คำพูดประโยคนี้ของเทพอภิบาลเมืองมีน้ำหนักมาก
ต่อให้เป็นวิญญูชนหรือนักปราชญ์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักศึกษาหรือสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อ เกรงว่าก็ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่า ‘ผู้มีคุณธรรม’ บัณฑิตมีสามอมตะ สร้างคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์และสร้างสรรค์ถ้อยคำ ซึ่งการสร้างคุณธรรมคืออันดับแรก เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากที่สุด บัณฑิตส่วนใหญ่ต่อให้ใช้เวลาหมดไปทั้งชีวิตก็ยังทำไม่ได้ ได้แต่ถอยมาเลือกลำดับรองลงมา หรืออาจถึงขั้นถอยแล้วถอยอีก
แต่ตอนนี้ความรู้ด้านภาษาในหัวของเฉินผิงอันยังตื้นเขินนัก จึงไม่อาจเข้าใจความหมายในระดับลึกซึ้งที่เสิ่นเวินแห่งแคว้นไฉ่อีเอ่ยออกมาด้วยฐานะของบัณฑิต มิใช่เอ่ยด้วยฐานะของเทพอภิบาลเมือง สำหรับกล่องไม้สีเขียวที่เพียงแค่สัมผัสก็รู้สึกสงบใจ เฉินผิงอันย่อมต้องชอบอยู่แล้ว ตอนนี้รู้ว่าข้างในกล่องบรรจุตราประทับที่เทียนซือผู้ครอบครองตราประทับของภูเขามังกรพยัคฆ์เป็นคนสลักด้วยตัวเองก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่ชอบของดี? เฉินผิงอันชอบนักล่ะ!
แต่ชอบก็เป็นเรื่องหนึ่ง ชอบแล้วไม่ได้หมายความว่าต้องแย่งของของคนอื่นมาเป็นของตน นี่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อที่ว่าเฉินผิงอันออกหมัดได้เร็วเท่าไหร่ ขอบเขตวิถีวรยุทธ์สูงแค่ไหน หรือมีกระบี่บินกี่เล่ม อันที่จริงนี่ก็คือความไม่เห็นแก่ตัวที่ลัทธิขงจื๊อเลื่อมใสศรัทธา เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ ‘หลักการ’ นี้ก็เท่านั้น
เสิ่นเวินกล่าวยิ้มๆ “เจ้าเอาตราประทับไปได้เลย”
เห็นว่าเซียนซือน้อยที่อยู่ตรงหน้าค่อนข้างมึนงง เทพอภิบาลเมืองก็ยิ่งอารมณ์ดี อาบแช่อยู่ในควันธูปมานานหลายร้อยปี เคยเห็นคำวิงวอน ความปรารถนาและความโง่เขลา แล้วก็มีความลำบากใจ ความจริงใจและความจนใจที่มีต่อเรื่องราวทางโลกของผู้คนมากมายที่มาจุดธูปกราบไหว้ เสิ่นเวินที่ตอนมีชีวิตอยู่เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ซื่อสัตย์ภักดีรู้แต่จะตอบบุญคุณประเทศ ตอนนี้กลายมาเป็นคนที่เข้าใจเรื่องราวทางโลกมากยิ่งขึ้น บางครั้งขนาดพระโพธิสัตว์ดินเผาก็ยังมีไฟโทสะ โมโหชายหญิงที่รู้จักแต่จะขอร้องเทวดาฟ้าดิน แต่ไม่รู้จักลงมือทำด้วยตัวเอง โกรธพ่อค้าร่ำรวยที่ในหัวมีแต่เรื่องสกปรกเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ แล้วก็มีทั้งเสียใจกับความโชคร้าย เดือดดาลกับความไม่เอาไหนของคนบางคน เรื่องราวบนโลกมีมากมาย คนบนโลกมีหลากหลาย ในช่วงเวลาที่ตัวเองกำลังจะสลายหายไป ความคิดทั้งหลายแหล่ผุดลอยขึ้นมา เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองร่างทองมองเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่ยืนอยู่นอกประตูด้วยความคิดที่ประดังประเดเข้าหา
แล้วจู่ๆ เสิ่นเวินก็ฝืนประคองลมหายใจเฮือกสุดท้าย บังคับให้เรือนกายที่ล่องลอยมั่นคงขึ้นอีกสองสามส่วน กล่าวว่า “เสิ่นเวินมีเรื่องอยากจะขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย จะทำหรือไม่ทำ เจ้าสามารถพิจารณาเองได้ เสิ่นเวินไม่บังคับ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ท่านเทพอภิบาลเมืองพูดมาได้เลย”
เสิ่นเวินถาม “หากตอนนี้แคว้นไฉ่อีมีกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาปรากฏกาย เจ้าจะให้ความช่วยเหลือหรือไม่? ต่อให้จะเป็นเพียงความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นหากเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม แล้วเจ้าอยู่ห่างที่แห่งนี้ไปไม่ไกล สามารถร่ายใช้เวทอภินิหารช่วยให้ชาวบ้านแคว้นไฉ่อีข้ามผ่านหายนะไปได้อย่างปลอดภัย? ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวก็ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ท่านเทพอภิบาลเมืองโปรดวางใจ ไม่ว่าฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีจะทรงมีพระปรีชาหรือไม่ ขอแค่ข้าได้ยินว่าแคว้นไฉ่อีมีอันตราย จะต้องมาเยือนที่นี่อย่างแน่นอน แต่บอกไว้ก่อนว่า ข้าจะทำเท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวยเท่านั้น หวังว่าเทพอภิบาลเมืองจะเข้าใจ”
ใบหน้าของเสิ่นเวินเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม พึมพำกับตัวเองว่า “ดีมาก แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
อันที่จริงในใจของเทพอภิบาลเมืองร่างทองผู้นี้รู้สึกละอายไม่น้อย เพราะเขากำลังประเมินจิตใจของคน เสิ่นเวินเชื่อใจเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาเชื่อว่าขอแค่ไม่เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่บนมหามรรคาแห่งการฝึกตน อนาคตของอีกฝ่ายจะต้องยาวไกลอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นขอแค่เด็กหนุ่มยังมีความรู้สึกต่อแคว้นไฉ่อี ยิ่งลงมือช้าเท่าไหร่ ขอบเขตยิ่งสูง ก็ยิ่งมีผลประโยชน์ต่อแคว้นไฉ่อีมากขึ้นเท่านั้น
เสิ่นเวินมองไปยังสีท้องฟ้ามืดทะมึนนอกศาลเทพผืนดิน ในใจขมฝาด ข้าเสิ่นเวินคงทำให้แคว้นไฉ่อีได้เพียงเท่านี้แล้ว
เสิ่นเวินหลุดออกจากภวังค์ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องเศษชิ้นส่วนร่างทองที่พูดถึงก่อนหน้านี้ ข้าพูดไปแค่ครึ่งเดียวคือเรื่องต้นกำเนิดและระดับขั้นของมัน ส่วนประโยชน์ของมันนั้น คล้ายคลึงกับ…เคล็ดลับการสังหารมังกรที่มีประโยชน์อย่างถึงที่สุด แต่ธรณีประตูกลับสูงมาก หากเป็นคนปกติ ในมือกำเศษชิ้นส่วนร่างทองไว้หลายสิบชิ้นหรือถึงร้อยชิ้น เกรงว่าก็คงไม่มีความหมายใดๆ แต่หากคนที่ได้ครอบครองเศษชิ้นส่วนมีสหายที่เดินไปบนเส้นทางของเทพ นั่นก็คือสมบัติที่มิอาจประเมินค่าได้อย่างแท้จริง คือวัตถุวิเศษก่อนกำเนิดแห่งใต้หล้า เป็นประเภทที่ล้ำค่าหายากอย่างถึงที่สุด หรือหากกษัตริย์ของแคว้นหนึ่งมอบมันให้กับองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำในแคว้นตัวเองก็ย่อมต้องถือว่าเป็นของพระราชทานชั้นเยี่ยม ถอยไปพูดอีกก้าว วันหน้าเมื่อเดินใกล้ไปถึงยอดเขา แล้วเอามันไปขายให้กับคนที่มองค่าออก ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตโอสถทองคำ ขอบเขตก่อกำเนิด ก็สามารถตั้งราคาได้สูงเทียมฟ้า ไม่ว่าราคาไหนก็ไม่ถือว่าสูงเกินเหตุ!”
เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งเครียด จดจำทุกอย่างไว้ขึ้นใจ
เสิ่นเวินยิ้มบางๆ “โปรดยื่นมือออกมา”
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปอย่างเลื่อนลอย
เสิ่นเวินยื่นมือไปควักตรงหน้าอกของตัวเอง กำเป็นหมัดแล้วยื่นมันให้กับเฉินผิงอัน พอคลายหมัดออกก็ปล่อยของชิ้นหนึ่งที่อยู่ใจกลางฝ่ามือวางเบาๆ ไว้บนมือเฉินผิงอัน
เป็นวัตถุสีทองขนาดเท่าไข่ห่านชิ้นหนึ่ง
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ
เสิ่นเวินกล่าวยิ้มๆ “ในซากปรักหักพังของสนามรบ วัตถุหยินที่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารจำนวนนับไม่ถ้วนพยายามตามหาอย่างยากลำบาก แท้จริงแล้วก็คือวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้า เทพแห่งสงครามที่ตายไป ข้าเสิ่นเวินมีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต เมื่อตายไปได้ถูกฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีแต่งตั้งให้เป็นเทพอภิบาลเมืองของที่แห่งนี้ ร่างทองทั้งร่างมีระดับสูงพอสมควร แม้อาจจะเทียบกับเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวงไม่ได้ แต่จิตใจแห่งบุ๋นของ…ร่างทองร่างนี้! กลับไม่ด้อยไปกว่าเทพอภิบาลเมืองของทวีปใดทั้งนั้น!”
เสิ่นเวินในเวลานี้คล้ายย้อนกลับไปตอนอายุยี่สิบอีกครั้ง เวลาหลายสิบปีที่พากเพียรเล่าเรียนอย่างยากลำบาก สุดท้ายเป็นดั่งปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร ตอนเช้าทำนา ตอนเย็นเป็นขุนนางในราชสำนัก เปี่ยมไปด้วยปณิธานและความห้าวหาญ ใช้สถานะของจอหงวนก้าวเดินเป็นผู้นำอยู่ในวังหลวง ทุกสิ่งที่ทำไปไม่ใช่เพื่อเกียรติยศของวงศ์ตระกูล แต่เพื่อใบหน้าที่เปื้อนความสุขของปวงประชา
หลังจากเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินอดีตบัณฑิตส่งมอบหัวใจบุ๋นร่างทองดวงนั้นมาก็คล้ายได้ปลดภาระหนักอึ้งลง ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งนี้มาหลายร้อยปี วันนี้ในที่สุดก็ได้เวลาพักผ่อนแล้ว เฉินผิงอันแบมือค้างอยู่นาน เสิ่นเวินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะลงบนหัวใจบุ๋นดวงนั้น ยิ้มบางเอ่ยว่า “มิอาจโบยบินได้สูงทัดเทียมกัน ขอเพียงใจผูกพันรู้ใจกันก็พอ เซียนซือน้อย วันหน้าต้องอ่านตำราให้มาก!”
เฉินผิงอันเก็บหัวใจบุ๋นร่างทองเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกับกล่องไม้สีเขียวอย่างระมัดระวัง
เด็กหนุ่มโค้งตัวคารวะด้วยสถานะของบัณฑิตผู้น้อย
แต่เสิ่นเวินกลับคารวะกลับคืนด้วยสถานะของบัณฑิตรุ่นเดียวกัน
เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินก้าวเข้าไปในศาลเทพแห่งผืนดิน หยิบตราประทับแม่น้ำและภูเขาคู่นั้นออกมา ถามเบาๆ ว่า “ท่านเทพอภิบาลเมือง ข้าชื่อว่าเฉินผิงอัน มาจากเมืองหลงเฉวียนต้าหลี อาจารย์ฉีของที่นั่นมอบตราประทับคู่นี้ให้กับข้า บอกว่าหากได้พบเจอภูเขาและแม่น้ำสามารถประทับตราลงไปในแผนที่ได้ ก่อนหน้านี้ที่สุสานไร้ญาติมีปราณหยินเข้มข้นมาก ข้าก็เลยไหว้วานให้คนหาแผนที่ฉบับหนึ่งมาจากจวนเจ้าเมือง ประทับตราลงไป ผลลัพธ์ดูเหมือนว่าโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาจะพลิกกลับ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกปีศาจมาสร้างค่ายกลก่อความวุ่นวายในเมืองแยนจือ หากใช้วิธีนี้จะได้ผลหรือไม่? จะสามารถสยบปราณปีศาจที่พวกเขาสร้างไว้ได้หรือไม่?”
เสิ่นเวินถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าขอจับดูสักหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แน่นอน”
เสิ่นเวินใช้สองมือรับตราประทับคู่นั้นมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็แยกประคองไว้มือละชิ้น ยกมือขึ้นสูงเหนือศีรษะ มองตราสีแดงคล้ายสีของหัวใจและตัวอักษรที่สลักไว้ด้านใต้ของตราประทับแล้วเสิ่นเวินก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลดแขนลง เอ่ยถามว่า “อาจารย์ท่านนั้นได้บอกเจ้าหรือไม่ว่า อาวุธอาคมที่สูงส่งจนมิอาจประเมินค่าได้คู่นี้มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทุกครั้งที่ประทับตราลงไป ปราณวิญญาณก็จะสลายไปส่วนหนึ่ง จนถึงสุดท้ายที่เมื่อปราณวิญญาณสลายไปสิ้นก็จะกลายเป็นเพียงตราประทับธรรมดาคู่หนึ่ง?”
เฉินผิงอันเกาหัว ยิ้มซื่อๆ “อาจารย์ฉีไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้กับข้า”
เสิ่นเวินถามอีกครั้ง “เจ้าไม่กลัวหรือว่าหากประทับตราลงไปครั้งนี้ ปราณวิญญาณจะสลายไปหมด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “มีอะไรให้ต้องกลัวกัน ข้าไม่ได้เอาไปใช้สิ้นเปลืองอย่างส่งเดชสักหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าเคยอ่านเจอตัวอักษรแปดตัวจากบันทึกภูเขาและแม่น้ำของเมืองแยนเจือ เขียนไว้ว่า ‘น้ำใสคลื่นสงบ สี่ฤดูผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์’ ข้าชอบมันมาก ยังตั้งใจสลักมันลงไปในแผ่นไม้ไผ่ด้วย อีกอย่างข้าก็รู้สึกว่านี่คือความตั้งใจเดิมที่อาจารย์ฉีมอบตราประทับให้กับข้า หากอาจารย์ฉีอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน”
เสิ่นเวินถอนหายใจ “น่าเสียดายก็แต่การก่อความวุ่นวายของปีศาจในครั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นการใช้วัตถุปีศาจมอมเมาใจคนและการแพร่โรคระบาดมากกว่า ตราประทับแม่น้ำและขุนเขาคู่นี้มีความหมายที่ไม่ธรรมดา แต่กลับไม่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์อันตรายในตอนนี้สักเท่าไหร่ เฉินผิงอัน เก็บตราประทับคู่นี้ไว้ให้ดี ข้ายังคงยืนยันคำเดิม หากแคว้นไฉ่อีมีกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาปรากฎตัว ยามใดที่เจ้าเดินทางผ่านแคว้นไฉ่อี สามารถขอแผนที่เมืองหลวงมาจากฮ่องเต้ได้หนึ่งแผ่น ประทับตราลงไปหนึ่งครั้ง ถือเป็นการมอบความเมตตาช่วยเหลือชาวบ้านได้อย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปี เก็บไว้เถอะ จำให้ขึ้นใจว่า ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี อย่าเอาออกมาให้คนเห็นง่ายๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ได้แต่เก็บตราประทับกลับลงไปอีกครั้ง
เห็นภาพนี้ เสิ่นเวินก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กอะไรทำไมถึงได้ ‘ซื่อ’ ขนาดนี้ คนบนภูเขาล้วนเป็นพวกพ่อค้านักธุรกิจ ต่างก็แสวงหาผลกำไรมหาศาล หรือไม่ก็อาจไม่สนใจผลได้ผลเสียตรงหน้า แต่กลับคาดการณ์ยาวไกล วางแผนยาวไปพันหมื่นลี้ นานเป็นร้อยพันปี สืบสาวราวเรื่องถึงแก่นแล้วก็ยังคงได้รับผลประโยชน์ก้อนใหญ่อยู่ดี
เรือนกายของเสิ่นเวินยิ่งพร่าเลือนมากขึ้น ทั้งยังส่ายไหวอยู่ไม่นิ่ง เขาเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เฉินผิงอัน การก่อความวุ่นวายของพวกปีศาจในครั้งนี้ก็เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวไว้ ‘ทำเท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวย’ ก็เพียงพอแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลง เงยหน้ามองท้องฟ้าข้างนอกที่อยู่ห่างไปไกลพร้อมๆ กับท่านเทพอภิบาลเมือง
จู่ๆ เสิ่นเวินก็ถามว่า “เมืองหลงเฉวียนต้าหลี? เขตปกครอง อำเภอหรือเมืองในแจกันสมบัติทวีป ส่วนใหญ่แล้วจะต้องไม่มีคำว่าหลงถึงจะถูก”
เฉินผิงอันตอบด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้บ้านเกิดของข้าคือถ้ำสวรรค์หลีจู ภายหลังถ้ำสวรรค์ปริแตกแล้วร่วงลงสู่พื้นดิน ถึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเขตการปกครองหลงเฉวียน”
เสิ่นเวินตะลึง ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์ฉีที่เจ้าพูดถึง ใช่ฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยา ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของเหวินเซิ่งหรือไม่?”
เฉินผิงอันอืมรับด้วยสีหน้าหม่นหมอง “อาจารย์ฉีท่านนั้นนั่นแหละ”
เสิ่นเวินมองเด็กหนุ่มที่มาจากต้าหลีด้วยอาการอึ้งงัน
รองเท้าแตะ น้ำเต้าบรรจุเหล้า กระบี่บิน ตราประทับ จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ชื่อว่าเฉินผิงอัน
เสิ่นเวินรู้สึกปากคอแห้งผาก “เฉินผิงอัน เจ้าใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ฉีหรือไม่?”
เฉินผิงอันลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดไปตามความเป็นจริง “อาจารย์ฉีไม่ยินดีรับข้าเป็นลูกศิษย์ แต่ภายหลังข้าได้เจอกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ดูเหมือนว่าอาจารย์ฉีคิดจะรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ แต่ว่าตอนนั้นข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่แม้แต่นักเรียนด้วยซ้ำ ก็เลยไม่ได้รับปากท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งว่าจะเป็นลูกศิษย์ของเขา ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็ไม่ได้โกรธ แค่ดื่มเหล้าจนเมามาย ตอนที่ข้าแบกท่านผู้เฒ่าขึ้นหลัง ผู้เฒ่าตบหัวข้าอย่างแรง บอกให้ข้าดื่มเหล้า…”
เฉินผิงอันยิ้มพลางชูน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่อยู่ในมือขึ้นสูง กล่าวด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “ดังนั้นตอนนี้ข้าก็เลยดื่มเหล้าแล้ว”
บัณฑิตเสิ่นเวินรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า อีกทั้งยังไม่ได้ผ่าลงหัวแค่ระลอกเดียว แต่ผ่าลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉีจิ้งชุน! ศิษย์น้องเล็กของฉีจิ้งชุน! ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง! ลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง!
เด็กหนุ่มปฏิเสธ ปฏิเสธไปแล้ว…
เสิ่นเวินอึ้งงันเป็นไก่ไม้
เฉินผิงอันเองก็เหม่อมองท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นี้ หรือว่าตนพูดอะไรผิดไป ได้แต่แอบดื่มเหล้าระงับความตระหนก
แต่แล้วจู่ๆ เสิ่นเวินก็หัวเราะเสียงดัง หัวเราะอย่างขำขันจนต้องเอามือกุมท้อง หัวเราะจนเกือบน้ำตาจะไหล เขายื่นมือมาตบไหล่เด็กหนุ่มแรงๆ “ดีๆๆ! เรื่องของบัณฑิตอย่างพวกเรา คนอื่นไม่มีทางเข้าใจได้! แบบนี้สิถึงจะถูก นี่แหละถูกแล้ว!”
เสิ่นเวินดึงมือกลับมา เอาสองมือไพล่หลัง ก้าวยาวๆ ออกจากธรณีประตูของศาลเทพแห่งผืนดิน “สะใจ สะใจจริงๆ บัณฑิตเอ๋ยบัณฑิต…”
เสิ่นเวินหันหน้ากลับมายกนิ้วโป้งให้ “ทำได้งดงามยิ่ง!”
หลังจากที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองร่างทองก้าวออกไปจากประตูใหญ่ ประกายแสงแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสี้ยวสุดท้ายก็หายไป หายไปจากฟ้าดินทั้งๆ ที่ยังหัวเราะเสียงดังอยู่อย่างนั้น ร่างทั้งร่างระเบิดแตกสลาย
เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย รัดเชือกผูกน้ำเต้าไว้ตรงเอวเรียบร้อยก็ท่องเบาๆ ใส่ตำแหน่งที่บัณฑิตแห่งแคว้นไฉ่อีผู้นั้นสลายหายไป “สุ้ยสุ้ยผิงอัน สุ้ยสุ้ยผิงอัน” (สุ้ยสุ้ยผิงอันคำแรกความหมายคือแตกเพื่อความสงบ คนจีนชอบพูดเวลาเจอของแตกในวันปีใหม่เพื่อแก้เคล็ด สุ้ยสุ้ยผิงอันคำที่สองคือคำอวยพรให้มีชีวิตที่ปลอดภัยร่มเย็น)
—–