น้ำเสียงแหบเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่มีลางบอกเหตุ “กระบี่ไม่ควรชักออกจากฝักส่งเดช”
ทุกคนเงยหน้ามองไปตามเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ม่านราตรีตรงจุดนั้นกระเพื่อมเป็นริ้วเบาๆ ดูเหมือนว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นจะใช้ยันต์อำพรางกายชั้นเยี่ยมมองดูเหตุการณ์ในลานบ้านอยู่ตรงหลังคาตลอดเวลา เวลานี้พอค่อยๆ เผยกายจึงเห็นว่าเป็นเด็กสาวที่เรือนกายไม่สะโอดสะองสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เรียกว่าอ้วนฉุ ใบหน้าของนางกลมแป้นแดงปลั่ง สวมชุดผ้าต่วนสีแดง ดูมีสง่าราศีเปี่ยมวาสนา
นักพรตเฒ่าตกใจตะลึงลาน รีบกุมมือคารวะ “จ้าวหลิวคารวะอาจารย์อา”
เด็กสาวหน้ากลมที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่เล่มยาวกล่าวอย่างกังขา “เจ้ารู้จักข้าด้วยรึ?”
ผู้เฒ่ายิ้มเต็มใบหน้า “ลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ ไม่ว่าจะฝ่ายในหรือฝ่ายนอก มีใครบ้างที่ไม่รู้จักอาจารย์อา ถ้าไม่รู้จักก็หูตาคับแคบมีความรู้แค่หางอึ่งเกินไปแล้ว”
เด็กสาวหน้ากลมพลันหน้าดำ หัวเราะเสียงหยัน “ทำไม เรื่องน่าอายที่ข้าล้มเหลวในการบอกรักกุมารทอง คนทั้งสำนักล้วนรู้กันหมดแล้ว? ผู้หญิงปากยื่นปากยาวหรือผู้ชายปากสว่างคนไหนเอามาบอกเจ้า ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างสิ ตอนข้ากลับไปถึงสำนักจะต้องขอบคุณเขาดีๆ สักรอบ”
ไม่เพียงแต่นักพรตเฒ่าที่ไม่เข้าใจ อันที่จริงทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่พวกเขาจำอาจารย์อาท่านนี้ได้ไม่ใช่ด้วยเรื่องบอกรักไม่บอกรักอะไรนั่น แต่เป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่สาวน้อยผู้นี้มีความอาวุโสสูงมาก แต่กลับสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในสำนักโองการเทพได้เสมอ เวลาปกติชอบขับกระบี่ด้วยความเร็วสูงสุดพุ่งชนไปตามยอดเขาต่างๆ อีกทั้งยังเป็นเด็กสาวตัวอวบ บินไปบินมาอยู่อย่างนี้ทั้งปี เรื่องที่นางชอบทำมากที่สุดก็คือขี่กระบี่บินเข้าไปในชั้นเมฆ จากนั้นก็พุ่งหัวทิ่มลงมาจากกลางอากาศสูงร้อยจั้งพันจั้ง ขณะที่อยู่ห่างจากพื้นประมาณสองสามจั้งถึงจะบังคับกระบี่ให้ดีดตัวขึ้น บินแนบติดไปกับพื้นดิน จากไปไกลอย่างสง่างาม ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไป มีใครกล้าไม่กลัวตายแบบนี้บ้าง? แล้วใครที่จะจำท่านบรรพบุรุษน้อยคนนี้ไม่ได้บ้าง?
อีกอย่างเมื่อสองปีก่อนเด็กสาวพยายามที่จะเปลี่ยนทิศทางในขณะที่ห่างจากพื้นหนึ่งจั้ง ผลกลับกลายเป็นว่าหัวทิ่มลงพื้นทั้งกระบี่ทั้งคน ตั้งเด่ปักอยู่บนผืนดินอย่างโดดเดี่ยวเหมือนต้นหอมที่ปักกลับหัว ทำเอาพวกลูกศิษย์ที่เดิมทีมองดูพลางปรบมือร้องให้กำลังใจเป็นใบ้อึ้งค้างกันไปทุกคน
สุดท้ายเฮ้อเสี่ยวเหลียงกุมารีหยกที่สนิทกับนางมากสั่งสอนนางไปหนึ่งครั้ง ถึงทำให้บรรพบุรุษน้อยท่านนี้สำรวมขึ้นได้บ้าง
หลังจากนั้นไม่นานเด็กสาวก็ฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตห้าเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตของห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จ จากนั้นนางก็เริ่มขับกระบี่อยู่ในสำนักโองการเทพอีกครั้ง เตร็ดเตร่อยู่หน้าจวนของเทพเซียนภูเขาที่ตั้งอยู่ในภูเขาแต่ละลูก ทำให้พวกผู้อาวุโสในสำนักที่เคยชินกับการฝึกตนอย่างเงียบสงบเริ่มรำคาญหงุดหงิดงุ่นง่านใจ เพียงแต่ว่าตอนที่ท่านปู่ทวดของเด็กสาวยังมีชีวิตอยู่เคยเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของฉีเจินเจ้าสำนักโองการเทพคนปัจจุบัน เป็นเหตุให้เทียนจวินฉีเจินที่นิสัยเย็นชารักความสันโดษลำเอียงเข้าข้างทายาทของอาจารย์คนนี้มากเป็นพิเศษ ถึงขั้นมากยิ่งกว่าคู่กุมารทองกุมารีหยกด้วยซ้ำ
เด็กสาวเห็นสีหน้าของทุกคนก็รู้ทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิด แถมยังหลุดปากเผยความลับของตัวเองออกมา ใจอยากจะขับกระบี่หนีไปให้ไกลพันหมื่นลี้เสียเดี๋ยวนั้น แต่พอนึกถึงคำไหว้วานจากพี่สาวเฮ้อกับเจ้ากุมารทองใจสุนัขคนนั้น จึงได้แต่ข่มกลั้นไฟโทสะและความอับอาย ตีหน้าเคร่งยืนอยู่บนหลังคา เริ่มครุ่นคิดหาถ้อยคำที่จะใช้ขับไล่ชายหญิงเจ้าของบ้านโบราณที่ไม่รู้จักหนักเบาคู่นั้น
สำนักโองการเทพเองก็เหมือนสำนักส่วนใหญ่ที่มีการแบ่งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ก่อนที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะไปจากสำนักโองการเทพ กุมารทองกับกุมารีหยกอยู่ในสำนักเดียวกันถือเป็นความเจริญรุ่งเรืองที่หาได้ยากยิ่ง เพื่อฝึกประสบการณ์ให้กับศิษย์ที่เป็นความภาคภูมิใจของสำนักสองคนนี้ ฉีเจินเจ้าสำนักจึงมอบหมายงานของฝ่ายนอกให้เด็กรุ่นหลังทั้งสองโดยเฉพาะ แน่นอนว่าไม่ได้โยนงานใหญ่หนักหนาอะไรมาให้พวกเขาตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ให้พวกเขาทำหน้าที่เหมือนขุนนางผู้ตรวจการของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ที่มีสิทธิ์ตรวจสอบร้อยขุนนาง อีกอย่างบางครั้งพวกเฮ้อเสี่ยวเหลียงเองก็จะได้รับอำนาจในการจัดการเรื่องราวธรรมดาทั่วไปของฝ่ายนอกอย่างเต็มที่ แล้วก็มีอำนาจในการเขียนตัวอักษรสีแดง ซึ่งก็คือใช้พู่กันจุ่มหมึกสีขาดเขียนคำแนะนำว่าจะจัดการเรื่องราวหนึ่งโดยละเอียดอย่างไร จากนั้นก็มอบให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักไปจัดการเรื่องราวในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ถือเป็นหนึ่งในการขัดเกลาประสบการณ์ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร พวกเฮ้อเสี่ยวเหลียงสองคนก็มีอำนาจในการตรวจสอบและตัดสิน
ดังนั้นกุมารีหยกของระบบเต๋าในแจกันสมบัติทวีปอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงจึงได้รับการปลูกฝังอบรมอย่างลึกซึ้งจากสำนักอย่างแท้จริง แต่นางกลับเลือกจะจากสำนักโองการเทพไปอย่างเด็ดเดี่ยว อย่าว่าแต่คนนอกที่ไม่เข้าใจ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสและบุรพาจารย์หลายคนของฝ่ายในสำนักโองการเทพเองต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ ถึงได้มีคนด่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงว่าเป็นคนเนรคุณเลี้ยงเสียข้าวสุก
คงเป็นเพราะคนทั้งสำนักโองการเทพล้วนให้ความสำคัญกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงผู้มีโชควาสนาเป็นอันดับหนึ่งในทวีปมากเกินไป ดังนั้นรักมากจึงยิ่งเกลียดแค้นมาก
จดหมายลับที่หยางหว่างส่งไปยังสำนัก อันที่จริงสำนักโองการเทพได้รับตั้งแต่ช่วงปีใหม่แล้ว ตอนนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงยังไม่ออกจากสำนัก อีกทั้งยังเคยทะเลาะกับกุมารทองเพราะจดหมายฉบับนี้ กุมารทองหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรสีชาดก่อน เนื้อหาประมาณว่าให้จัดการอย่างเหมาะสม อย่าเข้มงวดกับหยางหว่างมากเกินไป เพราะอันที่จริงแล้วเรื่องนี้พอจะให้อภัยกันได้ แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับมีความคิดเห็นในทางตรงกันข้าม หนังสือสีชาดที่นางเขียนมีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรง บอกว่าหยางหว่างเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ แต่กลับตกต่ำกลายมาเป็นผีชาง ควรจะลงโทษอย่างเข้มงวดไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ทว่าการลงโทษที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงสองคนมีต่อผีสาวผู้นั้นกลับไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ต่างก็เลือกที่จะไม่ให้ความสนใจ
เพราะสองฝ่ายมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน จดหมายลับฉบับนี้ของหยางหว่างจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ชั่วขณะ สำหรับเรื่องนี้หากว่ากันตามเหตุตามผลและเรื่องราวบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้แล้ว ฝ่ายนอกของสำนักโองการเทพต่างก็เอนเอียงไปตามความคิดของเฮ้อเสี่ยวเหลียงในเวลานั้น แต่ใครก็คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพอีกต่อไป แม้แต่สถานะกุมารีหยกก็ยังตัดใจทอดทิ้งได้ลง กุมารทองที่หลงรักเฮ้อเสี่ยวเหลียงมานานหลายปีรู้สึกราวกับว่าจดหมายฉบับนั้นอัปมงคลเกินไป จึงไม่คิดจะสนใจอีก อีกทั้งในมือเขายังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกนับไม่ถ้วน จึงโยนไปให้กับผู้อาวุโสคุมกฎของฝ่ายนอกคนหนึ่ง บอกเพียงว่ามอบให้ลูกศิษย์ที่ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์จัดการตามสมควร ไม่ต้องสนใจเนื้อหาในหนังสือสีชาดที่มีความขัดแย้งกันเอง
เรื่องราวในภายหลังก็ชัดเจนมากแล้ว จ้าวหลิวคว้าโอกาสนี้ไว้ ลงจากภูเขามาแก้แค้นส่วนตัวด้วยตัวเอง
แต่ไม่รู้ว่าเด็กสาวหน้ากลมแซ่ฟู่คนนี้ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหนถึงได้แอบติดตามมาด้วย พอดีกับที่สามารถออกมาผ่อนคลายอารมณ์ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงกุมารทองใจดำของสำนักโองการเทพทั้งวัน นางขับกระบี่บินข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำอย่างสาแก่ใจ มีบ้างบางครั้งที่พบเจออุปสรรคระหว่างทาง แต่พอได้ยินว่านางเป็นลูกศิษย์สายตรงของฝ่ายในสำนักโองการเทพ ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ฝึกตนอิสระที่เหี้ยมหาญดุดัน ต่างก็แทบจะยกนางขึ้นบูชาเป็นพระโพธิสัตว์กันทั้งนั้น
คำพูดของเด็กสาวแซ่ฟู่อาจหลอกลวงกันได้ แต่กวานดอกบัวที่หายากซึ่งไม่ว่าใครก็ไม่กล้าล้ำเส้นใช้มั่วซั่ว รวมไปถึงหยกประดับสีทองสะดุดตาตรงเอวนั้นล้วนหลอกใครไม่ได้
หลังจากที่เด็กสาวหน้ากลมปรากฏตัว มือดาบเคราดกกับนักพรตจางซานเฟิงต่างก็รู้ดีว่าโชคชะตาของคู่สามีภรรยาหยางหว่างไม่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาอีกแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
‘ผู้อาวุโส’ ท่านหนึ่งของสำนักโองการเทพ พูดแค่ประโยคเดียวก็เพียงพอแล้ว
หยางหว่างกุมมือของผีสาว เงยหน้ามองเด็กสาวคนนั้น คลี่ยิ้มเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หยางหว่างและจัวจิงผู้กระทำผิดล้วนเชื่อฟังทุกคำตัดสินของอาจารย์อา ไม่ว่าเป็นหรือตายก็พร้อมน้อมรับ”
เด็กสาวหน้ากลมปรายตามองสามีภรรยาคู่นั้น คนหนึ่งแห้งเหี่ยว คนหนึ่งอัปลักษณ์ หน้าตาของพวกเขาทำให้คนชื่นชอบไม่ลงจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นรังเกียจสะอิดสะเอียน พอนึกถึงอักษรสีชาดสองฉบับในจดหมายลับ เด็กสาวก็ถอนหายใจ ในใจคิดว่าถึงอย่างไรพี่หญิงเฮ้อก็ไม่ใช่คนของสำนักโองการเทพอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามความต้องการของกุมารทองใจดำคนนั้นแล้วกัน?
นางกระแอมทำลำคอให้โล่ง แล้วออกคำสั่งว่า “จ้าวหลิวจงพาคนไปจัดการกับศาลเทพภูเขาเถื่อนแห่งนั้น ส่วนข้อที่ว่าจะลงมือด้วยตัวเอง หรือร่วมมือกับทางการของราชวงศ์ในท้องถิ่น พวกเจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง คู่สามีภรรยาหยางหว่าง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันหน้าห้ามทำเรื่องชั่วร้ายโดยใช้นามของสำนักโองการเทพอีก สรุปก็คือนับจากวันนี้ไป ทุกการกระทำของพวกเจ้าสองสามีภรรยาจะไม่เกี่ยวข้องกับสำนักโองการเทพอีกแล้ว”
ในเมื่อดูเรื่องสนุกจบแล้ว เด็กสาวหน้ากลมก็ไม่เต็มใจจะอยู่ในสถานที่เฮงซวยที่แม่น้ำและภูเขาเสื่อมโทรมแห่งนี้อีก นางจึงบังคับกระบี่แหวกอากาศจากไปด้วยความเร็วที่มากที่สุด คนอื่นเวลาขับกระบี่ มักจะค่อยๆ ไต่เนินไปเป็นวงเส้นโค้ง สุดท้ายถึงเข้าไปกลางอากาศสูง เด็กสาวแซ่ฟู่กลับบินพุ่งเป็นแนวเส้นตรง ทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ ทำเอาคนมองอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าหากไม่ระวังนางจะหล่นลงมา
หยางหว่างนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตะโกนเสียงดัง “ขอบพระคุณอาจารย์อาฟู่ที่ก่อนหน้านี้ช่วยไล่ศัตรูไปให้!”
ผู้เฒ่าจ้าวหลิวกุมมือคารวะน้อมส่งเด็กสาว หลังจากนั้นก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง แล้วหมุนกายจากไปไม่พูดไม่จา
หยางหว่างไม่ได้ลำพองใจเพราะเหตุนี้ กลับกันยังกุมมือคารวะเอ่ยขออภัยเซียนซือน้อยทั้งหลายของสำนักโองการเทพ เว้นก็แต่คนหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์ของผู้เฒ่า “หยางหว่างมีแต่มลทินเต็มตัว ไม่กล้าไปส่งเซียนซือทุกท่าน”
นักพรตเด็กหนุ่มดึงเชือกพันธนาการปีศาจกลับมา เขากับพี่สาวฝาแฝดที่ตรงเอวมีแส้ไม้ไผ่ลังเลกันเล็กน้อย สุดท้ายจึงผงกศีรษะให้เบาๆ
เด็กน้อยที่ในมือถือไม้สยบปีศาจเดินอาดๆ จากไป แล้วจู่ๆ ก็หันกลับมาทำหน้าทะเล้นใส่ผีสาวภูตต้นไม้ ยิ้มเย้ย “ตัวอัปลักษณ์เอ๋ยตัวอัปลักษณ์!”
ผีสาวที่เดิมทียังยิ้มหวานด้วยความยินดีพลันมีสีหน้าหม่นเศร้า หันหน้ากลับไปช้าๆ ยกสองมือปิดหน้า ไม่กล้าให้ใครพบเห็นอีก
ทันใดนั้น
เด็กชายพลันชะงักฝีเท้า ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขยับ แต่เป็นเพราะขยับไม่ได้ต่างหาก
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ อันที่จริงแล้วลูกศิษย์ที่ได้รับความสำคัญจากสำนักที่แท้จริงก็คือเขาที่เป็นดั่งวัสดุอันดีในการฝึกตน เกิดมาก็มีลางสังหรณ์ที่แม่นยำเกินใคร ไม่ใช่พี่น้องฝาแฝดชายหญิงคู่นั้น ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่โง่เง่าที่ ‘นอนคว่ำอาบแดดอยู่ในขอบเขตสามมานานหลายปี’ ผู้นั้น
เขารีบหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว
กลางฝ่ามือที่กำไม้สยบปีศาจซึ่งสลักคำว่า ‘หมื่นผีศิโรราบ’ ไว้แน่นของนักพรตน้อยเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาย้ายสายตาไปอย่างเชื่องช้า ไม่พูดถึงผีสาวหน้าตาอัปลักษณ์ หยางหว่างผีชางที่อ่อนแอเหมือนคนขี้โรค มือดาบเคราดกที่อาศัยอาวุธเทพชิ้นหนึ่งอวดอ้างบารมี นักพรตจากกุรุทวีปที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นจางเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ สุดท้ายถึงเป็นเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้สีหน้าไร้อารมณ์
ในสายตาของทุกคนแล้ว การกระทำนี้ของนักพรตน้อยที่หน้าอ่อนเยาว์เหมือนนิสัยเกเรของเด็กน้อยคนหนึ่ง
มีเพียงเฉินผิงอันที่ยื่นสองนิ้ว ทำมือแปลกๆ ทิ่มไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง
นักพรตน้อยรีบกะพริบตาปริบๆ กลืนน้ำลาย สุดท้ายฝืนยิ้ม โบกมือลาคนที่ลางสังหรณ์ทำให้เขารู้สึกว่าอันตรายอย่างถึงที่สุดคนนั้นด้วยความเกรงใจ
นักพรตน้อยเผ่นหนีพลางสบถด่าในใจไปด้วย แม่งเอ๊ย พลังอำนาจคมกริบในร่างของไอ้หมอนี่ทำไมถึงเหมือนตัวประหลาดเฒ่าห้าขอบเขตกลางยิ่งนัก? อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนประเภทที่มักจะลงจากภูเขามาเข่นฆ่า ผ่านสงครามมานับร้อยด้วย
นักพรตน้อยไม่ได้คิดจะรายงานให้เบื้องบนรู้ ต่อให้ยั่วยุให้คู่อาจารย์และศิษย์อย่างจ้าวหลิวแว้งกลับไปเล่นงานอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
บนเส้นทางของการฝึกตน นอกจากมหามรรคาแล้ว ประโยคที่บอกว่ามีเรื่องเพิ่มมากขึ้นหนึ่งเรื่องไม่สู้มีน้อยลงหนึ่งเรื่อง ไม่ใช่ถ้อยคำที่ไร้สาระเลยจริงๆ
นักพรตน้อยวิ่งไปวิ่งมาก็รู้สึกตลก อารมณ์มืดครึ้มกลับมากระจ่างใสในชั่วพริบตา
ว้าว เป็นเหมือนที่อาจารย์ของตนว่าไว้จริงๆ ด้านล่างภูเขาก็มียอดฝีมือสูงส่งเหมือนกัน! ตนก็เพิ่งเจอมาหยกๆ ไม่ใช่หรือ? พอกลับไปแล้วจะต้องเล่าให้อาจารย์ฟังให้ได้ว่า คนที่ตนเจอมา อย่างน้อยก็ต้องเป็นตัวประหลาดเฒ่าขอบเขตโอสถทองคำ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเซียนพสุธาขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่งก็ได้ หน้าไม่อายยิ่งนัก แสร้งปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่ม ทำเอาเขาตกใจจนแทบฉี่ราด…
นักพรตน้อยวิ่งห่อไปอย่างลิงโลด แถมยังกระโดดตัวสูงหนึ่งครั้ง กล่าวอย่างอารมณ์ดี “วู้หู้ว ลงเขามาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวแล้ว”
สองพี่น้องที่เดินอยู่กลางระเบียงนำไปเบื้องหน้าหันกลับไปมองพร้อมกัน
นักพรตน้อยรีบกลั้นหายใจสงบสติ พอเท้าเหยียบลงพื้นแล้วก็เดินต่อไปด้วยฝีเท้ามั่นคงเหมือนคนแก่
ทางฝั่งของหอซิ่วโหลว หลังจากมรสุมผ่านไปแล้ว แม้ว่าเจ้าบ้านชายหญิงต่างก็อยู่ในอารมณ์ตกใจหวาดหวั่นตลอดเวลา แต่เมื่อผ่านพ้นหายนะมาได้ สองสามีภรรยาก็จับมือ หันมาส่งยิ้มให้กัน ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องให้เอื้อนเอ่ย พวกเขารู้สึกเพียงว่าได้สมหวังดังใจปรารถนา ภาระทั้งหมดสลายไปสิ้น ความขมขื่นหมดลง ความหวานชื่นก็เข้ามาแทนที่
—–