเจน แต่ทั้งสองฝ่ายกลับสื่อสารกันไม่ราบรื่น อีกอย่างเฉินผิงอันเองก็แค่รู้ว่าอารมณ์ของพวกมันดีหรือร้าย แต่หากจะพูดคุยกันจริงๆ กลับไม่ง่ายดายนัก
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเฉินผิงอัน บัณฑิตแซ่ฉู่ก็รีบเพ่งสายตามองมาทันที เห็นเพียงว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดมีสีสันหม่นมัว ไม่มีอะไรผิดปกติ มองไม่ออกถึงความมหัศจรรย์แม้แต่นิดเดียว อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่พบกันครั้งแรกท่ามกลางสายฝนนอกบ้านโบราณ บัณฑิตแซ่ฉู่ก็ได้มองประเมินเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลังกับนักพรตหนุ่มอย่างละเอียดแล้ว ตอนนั้นเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่ยอดฝีมืออะไร ราชสำนักของแคว้นไฉ่อี ภูเขาไม่สูงน้ำไม่ลึก ไม่มีที่ให้ซ่อนพยัคฆ์และมังกร คนอย่างนักพรตป๋ายลู่จึงถือว่าเป็นปรมาจารย์เทพเซียนที่มีบารมีสยบพื้นที่แถบหนึ่งได้แล้ว
และนี่ถึงทำให้บัณฑิตแซ่ฉู่สามารถทำตัวเองเป็นมังกรข้ามแม่น้ำมาสร้างเรื่องก่อราวในถิ่นผู้อื่นได้ตามใจปรารถนา
เขาออกจากบ้าน เดินทางจากแคว้นกู่อวี๋ลงใต้มายังแคว้นไฉ่อีก็เพื่อของที่อยู่ในบ้านโบราณหลังนี้ ทุ่มเทสมองครุ่นคิดก็รู้ว่า แม้เขาจะกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง แต่นี่ก็ยังเป็นแผนการที่ดำเนินได้อย่างเชื่องช้า เขาดึงเอานักพรตป๋ายลู่และเทพภูเขาที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการมาร่วมด้วย ตกลงกันว่าทั้งสามฝ่ายจะต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ จากนั้นจึงไปทำความรู้จักกับลูกหลานตระกูลหลิว หลอกให้เขาเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ บอกกับพันธมิตรสองคนนั้นว่าตนยอมพาตัวมาเสี่ยงอันตรายหยั่งเชิงสถานการณ์ของที่แห่งนี้ก่อน อาศัยกลิ่นอายของตำราและกลิ่นอายของตระกูลขุนนางที่ติดตัวบัณฑิตแซ่หลิวตั้งแต่เด็กมาอำพรางปราณปีศาจเล็กน้อยที่อยู่บนร่างของเขา แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือคิดจะสืบหารากฐานที่ค่ายกลแห่งนี้พึ่งพา เพื่อสะดวกให้จับปลาน้ำขุ่นขโมยสมบัติอาคมชิ้นนั้นไปขณะที่การต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้น ไม่ร่วมศึกพัวพันระหว่างนักพรตป๋ายลู่กับเทพภูเขา อาศัยเม็ดเสื้อเกราะคุ้มกันกายหนีไปอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง จากนั้นกลับไปยังแคว้นกู่อวี๋เก็บตัวฝึกตนของตัวเองต่อไป
ส่วนการปรากฏตัวของมือดาบเครายาวคนนั้นก็เป็นแค่ความคิดที่ผุดขึ้นมาชั่วคราวของเขา เขาจึงแพร่ข่าวลือไปยังเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ช่วยผลักดันคลื่นมรสุม เพิ่มระดับปราณแห่งความชั่วร้ายและไอปีศาจของบ้านโบราณให้เข้มข้นมากขึ้น แต่อันที่จริงแล้วนับร้อยปีที่ผ่านมา ปราณชั่วร้ายของบ้านโบราณนั้นเข้มข้นมากก็จริง แต่มันกลับไม่เคยทำร้ายชาวบ้าน สร้างความลำเข็ญให้ใครมาก่อน ที่เขาทำอย่างนี้ก็เพราะต้องการให้น้ำบ่อนี้ยิ่งข้นและสกปรกมากกว่าเดิม จะได้สะดวกตอนที่เขาหลบหนี ต่อให้มือดาบจะเผาผลาญตบะบางส่วนของเจ้าของบ้านโบราณหลังนี้ไป ก็ถือเป็นเรื่องดี หากสามารถยืนหยัดได้ถึงตอนที่นักพรตป๋ายลู่กับเทพภูเขาเข้ามาร่วมการต่อสู้ด้วยก็ยิ่งดีเข้าไปอีก
มือดาบเครายาวที่มีน้ำใจคนนั้นไหนเลยจะรู้เรื่องวงในเหล่านี้ เขาเพียงแต่ตามข่าวลือทั้งหลายมา และขณะที่ดื่มเหล้าร้อนแรงสองถ้วยใหญ่ในเมืองเล็กที่อยู่ใกล้เคียง เลือดร้อนๆ กำลังตีขึ้นหัว พอดีกับที่รู้สึกว่าฝนที่ตกลงมาครั้งนี้ผิดปกติ จึงรีบร้อนมาปราบปีศาจ
ส่วนคบเพลิงที่เทพภูเขาทาน้ำมันไว้ด้วยตัวเอง ร่มกระดาษน้ำมันที่ซ่อนเหรียญสัมฤทธิ์ผีของนักพรตป๋ายลู่เอาไว้ แม้จะไม่ใช่สิ่งของที่สะดุดตา แต่กลับผ่านการคิดคำนวณมาแล้วอย่างรอบคอบ
หนึ่งช่วยให้เทพภูเขาซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่แถบนี้ในนามสำรวจหาลมปราณที่อยู่ด้านในของบ้านโบราณ อีกอย่างหนึ่งคือช่วยให้นักพรตป๋ายลู่จัดวางกลไก หาโอกาสในการปรากฏตัว ในและนอกร่วมประสาน ทำลายวิธีการที่บ้านโบราณใช้ต้านทานศัตรูภายนอกอย่างยันต์คำเขียวผุผังของสำนักโองการเทพ กำแพงบังตาที่มีท่วงทำนองความเที่ยงธรรมของลัทธิเต๋าซุกซ่อนอยู่เสี้ยวหนึ่ง วิธีการเหล่านี้ต่างก็ช่วยให้บ้านโบราณที่สถานการณ์ง่อนแง่นสามารถต้านทานการโจมตีที่อันตรายไว้ได้หลายครั้ง
พันธมิตรสามฝ่าย ล้วนไม่มีฝ่ายใดที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน (เปรียบเปรยถึงคนที่ร้ายกาจ ยุ่งยากรับมือได้ลำบาก)
แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะหากไม่เป็นเช่นนี้ เมื่อต้องมาฝึกตนอยู่บนป่าเขาที่คนแข็งแกร่งเป็นผู้ล่า คนอ่อนแอเป็นเหยื่อ เกรงว่าคงตายตก กลายมาเป็นหินรองเท้าให้พวกนักพรตคนอื่นที่เหี้ยมโหดไปนานแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร มีหรือไม่? แน่นอนว่าต้องมี ยกตัวอย่างเช่นบ้านโบราณหลังนี้ ชายหญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านกับหญิงชราอีกหนึ่งคน เวลานับร้อยปีที่ผ่านมา นายบ่าวสามคนเก็บตัวเงียบอย่างสันโดษ จุดจบของพวกเขาเป็นเช่นไร ก็คือสภาพน่าสังเวชอย่างที่ทุกคนได้เห็นกันในเวลานี้
ด้วยไม่หวังให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน บัณฑิตแซ่ฉู่จึงเลือกเป็นฝ่ายยอมถอยให้ก่อนหนึ่งก้าว เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณชายเฉิน อันที่จริงเจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันด้วย ขอแค่คืนนี้คุณชายเฉินเต็มใจถอยออกไปจากบ้านโบราณหลังนี้ ข้าผู้แซ่ฉู่ก็จะต้องปรนนิบัติรับรองคุณชายเป็นอย่างดี ต่อให้คุณชายอยากจะไปดื่มสุราในวังหลวงของแคว้นกู่อวี๋ ยกตัวอย่างเช่นในคืนที่มีลมหิมะ ข้าผู้แซ่ฉู่ก็สามารถหิ้วไหเหล้าไปนั่งอยู่บนหลังคาสูงของวังหลวง ดื่มเหล้าชมหิมะอย่างเพลิดเพลินใจร่วมกับคุณชายเฉิน โดยไม่ต้องกังวลเลยว่าฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋จะพิโรธ”
บอกตามตรง แม้ว่าบัณฑิตแซ่ฉู่จะเป็นภูตที่มีที่มาไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม แต่หลังจากฝึกตนจนจำแลงร่างเป็นคนได้สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าผ่านประสบการณ์แบบใดมา บุคลิกท่าทางของเขาถึงไม่ธรรมดา โดดเด่นต่างจากคนทั่วไป เมื่อเทียบกับบุตรหลานในตระกูลชนชั้นสูงแล้วก็มีแต่จะมีสง่าราศีมากกว่า น้ำแข็งหนาสามฉื่อไม่ได้เกิดจากความหนาวเพียงวันเดียว คิดดูแล้วคงเพราะได้รับโชควาสนาบางอย่างที่พิเศษจึงมีบุคลิกที่สง่างามอย่างทุกวันนี้ได้
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากถาม “ได้ยินว่าฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋แซ่ฉู่ เจ้าเองก็แซ่ฉู่ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”
บัณฑิตแซ่ฉู่ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าเพื่อแสดงความจริงใจของตน เขาจึงพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ “มีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกันทางสายเลือด สรุปก็คือต่างคนต่างพึ่งพากัน ขณะเดียวกันก็ป้องกันกันเอง ค่อนข้างจะซับซ้อน ยากจะอธิบายได้ด้วยประโยคสั้นๆ”
ตัวอักษรคำว่าฉู่ (楚) ด้านบนคือตัวหลิน (林 ) ด้านล่างคือตัวผี่ (疋) อักษรผี่สามารถใช้ตัวอักษร “จู๋” (足) ที่แปลว่าเท้ามาอธิบาย ไม้สองต้นรวมกันเป็นป่า (อักษรตัวหลิน 林 แปลว่าป่า ซึ่งประกอบด้วยอักษรตัวมู่ 木 ที่แปลว่าต้นไม้สองตัว) ด้านล่างป่ามีเท้า บัณฑิตแซ่ฉู่ตั้งแซ่ของตัวเองด้วยตัวอักษรนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าเขาน่าจะเป็นภูตที่มาจากป่าโบราณ
เพียงแต่การเรียนหนังสือของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ยังเป็นเพียงแค่เปลือกนอกอย่างขั้น ‘รู้แบบงูๆ ปลาๆ พอจะเข้าใจความนัยได้เป็นครั้งคราว’ อยู่ไกลเกินกว่าจะสามารถ ‘แยกแยะ’ ตัวอักษรได้อย่างชัดเจนลึกซึ้ง เพราะอย่างไรซะเขาก็ไม่ได้มีความรู้อย่างชุยฉานหรือเว่ยป้อ
เฉินผิงอันมองประเมินเสื้อเกราะที่อยู่บนร่างบัณฑิตแซ่ฉู่อยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะไม่ใช่สืออู่ก่อน พอดีกับที่สามารถอาศัยโอกาสนี้ทดลองดูน้ำหนักวิชาหมัดของตัวเอง จะได้แน่ใจถึงความตื้นลึกของขอบเขตสามของตน จึงเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตอะไร?”
บัณฑิตแซ่ฉู่ตอบยิ้มๆ “แค่ขอบเขตห้าเท่านั้น”
แน่นอนว่านี่ต้องเป็นการพูดแบบถ่อมตัว
ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะได้เป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง จะเรียกว่า ‘แค่’ ได้อย่างไร? ต้องรู้ว่าในตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าสำนัก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางก็ถือเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงศักดิ์อย่างถึงที่สุดแล้ว หากไม่ได้เป็นข้ารับใช้อาวุโสที่ฐานะสูงเกินใคร ก็ต้องเป็นผู้คุมกฎที่กุมอำนาจที่แท้จริง ขนาดในสำนักยังเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแคว้นเล็กที่มีพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายอย่างแคว้นกู่อวี๋ แคว้นไฉ่อีนี่เลย
ทว่าคำถ่อมตัวที่แฝงไว้ด้วยความลำพองใจของบัณฑิตแซ่ฉู่ เมื่อดังเข้าหูเฉินผิงอันที่เป็นคนดื้อดึงกลับเป็นคำว่า ‘แค่’ ที่จริงแท้แน่นอน นี่น่ะหรือ ‘ปีศาจใหญ่’ ขอบเขตห้าที่นักพรตจางซานเอ่ยถึง? เฉินผิงอันหมุนข้อมือเบาๆ แสยะยิ้ม เขาสู้ผีเจ้าสาวไม่ได้ แต่เจ้าคนตรงหน้าที่สวมกระดองเต่าผู้นี้สามารถเอามาใช้ฝึกปรือฝีมือได้จริงๆ หากฆ่าอีกฝ่ายตายได้ย่อมดีที่สุด ฆ่าไม่ตายตัวเองก็ไม่เสียเปรียบ เพราะอย่างไรซะก็มีกระบี่บินอยู่ข้างกาย แถมยังไม่ใช่แค่เล่มเดียว แต่เป็นสองเล่ม!
ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งฝึกหมัดได้แค่ไม่กี่วันก็กล้าหลอกล่อวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงเหมือนจูงสนุกเดินเล่น ศักยภาพไม่ต้องพูดถึงให้มากความ ลำพังเพียงแค่ความกล้าหาญก็มากกว่าผู้ฝึกยุทธ์หลายคนในโลกแล้ว แน่นอนว่าหากเขาคิดจะเดิมพันสุดชีวิต การที่ค่อยๆ วางแผนไปทีละก้าว ระมัดระวังรอบคอบก็คือจุดแข็งของเฉินผิงอัน
บัณฑิตแซ่ฉู่กล่าวอย่างระอาใจ “ทำไมถึงยังต้องสู้กันอีก?”
เฉินผิงอันให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา “หากไม่สู้กับเจ้า เพื่อนของข้าและมือดาบคนนั้นจะเป็นอันตรายอย่างมาก”
สายตาของบัณฑิตแซ่ฉู่มืดทะมึน ต่อให้เป็นรูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ก็ยังต้องมีไฟโทสะลุกโชนสามจั้ง แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าถิ่นผู้แข็งแกร่งที่เคยชินกับชีวิตรุ่งโรจน์ในโลกมนุษย์มานานแล้วอย่างเขา “เจ้าหนุ่ม หากไม่เห็นโลงศพเจ้าก็คงไม่หลั่งน้ำตาสินะ? ข้าบอกกับเจ้าได้ตามตรงเลยว่า ข้างนอกบ้านโบราณยังมีอีกสองคนที่คอยจ้องหาโอกาสเหมาะๆ เจ้าจะเข้ามามีเอี่ยวด้วยจริงๆ หรือ? คิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ รึไง?”
คำตอบของเฉินผิงอันทำให้ไฟโทสะของบัณฑิตแซ่ฉู่ยิ่งลุกโชน “เจ้ากลัวข้าหรือไม่ กับข้าจะอัดเจ้าหรือไม่ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้ที่เขาจงใจถ่วงเวลาไว้นานขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันต้องการจะอวดอ้างบารมี แต่เป็นเพราะเขาอยากจะรอให้แน่ใจกับความต้องการของบรรพบุรุษน้อยทั้งสองในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เสียก่อน
และนี่จะตัดสินว่าเขาควรจะลงสนามต่อสู้ในครั้งนี้หรือไม่
—–