เฉินผิงอันกลับมานั่งที่ได้ไม่นาน ไม่เห็นจางซานเฟิง ชายฉกรรจ์เคราดกเป็นชอบพูดจาตลกจึงบอกว่านักพรตหนุ่มกับดรุณีน้อยคนหนึ่งถูกตาต้องใจกันจึงพากันไปหาความสำราญแล้ว หลิวเกาหวาเออออห่อหมกตามไปอย่างสนุกสนาน เฉินผิงอันย่อมไม่เชื่อ แต่เห็นสีหน้าของบุตรชายท่านเจ้าเมืองในเวลานี้ สีหน้าของเฉินผิงอันจึงฉายแววประหลาด ในใจคิดว่าใต้หล้านี้คงไม่มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้หรอกกระมัง หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยถามว่า “เจ้ามีพี่สาวน้องสาวที่หมั้นหมายไปแล้วหรือw,j?”
หลิวเกาหวาไม่เข้าใจ “ไม่มีนี่ ตอนนี้ข้ายังไม่ได้แต่งภรรยา พวกนางเองก็ยังไม่ออกเรือน แต่ละคนอยู่ว่างๆ ไม่ทำอะไรนอกจากกินดื่มไปวันๆ ท่านพ่อข้าบ่นเป็นประจำว่าพวกเรามีแต่คนไม่เอาไหน เงินเดือนของเขาล้วนถูกพวกเราย่ำยีจนเละเทะ โดยเฉพาะการเตรียมสินสอดทองหมั้น ทำเอาเขาไม่เหลือเงินให้ซื้อของประดับตกแต่งบ้านมานานหลายปีแล้ว”
เฉินผิงอันโล่งใจ ยังไม่ได้แต่งงานหรือหมั้นหมายก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นหากสตรีที่ใบหน้าคล้ายหลิวเกาหวาอยู่หลายส่วนคนนั้นเป็นพี่น้องของเขาจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็คงลำบากใจ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเล่าเรื่องที่นางเป็นดอกซิ่งแดงบานออกไปนอกกำแพง (หมายถึงผู้หญิงที่แต่งงานแล้วคบชู้) ดีหรือไม่
เพียงไม่นานการแสดงทางฝั่งของแท่นสูงใจกลางทะเลสาบก็ปิดฉากลง เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว เจ้าเมืองหลิวและแม่ทัพหม่าต่างก็เดินออกมาจากศาลาริมน้ำ ไปทักทายปราศรัยกับเทพเซียนเฒ่าด้วยตัวเองอย่างไม่ถือตัว เทพเซียนเฒ่าตอบคำถามอย่างเหมาะสม หนึ่งบุ๋นกับอีกสองขุนนางฝ่ายบู๊ที่เป็นเสมือนบิดาของชาวบ้านต่างก็รู้สึกเหมือนกำลังอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันนี้ยังมีชายหนุ่มท่าทางเหมือนคนในพื้นที่ดึงดันจะมากราบไหว้เทพเซียนเฒ่าเป็นอาจารย์ ขอเรียนรู้ศิลปะการแสดงจากเขาให้ได้ ผลคือถูกพ่อบ้านและคนงานของจวนมากลากตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
นักพรตจางซานเฟิงกลับมาช้ากว่าเฉินผิงอันไม่กี่ก้าว เห็นว่าเฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางสบายดีก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เอ่ยล้อเลียนว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้าตกส้วมไปแล้ว”
เฉินผิงอันไม่ต้องการจะเล่าเรื่องการต่อสู้บนถนนเส้นเล็กให้อีกฝ่ายฟัง เพียงเอ่ยเสียงเบาว่า “หาห้องส้วมไม่เจอ แล้วก็เกรงใจเกินกว่าจะไปถามพ่อบ้านของจวน ก็เลยคิดจะหาที่เงียบๆ ผลปรากฏว่าหาอยู่นานมาก ตอนกลับมาเห็นว่าคนในระเบียงเพิ่มขึ้นเยอะ เกรงใจที่จะเบียดเข้ามาก็เลยรออยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง”
ชายฉกรรจ์ถามสัพยอก “มัวแต่ไปหามุมมืด คงไม่ได้เห็นภาพชดช้อยเย้ายวนพวกนี้สินะ? ข้าจะบอกเจ้าให้ แคว้นไฉ่อีแห่งนี้ โดยเฉพาะในเมืองแยนจือที่มีบัณฑิตและสาวงามมากที่สุด เวลาอยู่ว่างๆ พวกผู้คนชอบอ่านหนังสือลามกต้องห้าม อ่านมากไปก็ทำตามวิธีที่เขียนบอกไว้ในหนังสือ…”
ชายฉกรรจ์กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวเกาหวาที่อดไม่ไหวก็พยักหน้ารับอย่างแรง “ก็เหมือนกับน้องคนเล็กของบ้านข้า เพิ่งจะอายุสิบสามเท่านั้น แต่ก็เพราะแอบอ่านตำราต้องห้าม แม้จะไม่ใช่เรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิง แต่นิสัยของนางก็ป่าเถื่อนตามตำราพวกนั้น ตั้งแต่เด็กก็สนใจเรื่องคุณธรรมในยุทธภพ มักจะชอบพูดว่าพวกผู้ชายในเมืองแยนจือมีแต่พวกนิสัยเหมือนผู้หญิง ไม่คล่องแคล่วฉับไว นางดีแต่จะเรียนรู้เคล็ดลับการปีนออกจากหอซิ่วโหลว วางบันไดพาดกำแพง ยังดีที่นางฉลาด แต่ท่านแม่ข้าฉลาดกว่านาง นังหนูน้อยจึงไม่เคยทำสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว”
ชายฉกรรจ์เคราดกดวงตาเป็นประกาย ตบอกกล่าวว่า “สนใจในเรื่องของยุทธภพน่ะสิดี ในท้องของข้าผู้แซ่สวีบรรจุน้ำของทะเลสาบและแม่น้ำ (ทะเลสาบและแม่น้ำอ่านว่าเจียงหู และเจียงหูก็สามารถแปลได้ว่ายุทธภพ) ไว้เต็มเปี่ยม หยิบยกเรื่องใดมาพูดสักเรื่องสองเรื่องก็ล้วนเป็นกับแกล้มที่อร่อยที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้!”
หลิวเกาหวามองค้อน “ไม่เอาสิ น้องสาวข้าอายุยังน้อย จอมยุทธ์ใหญ่สวี มิตรภาพของพวกเราสองคนก็ส่วนมิตรภาพ ให้เป็นแค่เรื่องในยุทธภพก็พอ อีกอย่างหากเจ้ากลายมาเป็นน้องเขยของข้า เจ้าจะไม่เสียเปรียบด้านความอาวุโสหรอกหรือ?”
ชายฉกรรจ์ยิ้มตาหยี “เจ้าก็ยังมีพี่สาวไม่ใช่หรือไง?”
หลิวเกาหวาไม่กล้าพูดอะไรมากคล้ายคนที่น้ำท่วมปาก
เฉินผิงอันขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ตบไหล่ของหลิวเกาหวา “ดูเจ้าตกใจเข้าสิ ข้าผู้แซ่สวีอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ สาวงามที่รู้ใจมีมากมายจนสองมือก็นับไม่พอ สำหรับสตรีในห้องหอ ข้าไม่เคยให้ความสนใจ!”
งานเลี้ยงจบลง ผู้คนก็พากันเดินออกจากจวน คนทั้งสามกลับไปยังโรงเตี๊ยม หลิวเกาหวาถูกบิดาส่งคนมาตามตัวให้กลับไปร่วมรับรองแขก แม้ว่าบุตรชายจะไม่เอาไหน ไม่มีทั้งความรู้และฝีมือ เรียกได้ว่าอนาคตการเป็นขุนนางขาดสะบั้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายคนเดียวของเขา เจ้าเมืองหลิวจึงยังหวังให้หลิวเกาหวาช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้กับวงศ์ตระกูล มีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างไม่ย่ำแย่เกินไปนัก
ระหว่างที่เดินกลับ เพราะได้ของสองชิ้นนั้นมา เฉินผิงอันจึงสอบถามเรื่องสมบัติอาคมจากสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิง
จะโทษก็ต้องโทษที่คนที่เฉินผิงอันพบเจอมาล้วนทำตัวไม่เหมือนคนในยุทธภพ ตรงเอวของอาเหลียงห้อยดาบไม้ไผ่อย่างไม่พิถีพิถัน ส่วนเด็กหนุ่มชุยฉาน บางครั้งอาจจะคุยถึงเรื่องขอบเขตและอาวุธอาคมบ้าง แต่คำพูดคำจาใหญ่โตจนน่าตกใจ ราวกับว่าผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน ห้าขอบเขตกลางและสมบัติอาคมที่พวกเขาพกพาเป็นแค่ดินเหนียวที่พวกเด็กๆ ชอบหยิบขึ้นมาเล่น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ทางฝ่ายของผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ก็ยิ่งตรงไปตรงมา บอกว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากต้องอาศัยวัตถุนอกกายถึงจะเดินอยู่ในยุทธภพได้ก็ไม่สู้เป็นชาวนาที่ทำไร่ทำนาอยู่กับบ้านยังดีกว่า
เฉินผิงอันเองก็จนใจอย่างมาก
ยังดีที่เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงก็พอจะเข้าใจการแบ่งขอบเขตของ ‘สมบัติอาคม’ อย่างคร่าวๆ ที่แท้ก็มีการแบ่งระดับอย่างเข้มงวดไม่เป็นรองระดับขั้นของขุนนางเลย ‘สมบัติอาคม’ คือคำเรียกโดยภาพรวม วัตถุที่มีระดับต่ำที่สุดเรียกว่าวัตถุฝีมือช่าง คือวัตถุไม่มีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจง คำกล่าวในยุทธภพที่พูดว่าเป่าขนตัดเส้นผม หั่นเหล็กเหมือนหั่นโคลน ฯลฯ ส่วนใหญ่จะใช้บรรยายอาวุธที่อยู่ในขอบเขตนี้ รวมไปถึงวัตถุอันเป็นสัญลักษณ์ที่ตระกูลเซียนบนภูเขามอบให้แก่ลูกศิษย์ในสำนักก็มักจะเป็นวัตถุฝีมือช่างที่มีรูปลักษณ์ภายนอกไม่เลว ยกตัวอย่างเช่นกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นของจางซานเฟิง
แน่นอนว่าหากเป็นกระบี่ไม้ท้อที่จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์มอบให้ก็ย่อมเหนือชั้นกว่าระดับนี้ไปมาก
เหนือจากวัตถุฝีมือช่างขึ้นไปก็คือวัตถุหนัก อาวุธเทพของปรมาจารย์ในยุทธภพส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาวุธประเภทนี้ วัตถุดิบล้ำค่าหายาก ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้ราก ไม่มีการสืบทอดจากสำนัก ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ถูกมองเป็นผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญบนมหามรรคา คนกึ่งกลางภูเขาที่กำลังฝึกบำเพ็ญตน ฯลฯ หากโชคดีก็จะมี ‘วัตถุหนัก’ หนึ่งถึงสองชิ้น การได้มาครองนั้นไม่ง่าย ก็เหมือนนักพรตจางซานเฟิงที่ปรารถนาอยากจะได้ครอบครองอาวุธหนักแม้ในยามหลับฝัน หวังว่าวันหน้าจะมีกระบี่อาคมที่เหมาะมือสักชิ้น
ดาบพกเล่มนั้นของชายฉกรรจ์เคราดก อันที่จริงคือสุดยอดอาวุธในกลุ่มของวัตถุหนัก
วัตถุวิเศษและวัตถุอาคมในลำดับต่อมาถึงจะเรียกว่าเป็น ‘สมบัติอาคม’ ที่แท้จริง วัตถุวิเศษแบ่งออกเป็นก่อนกำเนิดและหลังกำเนิด วัตถุวิเศษก่อนกำเนิดนั้นหาได้ยากและล้ำค่ามากยิ่งกว่า เนื่องจากได้รับความรักจากฟ้าดิน ถูกบ่มเพาะปราณวิญญาณจนเปี่ยมล้น ทำให้ผู้ฝึกตนที่ควบคุมมันเหนื่อยน้อยแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว ในช่วงเวลาสำคัญยังสามารถทำลายรากฐานของมันเป็นค่าตอบแทนในการช่วยเพิ่มพูนพลังหล่อเลี้ยงเจ้าของของมันเอง อันที่จริงเงินหิมะน้อยก็พอจะถือว่าเป็นวัตถุชนิดนี้ได้อย่างถูไถ เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณที่อยู่ในเงินเกล็ดหิมะมีน้อยเกินไปจนสามารถมองข้ามไปได้โดยตรง ไม่มีผู้ฝึกลมปราณคนใดโง่ถึงขนาดดึงดูดปราณวิญญาณของเงินหิมะน้อยมาช่วยเพิ่มตบะและขอบเขตของตัวเอง
วัตถุวิเศษหลังกำเนิดก็อย่างเช่นกระดาษยันต์สีเหลืองที่ระดับค่อนข้างสูง รวมไปถึงอาวุธเทพที่เกิดจากการแกะสลักหรือสร้างโดยผู้ฝึกลมปราณ ยกตัวอย่างเช่นหยกประดับของฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าที่มีชื่อว่า ‘มังกรเฒ่าโปรยพิรุณ’ ชิ้นนั้นที่ถือเป็นระดับต้นๆ ของวัตถุวิเศษ มูลค่าควรเมือง และยังมี ‘กาน้ำชาซานเซียว’ ที่เขาซื้อไปจากซ่งจี๋ซิน ที่ยิ่งมีมูลค่ามากเป็นพิเศษ
เมื่อเทียบกับ ‘มังกรเฒ่าโปรยพิรุณ’ กับ ‘กาน้ำชาซานเซียว’ แล้ว เชือกพันธนาการปีศาจ ไม้กำราบปีศาจ แส้ไม้ไผ่โบยผี ฯลฯ ที่ผู้ฝึกลมปราณของสำนักโองการเทพพกติดตัว แม้ว่าจะเป็นวัตถุวิเศษหลังกำเนิดเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะราคาหรือมูลค่าก็ล้วนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
เหนือวัตถุวิเศษขึ้นไปก็คือวัตถุอาคม
คำว่าอาคม แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคำที่ยิ่งใหญ่เสมอ
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีคำเรียกว่ามรรคกถา หรืออาคมพุทธ
วัตถุอาคมซุกซ่อนกฎเกณฑ์ไร้รูปลักษณ์ของมหามรรคาแห่งฟ้าดิน
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ใช้สร้างความอบอุ่นให้กับกระบี่บินยึดครองตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง แน่นอนว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินที่อาเหลียงได้มาจากเว่ยจิน และน้ำเต้าลูกที่ซูเจี้ยแห่งขุนเขาตะวันเที่ยงแขวนไว้ตรงเอวนั้นเป็นดั่งลูกหลานเชื้อพระวงศ์ในบรรดาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เล่าลือกันว่าก่อนหน้าที่มรรคาจารย์เต๋าจะบินทะยานขึ้นไปเบื้องบนได้ลงมือปลูกเถาวัลย์น้ำเต้าด้วยตัวเอง สุดท้ายออกลูกเป็นน้ำเต้าหกผล จากนั้นก็ถูกยอดฝีมือนำมาสร้างเป็นภาชนะบรรจุเพื่อใช้เลี้ยงกระบี่หกชิ้น แน่นอนว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ทั่วไปไม่อาจทัดเทียมได้เลย
เหนือวัตถุอาคมขึ้นไปยังมีอาวุธเซียน
ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาแปดเก้าคนในสิบคน ต่อให้ใช้เวลาชั่วชีวิตก็ไม่เคยเห็นอาวุธเซียนด้วยตาตัวเองสักครั้ง ต่อให้เป็นตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าสำนักก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีอาวุธเซียนพิทักษ์สำนัก สำนักโองการเทพที่เป็นผู้นำของระบบเต๋าในหนึ่งทวีป ครั้งนี้ฉีเจินเจ้าสำนักเลื่อนขั้นกลายเป็นเทียนจวินได้สำเร็จ สำนักเบื้องบนที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถึงได้มอบอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งมาให้
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่รัดไว้บนข้อมือของเฉาซีเซียนกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป คือโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าที่เขาพบเจอมา ถูกหล่อหลอมจากน้ำของแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง พอจะถือว่าเป็นอาวุธเซียนได้กึ่งหนึ่ง นี่ก็คือจุดที่ทำให้ผู้คนกริ่งเกรงในตัวเฉาซีมากที่สุด
อาวุธเซียนอันดับสูงสุดในโลกไม่มีชิ้นใดที่ไม่เต็มไปด้วยเรื่องราวมหัศจรรย์หลากหลายสีสัน ผู้ที่ได้ครอบครองก็ยิ่งมีตำแหน่งเหนือล้ำ ได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศไปทั่วใต้หล้าไพศาล ยกตัวอย่างเช่นตราประทับเทียนซือและกระบี่เซียนของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ และยังมีกระถางทองสัมฤทธิ์ใบเล็กใบหนึ่งที่บุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่งอินได้มาโดยบังเอิญตอนออกเดินทางหาประสบการณ์ทั่วหล้ายามเยาว์ ซึ่งเล่าลือกันว่าเป็นของทำเลียนแบบกระถางใบใหญ่แห่งแม่น้ำและขุนเขาที่อริยะในสมัยบรรพกาลพกห้อยไว้ตรงเอว
และในบรรดาอาวุธเซียนที่เดิมทีก็หาได้ยากดุจขนหงส์เขากิเลนนั้นยังมีอีกหนึ่งชนิดที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่า นั่นก็คือ ‘วิญญาณเทพ’ ที่ผ่านการสั่งสมมานานปีจนมีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง
เฉินผิงอันเริ่มมั่นใจแล้ว
ต่อให้ไม่รวมภูเขาห้าลูกที่ได้ครอบครอง ตนก็ถือว่ามีเงินเยอะมากแล้ว!
ทรัพย์สินที่ตนมีในเวลานี้เรียกได้ว่ามั่งคั่งอุดมสมบูรณ์!