ตอนที่ 229.1 ขับไล่อธรรม

ตอนที่เฉินผิงอันไปตรวจสอบเรื่องจริงเท็จที่ศาลเทพอภิบาลเมือง สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงก็ต้องไปที่จวนเจ้าเมือง คนทั้งสองต่างก็เตรียมใจไว้ก่อนแล้วว่าอาจจะต้องไปชนตอ

ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้รับการชักจูงจากบุตรชายหลิวเกาหวา เจ้าเมืองหลิวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลก็มารับรองชายฉกรรจ์เคราดกกับนักพรตหนุ่มที่ห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ออกคำสั่งไล่แขก ถึงขั้นไม่ได้ขอร้องให้สวีหย่วนเสียแสดงวิชาดาบอันเผด็จการ แล้วก็ได้ไม่ขอให้จางซานเฟิงบังคับกระบี่บินให้บินว่อนไปทั่วลานบ้าน เมื่อได้ยินว่าคนทั้งสองนำข่าวมาบอก เขาก็มีท่าทางลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะบอกให้คนทั้งสองตามเขาไปที่เรือนหลัก คนทั้งสองตกใจอย่างหนักเพราะในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วเจ็ดแปดคน มีทั้งคนฝึกยุทธ์สวมเสื้อเกราะที่นั่งจับดาบ มีขุนนางฝ่ายบุ๋นอายุมากที่กำลังชี้ไม้ชี้มือไปตามจุดต่างๆ ของแผนที่เมือง แล้วก็มีชายหนุ่มหญิงสาวที่หน้าตาท่าทางอิ่มเอิบ เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต แค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้ฝึกตน หากไม่ได้จงใจอำพรางลมปราณและการหายใจเอาไว้ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามขอบเขตสี่

เจ้าเมืองหลิวแนะนำคนทั้งหมดคร่าวๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นยอดฝีมือของเมืองแยนจือ แล้วก็มีคนต่างถิ่นที่มาเยือนเพราะได้ข่าว ไม่ต่างจากสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงสักเท่าไหร่

สวีหย่วนเสียมองประเมินชายฉกรรจ์ท่าทางธรรมดาซ้ำอีกรอบหนึ่ง ลักษณะท่าทางหนักแน่น น่าจะเป็นยอดฝีมือที่เมื่อไม่ลงมือก็ไม่โดดเด่น แต่หากลงมือต้องน่าตะลึงดุจสายฟ้าหมื่นชั่งอย่างแน่นอน

ส่วนจางซานเฟิงก็มอง ‘นักพรตท่าทางน่าเลื่อมใส’ คนหนึ่งอยู่หลายครั้ง นักพรตเฒ่ากำลังดื่มชาด้วยท่าทางเนิบช้าสบายใจ ด้านหลังคือมัลละร่างทองเหลืองสูงจั้งกว่าสองตน ‘มัลละ’ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีสติปัญญา ได้แต่ฟังคำสั่งที่ง่ายดายที่สุดของเจ้านาย ยกตัวอย่างเช่นการสังหารศัตรู มัลละร่างทองเหลืองที่ระดับขั้นสูง พลังการต่อสู้สามารถเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม ไม่อาจดูแคลน ไม่สามารถมองเป็นหุ่นเชิดที่โง่เขลาชั้นเลวได้แน่นอน

เจ้าเมืองหลิวอธิบายสถานการณ์ล่าสุดให้สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงฟังคร่าวๆ จากนั้นก็ทอดถอนใจ กุมมือคารวะเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “ขอบคุณผู้ผดุงธรรมทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ หากสามารถผ่านพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย จะต้องตั้งป้ายขอบคุณทุกท่าน นำชื่อของพวกท่านเขียนลงในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ของท้องที่อย่างแน่นอน”

ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็ลุกขึ้นมาคารวะกลับคืนพลางเอ่ยด้วยถ้อยคำตามมารยาท

เจ้าเมืองหลิวเดินไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะ ด้านบนวางแผนที่ไว้สองแผ่น แผ่นหนึ่งคือแผนที่สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองแยนจือ อีกแผ่นหนึ่งคือแผนที่หกเมืองของแคว้นไฉ่อีซึ่งรวมถึงเมืองแยนจือด้วย เจ้าเมืองหลิวยื่นนิ้วชี้ไปยังตำแหน่งระหว่างเมืองแยนจือกับเมืองอีกแห่งหนึ่ง “เมื่อครู่นี้ได้ข่าวดีมาเรื่องหนึ่ง แม่ทัพหม่ากับเทพเซียนเฒ่าต่างก็เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นั่นด้วยตัวเอง ทหารม้าหกร้อยนายออกจากฐานทัพกำลังเร่งเดินทางมาที่เมืองของพวกเรา ช้าสุดคือยามซวี (ช่วงหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) ของคืนนี้ก็สามารถเข้าเมืองมารอฟังคำสั่งได้แล้ว พลทหารเดินเท้าสองพันนายกว่าจะมาถึงนอกเมืองก็เป็นช่วงยามจื่อ” (ช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง)

นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเมืองหลิวต้องจัดการกับเรื่องแบบนี้ เขาร้อนใจจนดวงตาแทบจะพ่นไฟได้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว อกสั่นขวัญผวาอยู่ตลอดทั้งวัน ตอนนี้เวลาพูดน้ำเสียงจึงแหบพร่า รีบรับถ้วยชาร้อนๆ ที่กุนซือเฒ่าผู้ช่วยส่งมาให้

กุนซือเฒ่าที่ช่วยเจ้าเมืองหลิววางแผนมานานหลายปีรับหน้าที่แทนเจ้าเมืองหลิว ชี้ไปตามจุดต่างๆ บนแผนที่พลางอธิบายไปด้วย “ศาลเทพอภิบาลเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรอกซิ่วฮวาของทิศเหนือ สะพานหม่าโถวทางทิศใต้ เจดีย์ชุยถงทางตะวันตก จวนจ้าวที่อยู่ใจกลางของเมือง ตอนนี้ค้นพบว่าสถานที่ทั้งหกนี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น ศาลเทพอภิบาลเมืองถูกปิดตายแล้ว เซียนซือสองคนที่แอบแฝงตัวเข้าไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับออกมา ที่ตรอกซิ่วฮวามีคนตายเฉียบพลันหกคน ชาวบ้านสามสิบสองตระกูลซึ่งเป็นคนในพื้นที่ได้พากันย้ายออกไปหมดแล้ว ด้านใต้สะพานหม่าโถวมีปีศาจน้ำกินคนปรากฎกาย ไม่รู้ว่าตอนนี้ลอยตามกระแสน้ำไปสร้างความวุ่นวายยังจุดอื่นของเมืองแล้วหรือไม่ เจดีย์ชุยถงที่เดิมทีใช้แจ้งเตือนตระกูลเซียนบนภูเขา ตอนนี้พังถล่มลงมาแล้ว ผู้เฒ่าที่เฝ้าเจดีย์ก็ตายไปอย่างฉับพลัน ส่วนในจวนจ้าวก็มีคนเป็นบ้าไปสิบกว่าคน อยู่ดีไม่ว่าดีอาการก็กำเริบราวกับเป็นโรคระบาด แม้แต่เจ้าหน้าที่ของที่ว่าการที่ไปตรวจสอบดูสถานการณ์ก็ยังเป็นบ้าไปถึงสองคน เป็นเหตุให้พวกเรา…”

กล่าวมาถึงตรงนี้เจ้าเมืองหลวก็กระแอมเบาๆ หนึ่งที กุนซือเฒ่าจึงไม่พูดต่อ

พูดออกไปแล้วก็ไม่น่าฟัง อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงสะอาดไร้มลทินของใต้เท้าท่านเจ้าเมืองได้

เพราะจวนจ้าวเป็นเหมือนศาลเทพอภิบาลเมืองที่ทางการส่งคนไปปิดทุกทางเข้าออก ไม่อนุญาตให้คนในออก คนนอกเข้าแล้ว

นักพรตเฒ่าที่มีฉายาทางเต๋าว่าจงเมี่ยว (ผู้ที่น่าเลื่อมใสและดีงาม) วางถ้วยชาลง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ทุกการกระทำของใต้เท้าหลิวถือว่ากล้าหาญอย่างมาก เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของประชาชนนับหมื่น เชื่อว่าหลังจากจบเหตุการณ์ครั้งนี้ คนที่มีมโนธรรมสักหน่อยต้องรู้สึกขอบคุณการตัดสินใจของใต้เท้าหลิวเกี่ยวกับเรื่องตระกูลจ้าวในวันนี้แน่นอน”

ขุนพลสวมเสื้อเกราะท่าทางองอาจผ่าเผยซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ปรายหางตามองนักพรตจงเมี่ยว แล้วกระตุกมุมปากยกยิ้มที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยัน

เจ้าเมืองหลิวรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ต้องขอบคุณ แค่สามารถให้อภัยได้ ข้าผู้เป็นขุนนางก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว”

แล้วเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “โชคดีที่เทพเซียนเฒ่าผ่านเมืองของพวกเรามาพอดี เขาตรวจสอบดูภาพบรรยากาศยามค่ำคืนจึงสังเกตเห็นว่าเหนือเมืองของเรามีปราณหยางอบอวลไปทั่ว ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงยังถูกปิดหูปิดตา ถึงเวลานั้นหากเกิดเรื่อง ถูกปีศาจกลุ่มนั้นเล่นงานโดยไม่ทันตั้งตัว ผลลัพธ์ย่อมเลวร้ายจนไม่กล้าคิด เลยร้ายจนไม่กล้าคิด!”

สวีหย่วนเสียเอ่ยถาม “เจดีย์ชุยถงแห่งนั้นทำหน้าที่เหมือนปล่องส่งสัญญาณไฟที่ริมชายแดน สามารถส่งข่าวให้กับตระกูลเซียนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้หรือไม่?”

ใบหน้าของขุนพลเสื้อเกราะอึมครึม พยักหน้ารับพลางกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้จริง เพียงแต่ว่าพวกปีศาจเจ้าเล่ห์และอำมหิตยิ่งนัก พวกเขาลงมืออย่างเหี้ยมโหด ทำให้ทางเมืองกับตระกูลเซียนพรรคหลิงซี (ในสมัยโบราณหมายถึงนอแรดศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันเปรียบเปรยถึงความรู้ใจ ความรู้สึกที่มีร่วมกัน) ขาดการติดต่อกัน เดิมทีเจดีย์ชุยถงมีเวทลับส่งสารที่มหัศจรรย์มาก อย่างมากสุดหนึ่งก้านธูปก็สามารถทำให้พรรคหลิงซีรู้ข่าว ตอนนี้ให้กระบี่บินไปส่งข่าว เฮอๆ ความเร็วใช้ได้ แต่ราคาแพงไปหน่อย”

ขุนพลบู๊สวมเสื้อเกราะชำเลืองตามองนักพรตจงเมี่ยวที่ท่าทางภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่ว่ามองอย่างไรท่าทางนั้นก็น่าเตะ

ใช้กระบี่บินที่ธรรมดาที่สุดส่งข่าวครั้งหนึ่งกลับเปิดปากตั้งราคาถึงหนึ่งแสนตำลึงเงิน คิดว่าตนไม่รู้ราคาการทำธุรกิจของจุดพักม้าบนภูเขาจริงๆ หรือไง?

คาดว่ามัลละร่างทองเหลืองสองตนที่เชิญมาก็คงต้องให้เจ้าเมืองหลิวควักเงินส่วนตัวจ่ายไปไม่น้อย

ขุนพลคนนี้ก็คือผู้ช่วยของแม่ทัพหม่า บุกตะลุยอยู่ในสนามรบที่ชายแดนร่วมกันมานานหลายปี แม้ว่าในอดีตเขาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าหนอนหนังสืออย่างเจ้าเมืองหลิวคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เมื่อหายนะใหญ่มาเยือน เห็นว่าคนที่มีชื่อเสียงด้านฝีมือการเขียนบทความของแคว้นไฉ่อียุ่งวุ่นวายจนหัวหมุน ไม่เพียงแต่ไม่ตกใจเอาแต่หลบอยู่ใต้เตียง ยังพยายามประคับประคองสถานการณ์อย่างสุดกำลัง นี่ทำให้ทัศนคติของเขาที่มีต่อขุนนางฝ่ายบุ๋นคนนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย กลับเป็นนักพรตเฒ่าที่ช่วยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ต่างหากที่เขาเกลียดขี้หน้าอย่างถึงที่สุด เจ้าที่เป็นเพียงนักพรตนอกรีตซึ่งมีรากฐานอยู่ในเมืองแยนจือ มีสิทธิ์อะไรมาโก่งราคา? ต่อให้เมืองถูกทำลายแล้วเจ้านักพรตจงเมี่ยวหนีรอดไปได้ ต่อให้เจ้าจะสะบัดมือไม่สนใจลูกหลานในครอบครัวและกิจการของบรรพบุรุษ แต่ไม่กลัวบ้างหรือว่าสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นคนที่ไม่เหลืออะไรเลย?

สวีหย่วนเสียเอ่ยถาม “เจ้าเมืองหลิว ไม่ทราบว่าเซียนซือของพรรคหลิงซีจะมาถึงเมืองแยนจือเมื่อไหร่? แล้วจะมากันประมาณกี่คน?”

ใต้เท้าเจ้าเมืองคลี่ยิ้ม “โชคดีที่ในพรรคหลิงซีมีนกหลวนหลากสีซึ่งมีอายุสูงถึงหนึ่งพันปีอยู่ตัวหนึ่ง มันเคยเป็นพาหนะให้กับบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของพรรคหลิงซี หลังจากที่บรรพบุรุษจากโลกนี้ไป นกหลวนตัวนั้นก็ไม่เคยออกจากภูเขา เจ้าสำนักทุกรุ่นสามารถขอให้มันช่วยได้ บนหลังของนกหลวนหลากสีมีพื้นที่กว้างพอให้พาเซียนซือห้าหกท่านโดยสารมา หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับกระบี่บิน เชื่อว่าประมาณเที่ยงวันของวันพรุ่งนี้คนของพรรคหลิงซีก็น่าจะมาถึงกลางอากาศเหนือเมืองแยนจือ”

ใต้เท้าหลิวถอนหายใจ แล้วก็พลันเพิ่มระดับน้ำเสียงเอ่ยให้กำลังใจทุกคน “ดังนั้นหวังว่าทุกท่านที่มาร่วมศึกจะสามารถช่วยให้เมืองประคับประคองตัวเองไปได้จนกว่าเซียนซือพรรคหลิงซีจะมาถึง อย่างน้อยยืนหยัดให้ได้ถึงเที่ยงของวันพรุ่งนี้!”

สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากัน สีหน้าไม่ถือว่าผ่อนคลายเท่าใดนัก

จางซานเฟิงยิ่งเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเฉินผิงอันที่เดินทางไปยังศาลเทพอภิบาลเมืองหรือไม่

……

ประตูตะวันออกของเมืองแยนจือมีหอเรือนสูงสองชั้น หลังคาปั้นหยาหักมุข มีหน้าจั่ว ลักษณะคล้ายมังกรขดพยัคฆ์หมอบ

เสื้อเกราะที่สวมอยู่บนร่างแม่ทัพหม่าไม่ใช่เสื้อตัวใหม่ กลับกันคือเก่าแก่มาก ด้านบนเต็มไปด้วยรอยดาบและรอยกระบี่กรีดผ่าน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นของรักของแม่ทัพแห่งชายแดนแคว้นไฉ่อี เกือบร้อยปีมานี้ชายแดนแคว้นไฉ่อีมีสงครามเกิดขึ้นไม่มาก เพียงแต่ว่ามักจะมีการปะทะกับแคว้นกู่อวี๋ที่อยู่ทางเหนืออยู่เป็นระยะ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในสนามรบจึงให้ความสำคัญกับคุณความชอบในการรบอย่างมาก เพราะมันมักจะเป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่การเลื่อนขั้นในกองทัพและในราชสำนัก หากไม่เป็นเพราะไม่มีคนช่วยพูดให้แม่ทัพหม่าในราชสำนัก เกรงว่าเขาก็คงกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งกรมกลาโหมที่มีอายุน้อยไปนานแล้ว

ชั้นบนสุดของหอเรือน แม่ทัพหม่าพลันหันมองไปยังทิศทางของศาลเทพอภิบาลเมืองที่เทพเซียนเฒ่าจ้องมองอยู่นาน นึกว่ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นกะทันหัน จึงเอ่ยถามว่า “หวงเหล่า ปีศาจที่อยู่ด้านในเริ่มเผยร่างก่อกวนแล้วใช่หรือไม่?”

เทพเซียนเฒ่าที่ชายแขนเสื้อกว้างโบกสะบัดไปตามลมลูบเครา เอ่ยยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ข้าย่อมต้องมีวิธีกำราบอยู่แล้ว สถานที่ที่พวกเราต้องเฝ้าสังเกตการณ์อย่างแท้จริงยังคงเป็นจวนจ้าวที่อยู่ใจกลางเมือง สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับจวนเจ้าเมืองมากเกินไป หากเกิดเรื่องขึ้นมา ผลลัพธ์ย่อมรุนแรงมาก ยังดีที่การเดินทางลงใต้ของข้าในครั้งนี้ได้พบกับสหายรู้ใจสองคน พวกเขาต่างก็เป็นผู้นำแห่งตระกูลเซียนบนภูเขาตัวจริง เดิมทีพวกเขาจะเดินทางไปสำนักศึกษากวานหูเพื่อพูดคุยถกปัญหากับเหล่าปราชญ์เมธี แต่ตอนนี้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเร่งด่วน พวกเขาก็ไม่มีเวลามาสนแล้วว่าการเดินทางจะถูกถ่วงให้ล่าช้าหรือไม่ ข้าส่งข่าวไปให้พวกเขาสองคนแล้ว บอกให้พวกเขารีบมาช่วยเหลือโดยเร็ว คาดว่าอีกไม่นานพวกเขาก็คงทะยานลมมาถึง ตอนนี้ข้ากับแม่ทัพหม่าร่วมมือกันปกป้องประตูตะวันออก หนึ่งในสองของสหายเฒ่าจับตามองจวนจ้าว ก็จะถือโอกาสคุ้มครองจวนเจ้าเมืองไปด้วยเลย อีกคนหนึ่งไปเฝ้าพิทักษ์ทางเมืองทิศตะวันตก รวมกับผู้ฝึกลมปราณและจอมยุทธ์ในจวนเจ้าเมือง เชื่อว่าการสร้างความวุ่นวายของเหล่าปีศาจในครั้งนี้อาจไม่ถึงขั้นทำให้เมืองเละเทะเสียหายมากนัก”

แม่ทัพหม่ากุมมือคารวะ เอ่ยขอบคุณ “หากไม่เป็นเพราะหวงเหล่าค้นพบเบาะแสแต่เนิ่นๆ แล้วรีบเอามาบอกพวกเรา ครั้งนี้ชาวบ้านในเมืองก็คงต้องเจอหายนะครั้งใหญ่ อีกทั้งหวงเหล่ายังเต็มใจพาตัวเข้ามาเสี่ยง ยอมออกหน้าช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม ข้าผู้แซ่หม่าเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่รู้จักคำพูดสวยหรู แต่จะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ!”

เทพเซียนเฒ่าส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “หากเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้วคิดแต่จะบินทะยานให้สูง ไม่สนใจความทุกข์ยากของปวงประชา ถ้าอย่างนั้นจะยังฝึกตนเป็นเทพเซียนไปเพื่ออะไร? จะต้องการชีวิตอมตะไปทำไม?”

แม่ทัพหม่าใช้หมัดทุบอกที่มีเสื้อเกราะปิดทับ จากนั้นก็ยกนิ้วโป้ง กล่าวอย่างนับถือจากใจจริง “หวงเหล่า ลำพังเพียงแค่ประโยคนี้ เจ้าก็คือผู้ฝึกบำเพ็ญตนอย่างแท้จริงแล้ว!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ แม่ทัพวัยกลางคนผู้นี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ส่วนพวกเซียนซือที่มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมบางคนของแคว้นไฉ่อี โดยเฉพาะพวกคนที่อยู่เมืองหลวงกลุ่มนั้น หึ ช่างไร้ยางอายซะจริง วันๆ ดีแต่จะแบมือขอเงินจากทางราชสำนัก สร้างศาลาเซียนก่อหอสูง เดือดร้อนชาวบ้านทำลายทรัพย์สิน…เฮ้อ ไม่พูดดีกว่า ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห!”

เทพเซียนเฒ่ายืนสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แม่น้ำสายไหนในใต้หล้าที่ไม่มีดินโคลนตกตะกอนอยู่ข้างใต้? แม่ทัพหม่าไม่จำเป็นต้องโกรธเคือง ในเมื่อเรื่องราวทางโลกเป็นเช่นนี้ เราทำตัวเองให้ดีก่อนก็พอแล้ว”

แม่ทัพฝ่ายบู๊พยักหน้ารับเห็นด้วย ในใจยิ่งรู้สึกเคารพเลื่อมใสเทพเซียนเฒ่าที่มีตบะลึกล้ำ อีกทั้งยังมีความเจ็บแค้นในความยุติธรรมเหมือนกับตนผู้นี้มากยิ่งขึ้น

เทพเซียนไม่ได้มีอยู่แค่ในถ้ำสถิตบนภูเขาเท่านั้น แต่ด้านล่างภูเขาก็มีเหมือนกัน

เทพเซียนเฒ่าร่ายใช้เวทอภินิหารอีกครั้ง เขาหรี่ตาพยายามมองไปทางศาลเทพอภิบาลเมือง เนื่องจากอยู่ห่างกันเกินไป เขาจึงมองเห็นภาพเหตุการณ์ไม่ชัดเจนนัก หากมารเฒ่าหมี่อยู่ด้วยก็คงดี เพราะเขาพอจะมองภาพเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือได้อย่างถูไถ ระยะห่างเพียงเท่านี้ก็น่าจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน

แต่เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งจะสัมผัสได้ว่าค่ายกลของศาลเทพอภิบาลเมืองถูกทำลาย แน่ใจว่าไม่ผิดพลาด แสดงว่าต้องมีคนที่ไม่เจียมตัวกำลังทำตัวอวดเก่งเป็นวีรบุรุษ ไม่เป็นไร เขาเตรียมแผนรับมือไว้ที่นั่นนานแล้ว เทพอภิบาลเมืองร่างทองและเทวรูปบุ๋นบู๊สององค์ที่อยู่ด้านข้างต่างก็ถูกมารเฒ่าหมี่แอบเล่นตุกติกอย่างลับๆ เขายอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อประคับประคองควันธูปพิเศษเป็นเวลายาวนานถึงยี่สิบปีกว่า ให้พวกเขาจมสู่วิถีมารโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้มารเฒ่าหมี่ยังทำหน้าหนารีดไถอาวุธวิเศษสามชิ้นมาจากพวกเขาถึงจะยอมเลิกรา

ดังนั้นกระแสคลื่นเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมืองจึงไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการไหลไปของแม่น้ำสายใหญ่

แผนการลับที่วางมานานสามสิบปี เรื่องที่สี่ฝ่ายร่วมมือประสานงานกัน จะปล่อยให้สิ่งที่ทำมาเสียเปล่าไปได้อย่างไร?

เว้นเสียแต่ว่ามีเทพเซียนพสุธาขอบเขตสิบท่านหนึ่งเยื้องกรายลงมาจากฟ้า แล้วจู่ๆ บอกว่าต้องการปกป้องเมืองแยนจือ พวกเขาถึงจะอาจหยุดมือ

แต่พวกเขาต่างก็รู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของสำนักโองการเทพ สำนักศึกษากวานหูและตระกูลเซียนใหญ่ๆ หลายแห่งมานานแล้ว แน่ใจว่าไม่มีทางมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่าแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้อาวุโสใหญ่ที่เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดเป็นเหมือนมังกรเทพที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหางมาโดยตลอด พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือ หากเจอกับสถานการณ์นี้เข้าจริงๆ ขอแค่ไม่ใช่บุรพาจารย์จากสำนักที่ถูกทำนองคลองธรรม อีกทั้งยังต้องเป็นบุรพาจารย์ผู้มีความเที่ยงธรรมเต็มหัวใจ จะยอมเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ก็ยังไม่แน่

แนวโน้มของสถานการณ์แน่นอนแล้ว สถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดมาแล้ว!

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset