ตอนที่ 221 มุงดูเรื่องสนุก

จวนเจ้าเมือง เมืองแยนจือ

หลังจากขโมยแผนที่ของบิดาตัวเองแล้ว หลิวเกาหวาที่เป็นขโมยขึ้นบ้านตัวเองก็คล้ายวัวสันหลังหวะ รู้สึกว่าเงินห้าสิบตำลึงร้อนลวกมือ อยากจะชดเชยให้บ้าง จึงทิ้งแขกอย่างพวกมือดาบเคราดกสามคนไว้ในห้องรับแขก ส่วนตัวเองวิ่งไปที่ห้องทำงานบิดา บอกว่าการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ของตนได้พบเทพเซียนที่ถูกกล่าวถึงในตำรา ชายฉกรรจ์เคราดกคนหนึ่งในนั้นคือจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ ต่อให้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในเมืองก็อาจจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด และยังมีจางเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์อีกท่านหนึ่ง ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อ มีความรู้ลึกซึ้ง สังหารปีศาจกำราบมารได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ยกมือ สุดท้ายคนที่แซ่เฉินก็ยิ่งร้ายกาจ อย่าเห็นว่าหน้าตาเขาเหมือนเด็กหนุ่ม เพราะอันที่จริงอายุมากถึงแปดสิบเก้าสิบปีแล้ว เพียงแต่ว่า ‘ฝึกตนประสบความสำเร็จ จึงมีโฉมหน้าอ่อนเยาว์’ เท่านั้น

คำคุยโวของหลิวเกาหวาผู้เป็นบุตรชายทำเอาใต้เท้าเจ้าเมืองเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แฝงไว้ด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย จึงพากุนซือของจวนที่มีความรู้กว้างขวางผู้หนึ่งมุ่งหน้าไปยังห้องรับแขกด้วยกัน ผลคือท่านเจ้าเมืองรู้สึกผิดหวังอย่างมาก บุรุษไม่เห็นเคยภูตผีปีศาจมาก่อนก็จริง แต่สายตาในการมองคนไม่ได้แย่ หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ นั่งลงดื่มชาได้ถ้วยหนึ่งก็หมดสิ้นซึ่งความสนใจ บอกให้หลิวเกาหวารับรองแขกทั้งสามท่านให้ดี จากนั้นก็หาข้ออ้างกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง

ตลอดทางที่เดินไป เจ้าเมืองหลิวส่ายหัวไม่หยุด “จอมยุทธ์ใหญ่ เทียนซืออะไรกัน ไม่เห็นจะสมชื่อ ต้มตุ๋นหลอกลวงมาถึงจวนข้า ช่างใจกล้าเทียมฟ้าซะจริง หากหลังจากนี้พวกเขากล้าเสนอข้อเรียกร้อง ข้าผู้เป็นขุนนางจะให้พวกเขาต้องเปลี่ยนมาสวมชุดนักโทษ กินข้าวแดงกันเสียให้อิ่ม”

กุนซือเฒ่าเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “คงไม่ถึงขนาดมาขอกินฟรีดื่มฟรีหรอก นักพรตหนุ่มกับเด็กหนุ่มสะพายกรอบไม้นั้นยังบอกไม่ได้ แต่มือดาบผู้นั้นมีความสามารถที่แท้จริงอยู่หลายส่วน องค์รักษ์ของจวนต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน ใต้เท้าหลิว ต้องรู้ว่าก่อนที่ข้าจะเข้ามาอยู่ในจวน เคยมีประสบการณ์ในยุทธภพมายี่สิบกว่าปี เคยพบเจอปรมาจารย์แห่งยุทธภพที่มีชื่อเสียงมาหลายคน ทางทิศใต้ของแคว้นไฉ่อีเรามียอดฝีมือน้อยจนนับนิ้วได้ หากพูดกันแค่ด้านบุคลิกท่าทางแล้ว ชายฉกรรจ์เคราดกคนนั้นก็ไม่เป็นรองแม้แต่น้อย สายตาคมกริบ ลักษณะดุดันทรงอำนาจ”

เจ้าเมืองพยักหน้ารับ “ฟังเจ้าพูดอย่างนี้ก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”

กุนซือเฒ่าเตือนเสียงเบา “ใต้เท้าหลิว ท่านลองคิดดูนะ แม่ทัพใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์เมืองแห่งนี้คือปรมาจารย์ขอบเขตสี่ที่ได้รับการยอมรับจากผู้คน พวกเราเคยเห็นเขาไกลๆ ในงานเลี้ยง ตอนนั้นก็รู้สึกแล้วว่าต่อให้เขาจะแค่ดื่มเหล้าหรือพูดคุยกับคนอื่นก็มีพลังอำนาจน่าเกรงขามโดยไม่ต้องแสดงความโกรธ เห็นแล้วน่าตกใจมาก ลองมาย้อนนึกดูอย่างละเอียด จอมยุทธ์ที่เรียกตัวเองว่าแซ่สวีคนนั้นก็มีลักษณะคล้ายเขาอยู่หลายส่วนไม่ใช่หรือ?”

เจ้าเมืองหลิวขมวดคิ้ว “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าคือควรจะผูกมิตรไว้สักหน่อย? แต่ได้ยินมาว่าการคบค้าสมาคมกับคนในยุทธภพต้องทุ่มทองเป็นพันตำลึงถึงจะถือว่าใจกว้างมากพอ หากเอาเงินแค่ไม่กี่ตำลึงมาให้เป็นค่าเดินทางกลับไม่เพียงไม่ถูกมองว่าเป็นน้ำใจ ยังกลายเป็นการหมิ่นเกียรติ เท่ากับว่าล่วงเกินพวกชาวยุทธ์เหล่านั้น ข้าเป็นขุนนางมือสะอาดมัธยัสถ์ ไม่มีทรัพย์สมบัติเหลือพอจะเอามาใช้ได้ แบบนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ? หรือว่าจะต้องไปขอยืมเงินจากพวกคนรวยในเมือง?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ขุนนางผู้เป็นเสมือนบิดาของราษฎรในเมืองนี้ก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ “หากเป็นความสัมพันธ์ที่มีแต่กลิ่นเงินแบบนี้ ข้าไม่เห็นจะต้องการ”

ทัศนคติที่บัณฑิตมีต่อคนในยุทธภพ โดยเฉพาะบัณฑิตที่มีตำแหน่งขุนนาง แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจยังคงมีความดูแคลนอยู่

กุนซือเฒ่าถอนหายใจอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ในยุทธภพที่มาเยือนถึงบ้านตัวเอง เจ้าเมืองหลิวผู้นี้ก็ยังรับไว้ไม่อยู่ ก็ไม่แปลกที่แม้จะเขียนบทความได้ดี แต่กลับยังเป็นได้แค่ขุนนางระดับสี่ แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ผู้คุมสอบของเจ้าเมืองหลิวเอง ตอนนี้ก็ยังเป็นได้แค่ขุนนางระดับกงในแคว้นไฉ่อีเท่านั้น หากเปลี่ยนมาเป็นเขาที่ได้เป็นเจ้าเมือง อย่าว่าแต่ยืมเงินกับคนรวยเลย ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็จะไม่เสียดายแม้แต่น้อย สมมติว่ามือดาบเคราดกคนนั้นคือยอดฝีมือขอบเขตสามระดับปรมาจารย์น้อยในยุทธภพ ขอแค่ผูกความสัมพันธ์ไว้ได้แล้ว ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่ทำได้ใต้โต๊ะก็มีถมเถไป อีกอย่างคำว่าน้ำใจที่มีให้กัน หากไม่มีการไปมาหาสู่จะไปเอาน้ำใจจากไหนมามอบให้กัน คิดจะให้คนอื่นเป็นฝ่ายขอร้องตัวเองเสียทุกเรื่อง ไม่ใช่วิถีแห่งการเป็นขุนนางเสียหน่อย ในเมื่อรู้จักกับตระกูลเศรษฐีในเมือง ยืมเงินแค่ไม่กี่ร้อยตำลึงจะทำให้ท่านเจ้าเมืองหลิวเสียหน้ามากนักหรือ? ผิดแล้ว ต้องบอกว่าเจ้าช่วยให้คนครอบครัวนั้นมีหน้ามีตาต่างหาก เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้เจ้าเมืองหลิวไม่ชอบฟัง ด้วยรู้สึกว่าเป็นการหยามเกียรติ กุนซือเฒ่าเคยพูดครั้งสองครั้งจึงพอจะรู้แกว

พอคิดมาถึงตรงนี้ กุนซือเฒ่าก็ให้รู้สึกหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาอีกครั้ง วงการขุนนางเลื้อยลดคดเคี้ยวขนาดนี้ แล้วในยุทธภพจะไม่ใช่ได้อย่างไร? ก่อนหน้าที่เขาจะเปลี่ยนชื่อแซ่ อันที่จริงเคยเป็นที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์คนสนิทของผู้นำกลุ่มยุทธภพทางทิศใต้ของแคว้นไฉ่อี ถือคติมีบุญคุณต้องตอบแทน มีแค้นต้องชำระก็จริง แต่ที่มากกว่านั้นคือรู้ว่าเรื่องราวบนโลกยิบย่อยเหมือนเส้นขน ไม่ว่าเจ้าจะเคยเป็นวีรบุรุษผู้ห้าวหาญ เปี่ยมไปด้วยปณิธานยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ผ่านไปเพียงไม่กี่ปีพลังเหล่านั้นก็ถูกเผาผลาญกล่อมกลืนจนหมดสิ้น ปีนั้นท่านผู้นำเฒ่าเคยองอาจเกรียงไกรถึงเพียงนั้น สุดท้ายก็กลายเป็นแค่คนที่บ้านแตกสาแหรกขาดเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

หลังจากที่เจ้าเมืองหลิวจากไปด้วยท่าทีเฉยเมย หลิวเกาหวาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย บวกกับเรื่องที่ที่นี่คือจวนของเจ้าเมือง แต่กลับยากจนถึงขนาดหาห้องมารับรองแขกสักห้องสองห้องยังไม่ได้ มือดาบเคราดกจึงให้หลิวเกาหวาพาไปพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ที่สุด ขอแค่นักพรตเฒ่าของสำนักโองการเทพเข้ามาที่จวนเจ้าเมืองจะต้องรีบแจ้งพวกเขาสามคนทันที หลิวเกาหวารับปากอย่างกระตือรือร้น

เพราะสถานที่แห่งนี้ทำเลดี อีกทั้งยังเป็นร้านเก่าแก่ กิจการของโรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงรุ่งเรืองดีมาก ยังดีที่บุตรชายของเจ้าเมืองพอจะมีคนนับหน้าถือตาอยู่บ้าง เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงจัดห้องให้สามห้อง อีกทั้งยังไม่กล้าคิดราคา ส่วนหลิวเกาหวาก็รับน้ำใจนี้ไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้ตระหนักถึงความเสียดายอย่างสุดซึ้งของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเลย นี่ทำให้มือดาบเคราดกที่มองดูอยู่รู้สึกขำ แม้แต่นักพรตจางซานเฟิงก็ยังส่ายหน้า

เรื่องราวบนโลกมนุษย์และน้ำใจของคนก็คือความรู้อย่างหนึ่งเช่นกัน ความรู้เหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้มีเขียนไว้ในหนังสือของอริยะ แต่เมื่อมาอยู่ในยุทธภพ เฉินผิงอันเห็นอยู่ในสายตา จดจำไว้ในหัวใจ

อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดอย่างตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวาก็มีเรื่องแบบนี้เช่นกัน

คนทั้งสามพูดคุยกันอยู่ในห้องของชายฉกรรจ์เครารก ตอนที่คุยกันเรื่องของบ้านโบราณก็พูดไปถึงยันต์เทพเดินทางของจางซานเฟิง หลังจากสวีหย่วนเสียถามถึงราคาของมัน แล้วได้รู้ว่ามันแพงขนาดนั้น ก็ให้รู้สึกผิดต่อนักพรตจากกุรุทวีปคนนี้จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า การกำจัดปีศาจปราบมารในครั้งหน้าจะต้องให้มีผลเก็บเกี่ยวถึงจะได้ แม้ว่าจางซานเฟิงจะยากจนจนเกิดเป็นความกลัว แต่ก็ไม่เคยกล่าวโทษฟ้าหรือโทษคนอื่นแม้แต่คำเดียว นี่ทำให้สวีหย่วนเสียต้องหันมามองเขาใหม่ ชายฉกรรจ์รู้ว่าบนเส้นทางของการฝึกตน การสั่งสมทรัพย์สมบัติของผู้ฝึกลมปราณสำคัญมากแค่ไหน สวีหย่วนเสียที่บุกเหนือล่องใต้รู้กฎเกณฑ์บางอย่างของตระกูลเซียนบนภูเขาอย่างละเอียด ผู้ฝึกลมปราณฝึกไปฝึกมา ต้องฝึกตบะฝึกจิตใจ ที่มากกว่านั้นคือฝึกหาเงินหาทอง หากนักพรตหนุ่มมีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงยากที่จะเดินไปบนจุดสูงได้ ต่อให้จิตใจดีงามแค่ไหนก็ทนการทรมานที่เหมือนถูกหั่นเนื้อด้วยมีดทื่อเช่นนี้ไม่ได้

หลังผ่านการพูดคุยกันอย่างสบายๆ เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เข้าใจกับทัศนียภาพของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างอย่างเป็นรูปธรรม

คราวก่อนที่เดินทางกลับจากต้าสุยพร้อมกับ ‘ลูกศิษย์’ อย่างชุยฉาน เพราะตอนนั้นหลินโส่วอีถือเป็นเทพเซียนบนภูเขาครึ่งตัวแล้ว เฉินผิงอันจึงค่อนข้างสงสัยใคร่รู้ มีครั้งหนึ่งที่คนทั้งสองคุยเล่นกัน เฉินผิงอันก็เป็นฝ่ายถามถึงเรื่องการฝึกลมปราณอย่างที่หาได้ยาก

ผลกลับกลายเป็นว่าตอนนั้นเด็กหนุ่มชุยฉานเหลือกตาใส่เขาโดยตรง พร้อมกับเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ห้าขอบเขตล่าง? มีแต่พวกขยะทั้งนั้น พูดไปก็น่าเบื่อ ถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์อันสูงส่งของอาจารย์ อาจารย์ พวกเรามาคุยถึงห้าขอบเขตบนกันดีไหม? นึกถึงปีนั้นที่ดีๆ ชั่วๆ ศิษย์อย่างข้าก็เป็นถึงขอบเขตสิบสอง…

ตอนนั้นเฉินผิงอันค่อนข้างจะอคติกับเขา จึงไม่เต็มใจจะฟังเด็กหนุ่มชุดขาวคุยโวโอ้อวด จึงลุกขึ้นเดินไปฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งอยู่ไกลๆ

ตอนนี้เฉินผิงอันมาย้อนนึกดู สิ่งที่เขาทำไปเป็นการทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของชุยฉานมากเกินไปหรือเปล่า? เซียนที่ ‘ดีๆ ชั่วๆ’ ก็เคยอยู่ในขอบเขตสิบสองมาก่อน และยังเคยเล่นหมากล้อมท่ามกลางชั้นเมฆหลากสีกับเจ้านครจักรพรรดิขาว…

เฉินผิงอันเกาหัว ก้มหน้าดื่มชา แต่ในใจกลับนึกเสียดายตั๋วเงินสองพันตำลึงที่ส่งไปให้ ‘ชุยตงซาน’ พร้อมกับจดหมาย เกรงใจลูกศิษย์ของตัวเองที่เคยเป็นเซียนมากถึงขนาดนี้ ไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย แบบนี้ไม่เท่ากับหมิ่นเกียรติอีกฝ่ายหรอกหรือ

ห้าขอบเขตล่างของผู้ฝึกลมปราณคือห้าขอบเขตของการขึ้นภูเขา ขอบเขตหนังทองแดง ขอบเขตรากหญ้า ขอบเขตเอ็นหลิว ขอบเขตปราณกระดูก และขอบเขตสร้างกระท่อม สี่ขอบเขตแรกแบ่งออกเป็นการฝึกหนัง เนื้อ เส้นเอ็นและกระดูก เรียกว่าผู้ฝึกลมปราณ แต่แท้จริงแล้วการสร้างเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานก็สำคัญมากเหมือนกัน หลักการนั้นง่ายดายมาก หากเปรียบเทียบร่างกายของคนเป็นถ้วยน้ำหนึ่งใบซึ่งจะหลอมลมปราณออกมาได้หนึ่งจิน หากถ้วยน้ำบรรจุได้แค่แปดส่วน ที่เหลืออีกสองส่วนก็ไม่ต้องพูดถึง ขอบเขตสุดท้ายก็คือการผสมผสานรวมทุกอย่าง นำมาหล่อหลอมในเตาเดียวกัน คือขอบเขตที่สร้างภาชนะบรรจุลมปราณของเรือนกายนี้ ความหมายก็คือต้องการบอกว่าสามารถเดินขึ้นเขาได้อย่างเป็นทางการแล้ว

เพราะผีชางหยางหว่างพูดถึงขอบเขตเส้นเอ็นหลิวอยู่หลายครั้ง บอกว่ามันคือ ‘ขอบเขตรั้งคน’ ชายฉกรรจ์เคราดกจึงอธิบายให้เฉินผิงอันที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญฟัง เขาเล่าได้อย่างมีรสชาติ เต็มไปด้วยถ้อยคำหยอกล้อที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวมีต่อเทพเซียนบนภูเขา ทำเอานักพรตหนุ่มที่ขอบเขตหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตสามพอดีระอาใจอย่างยิ่ง

“เคยมีผู้ฝึกลมปราณแซ่หลิวที่เปี่ยมล้นไปด้วยพรสวรรค์คนหนึ่ง ลำพังเพียงแค่เรื่องการหล่อหลอมเส้นเอ็นก็เดินขึ้นสู่ห้าขอบเขตบนได้โดยตรง มีร่างเป็นเซียนที่แข็งแกร่งเกินกว่าใครจะทัดเทียม สามารถเรียกได้ว่าไม่มีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และจะไม่มีอีกในกาลข้างหน้า เป็นเหตุให้ตั้งชื่อขอบเขตนี้ว่าขอบเขตเส้นเอ็นหลิว และมีอีกชื่อว่าขอบเขตรั้งคน เพราะผู้ฝึกตนจำนวนมากที่ปรารถนาจะเดินทางลัดหลงใช้ทางผิด ตั้งใจศึกษาวิชาลับไม่สมบูรณ์ของขอบเขตนี้ที่ผู้ฝึกตนแซ่หลิวทิ้งเอาไว้ ถูกถ่วงรั้งเป็นเวลานานเกินไป สุดท้ายก็เสียเวลาไปทั้งชีวิต”

ชายฉกรรจ์เคราดกดื่มชา แต่กลับคึกคักดั่งดื่มสุรา ถ้อยคำที่เอ่ยสอดแทรกคำหยอกเย้าอยู่เป็นระยะ “ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเรามักจะถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาดูแลน แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไรเราก็แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกลมปราณ นั่นคือทุกก้าวย่างเดินไปอย่างมั่นคง ไม่มีทางลัดอะไรให้เดินทั้งนั้น จริงจังอย่างถึงที่สุด ดังนั้นขอบเขตเส้นเอ็นหลิวนี้จึงรั้งตัวผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่ในใจคาดหวังว่าตัวเองจะโชคดีเอาไว้มากมาย อีกอย่างขอแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างไม่ใช่พวกผู้ฝึกกระบี่ของสำนักการทหาร เจอกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสามอย่างพวกเราก็อย่าหวังว่าจะเอาเปรียบเราได้!”

นักพรตหนุ่มคือผู้ฝึกลมปราณคนเดียวที่นั่งอยู่ตรงนั้น เขากล่าวอย่างอัดอั้นว่า “รอให้ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเจ้าหลอมลมปราณถึงขอบเขตสาม แล้วผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราถึงห้าขอบเขตกลางก่อน ค่อยมาแข่งกันดูอีกครั้งไหมล่ะ? ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราต้องมีโอกาสชนะมากกว่าแน่”

ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะหึหึ “พวกเราแข่งกับคนในขอบเขตเดียวกันเท่านั้น ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเก้าโอสถทองคำถือว่าเป็นเทพเซียนได้แล้วไหมล่ะ? มาเจอกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตยอดเขาของพวกเราหน่อยเป็นไง? ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นของต้าหลีผู้นั้น ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเจ้ามีสักกี่คนที่กล้าอวดดีต่อหน้าเขา? ซ่งจ่างจิ้งคนนี้ก็คือคนที่เป็นอย่างนี้ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวของแจกันสมบัติทวีปเรา!”

ชายฉกรรจ์เคราดกพูดคำว่าอย่างนี้แล้วยกนิ้วโป้ง

เขาชูนิ้วโป้งตั้งไว้ไม่ยอมเอาลง แถมยังเอ่ยชื่นชมไม่หยุด “ผู้ฝึกยุทธ์ระดับนี้ต่างหากถึงจะเป็นวีรบุรุษในโลกที่แท้จริง ตัวอยู่ด้านล่างภูเขา แต่กลับสามารถมองไปบนภูเขาได้อย่างโอหัง เจ็บใจก็แต่ข้าสวีหย่วนเสียไม่เคยได้พบกับเขา หาไม่แล้วต่อให้ต้องทำตัวหน้าด้านแค่ไหนก็ต้องดื่มคารวะเขาสักจอกให้จงได้!”

เฉินผิงอันสีหน้าปั้นยาก

ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นก็คืออาแท้ๆ ของซ่งจี๋ซิน เขาเคยมาเยือนตรอกหนีผิง เฉินผิงอันยังเคยพูดจาทักทายเขาสองสามคำ

อีกอย่างผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ขอบเขตพอๆ กับซ่งจ่างจิ้ง แค่เมืองเล็กบ้านเกิดตน ก็ยังมีบิดาของหลี่ไหวอยู่อีกคน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านปู่ของชุยฉาน

เฉินผิงอันดื่มชาเงียบๆ

หลังจากนั้นคนทั้งสามก็ลงไปกินข้าวที่ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม บนโต๊ะอาหารในห้องโถงใหญ่มีเสียงของผู้คนพูดคุยกันดังไม่ขาดระยะ ที่แท้ก็มีเทพเซียนเฒ่าคนหนึ่งกำลังจะมาเยือนเมืองแยนจือ เขามีวิชาอภินิหารอยู่ในมือ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงหลากหลายยากจะคาดเดา เทพเซียนในหนังสือสามารถโปรยถั่วให้เป็นขุนพล ส่วนเขาสามารถโยนกระดาษให้กลายเป็นสาวงาม หลังจากที่กระดาษเหลืองแต่ละแผ่นพลิ้วลงบนพื้น สาวงามเรือนกายอรชนอ้อนแอ้น รูปโฉมงดงามแตกต่างกันออกไปก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากคนมีชีวิตจริงๆ สามารถร้องรำทำเพลง ตอบคำถามพูดคุยได้อย่างคล่องแคล่ว

การเดินทางลงใต้ของเทพเซียนเฒ่าในครั้งนี้ ทำให้ขุนนางและชนชั้นสูงระหว่างทางก่อนจะมาถึงแคว้นไฉ่อีต่างก็อดชื่นชมไม่ได้ เป็นเหตุให้เทพเซียนเฒ่ายังไม่ทันมาถึง คนของแคว้นไฉ่อีที่ขึ้นชื่อเรื่องสาวงามจึงตั้งตารอคอยกันอย่างยิ่ง บุรุษคาดหวังอยากเห็นสาวงามที่จำแลงกายมาจากกระดาษ ด้วยอยากรู้ว่าจะมีอะไรพิเศษหรือไม่ ส่วนสตรีที่หน้าตาดีก็เกิดใจอยากแข่งขัน เพียงแค่กระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งจะมาเอาชนะพวกนางที่เป็นคนจริงๆ ได้อย่างไร?

เฉินผิงอันไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

ส่วนชายฉกรรจ์เคราดกกับนักพรตจางซานเฟิงต่างก็หมายมั่นปั้นมือ บอกว่าต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง คนหนึ่งบอกว่าไม่แน่ว่าเทพเซียนเฒ่าผู้นั้นอาจเป็นภูตผีปีศาจที่ห่มหนังคน ส่วนอีกคนก็พยักหน้ารับเออออคล้อยตาม บอกว่าจะอนุญาตให้ปีศาจมาล่อลวงใจคนไม่ได้เด็ดขาด

เฉินผิงอันมองคนทั้งสองที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความเที่ยงธรรม ในใจคิดว่าพวกเจ้าสองคนช่วยเช็ดน้ำลายตรงปากออกก่อนแล้วค่อยพูดได้หรือไม่ แค่อยากเห็นสาวงามไม่ใช่หรือ ก็พูดมาตรงๆ สิ ข้าไม่หัวเราะเยาะพวกเจ้าหรอกน่า

เฮ้อ จะว่าไปแล้วก็คงเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยอย่างแท้จริงมาก่อน ข้อนี้เฉินผิงอันมั่นใจอย่างยิ่ง

เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองเคยเห็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในใต้หล้าแล้ว

คิ้วของนางดุจภูเขาห่างไกล (คนสมัยโบราณจะบรรยายคิ้วของสาวงามว่าเป็นภูเขาในฤดูใบไม้ผลิ เพราะในสมัยโบราณผู้หญิงจะชอบใช้สีเขียวอมดำเขียนคิ้ว ลักษณะโค้งโก่งซึ่งมองไกลๆ คล้ายภูเขา)

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset