บทที่ 238 กลับไปหาสามีของเธอ
สีหน้าของหวังลี่มืดครึ้มไป
หลินชิงเหอยิ้มและเอ่ยขึ้น “เราอยู่หอเดียวกันและทุกคนต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกหลายปีนะ ก็ต้องรู้จักสิ่งที่ควรทำกับไม่ควรทำกันบ้าง ฉันว่าทุกคนน่าจะรู้ดีเพราะโต ๆ กันหมดแล้ว”
“ถ้าเธอไม่ขออนุญาตก่อนก็เท่ากับว่าขโมย!” หวังลี่แค่นเสียง
“เธอพูดอะไรน่ะ? ฉันจะขโมยได้ยังไง?” เฉินเสวี่ยรีบแย้งกลับอย่างไม่พอใจ “สบู่ของฉันหมด ฉันก็แค่ยืมของเธอ ทุกคนอยู่ในหอเดียวกันหมด ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ด้วย?”
“แล้วเธอขอฉันหรือยังล่ะ? ฉันอนุญาตให้ใช้หรือเปล่า? เธอใช้ของของฉันโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตแล้วฉันบอกเธอไม่ได้เหรอ” หวังลี่แค่นเสียง
“แค่ครั้งเดียวเอง ไม่ต้องโมโหขนาดนี้ก็ได้” เพื่อนร่วมหออีกคนหนึ่งหว่านล้อม
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใช้ครั้งเดียว สบู่เป็นของใช้ส่วนตัว เหมือนแปรงสีฟันกับแก้วน้ำ ที่เธอจะมาใช้โดยไม่ขออนุญาตไม่ได้” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างเป็นกลาง
เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นกับเธอครั้งหนึ่งเหมือนกัน ครั้งนั้นทำให้เธอรู้สึกรังเกียจเพราะไม่รู้ว่าใครมาใช้ หลังจากนั้นเธอจึงเก็บกลับไปทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จแล้ว
“พวกเธอสองคนอยู่ด้วยกันตลอดก็ต้องเข้าข้างกันอยู่แล้วนี่” เฉินเสวี่ยขบฟัน
“อย่าเปลี่ยนประเด็นนะ ตอนนี้เธอใช้ของของหวังลี่ เธอไม่คิดจะขอโทษหน่อยเหรอ? และสัญญาว่าจะคราวหน้าจะไม่ใช้ของของคนอื่นได้ไหม?” หลินชิงเหอบอก
เธอสงสัยว่าเฉินเสวี่ยน่าจะเป็นคนที่ใช้ของของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อคราวที่แล้ว คนพวกนี้ช่างน่ารำคาญจริง ๆ พวกเขาอยากจะมาใช้ก็แค่บอกก่อนก็ได้ หากอีกฝ่ายยินยอมก็ยืมได้ หากไม่ยอมก็แค่ถอย
หลินชิงเหอพบว่านิสัยใช้ของใช้ของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นนิสัยที่น่ารังเกียจอย่างหนึ่ง
“ขอโทษเดี๋ยวนี้นะ!” หวังลี่กวาดสายตามองเฉินเสวี่ย
โดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเฉินเสวี่ยไม่เต็มใจ แต่ในที่สุดหล่อนก็เอ่ยขอโทษเสียงแข็งราวกับใครบางคนทำผิดกับหล่อน
หลินชิงเหอเก็บของใช้ของตัวเองกลับไปและเดินออกไปกินข้าว
“ไปสอนหนังสือที่ชนบททั้งหลายปีแต่หล่อนยังมีพฤติกรรมแบบนี้อีก เหมือนมีใครติดหนี้หล่อนมาเลย” หวังลี่เอ่ยเยาะ
หลินชิงเหอหัวเราะในลำคอ จากนั้นเธอก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้น “เธอไม่ใช่สาวรุ่นแล้วนะ ทำไมยังโสดอยู่?”
“โสดอะไรกันล่ะ? ฉันไม่รู้ว่าหล่อนวางแผนอะไรอยู่ตอนที่บอกว่ายังไม่แต่งงาน” หวังลี่กระซิบ
“เธอหมายความว่ายังไง?” หลินชิงเหออึ้งไป
“มีบางคนที่อยู่ในภาควิชาเดียวกับเรามาจากตำบลเดียวกับหล่อนรู้จักหล่อนอยู่ล่ะ สามีของหล่อนเป็นลูกชายของผู้อำนวยการชุมชนและหล่อนก็มีลูกชายกับลูกสาวอย่างละคนแล้ว” หวังลี่บอก
“หล่อนมีลูกแล้วแต่ก็ยังทำแบบนี้เหรอ?” หลินชิงเหอย่นคิ้ว
เมื่อหวังลี่เห็นว่าไม่มีใครอยู่ หล่อนก็ลดเสียงลงต่ำ “เมื่อวานนี้ฉันเห็นหล่อนใกล้ชิดกับผู้ชายคนหนึ่งมากเลยนะ”
เอ่ยถึงจุดนี้ หลินชิงเหอก็รู้แจ้ง
“หล่อนไม่อยากให้คนอื่นรับรู้อดีตของตัวเองและเริ่มต้นชีวิตใหม่สินะ” หลินชิงเหอเอ่ย
ครั้งนี้เป็นหวังลี่ที่อึ้งไป “หมายความว่ายังไงกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่?”
“ก็หมายถึงการทิ้งสามีและลูก ๆ น่ะสิ” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
หวังลี่อึ้งไป แม้หล่อนจะเป็นบัณฑิตคนเมืองที่ถูกส่งไปอยู่ชนบท หล่อนก็ยังดำเนินชีวิตเรียบง่ายและหัวโบราณ เมื่อได้ยินดังนี้หล่อนถึงกับตกใจ
แต่สิ่งที่หลินชิงเหอพูดมาเป็นการคาดเดาที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นแล้วเฉินเสวี่ยจะเที่ยวบอกคนอื่นว่าหล่อนโสดทำไมล่ะ?
และยังมีปฏิสัมพันธ์กับนักศึกษาชายคนอื่น ๆ ด้วย!
“เป็น…เป็นไปได้ยังไง?” หวังลี่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้
หล่อนรับไม่ได้จริง ๆ
“ไม่ใช่ว่ากฎการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้บอกว่าคนที่แต่งงานแล้วจะไม่มีสิทธิ์สอบหรอกเหรอ? ฉันเดาว่าจำนวนคนหย่าในชนบทต้องสูงมากทีเดียว” หลินชิงเหอพูดต่อ
“หลังจากนั้นจะทำยังไงล่ะ? คนพวกนั้นที่แต่งงานมีลูกแล้วน่ะ” หวังลี่เอ่ย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนมีสามัญสำนึกกันหรือเปล่า หวังลี่ เราไม่อาจเรียนรู้จากพวกเขาได้หรอกนะ เราทิ้งเด็ก ๆ ที่เราให้กำเนิดมาอย่างยากเย็นขนาดนั้นไม่ได้หรอก” หลินชิงเหอเอ่ย
“ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ? ฉันไม่อยากเผชิญความเจ็บปวดตอนคลอดลูกคนที่สองอีกแล้วในชีวิตนี้” หวังลี่เอ่ย
หล่อนคลอดลูกชายแล้วหนึ่งคน ต่อให้เป็นคนเดียวก็ทำให้หล่อนไม่อยากมีลูกอีก
หลินชิงเหอยิ้มพลางพยักหน้า “รีบกินเร็วเข้า หลังกินเสร็จแล้วไปเดินเล่นกันเถอะ ช่วงนี้ฉันเหนื่อยมากเลย”
หลังกินข้าวกับหวังลี่เสร็จ พวกเธอก็ล้างกล่องอาหารและออกมาเดินเที่ยว แถมยังซื้อมะเขือเทศกลับไปกินด้วย
แม้ชีวิตหอพักจะมีเรื่องขัดแย้งบ้าง แต่ก็นับว่ายังทนได้อยู่
ตลอดปิดเทอมฤดูร้อน หลินชิงเหอไม่ได้กลับบ้าน แต่เธอคิดถึงโจวชิงไป๋เหลือเกิน และคิดถึงลูกชายทั้งสองรองลงมา
เจ้าใหญ่ไม่อยากกลับบ้าน หลินชิงเหอจึงปล่อยเขาไป ในเมื่อเขาอยากอยู่ในเมืองหลวงก็อยู่ไป
หลินชิงเหอซื้อของบางอย่าง จากนั้นเธอก็ขนกลับหมู่บ้านโจวเจี่ย
การเดินทางกลับช่างยากลำบาก แต่เพื่อผู้ชายของเธอแล้ว เธอต้องอดทน
หลังกลับมาถึงตัวอำเภอในไม่กี่วันต่อมา เธอก็มุ่งหน้าไปหาโจวเสี่ยวเม่ยก่อนเพื่อค้างคืน และซูต้าหลินก็ปรุงอาหารต้อนรับ
หลินชิงเหอกับโจวเสี่ยวเม่ยคุยกันในขณะที่เขากำลังทำอาหาร เธอมอบของฝากแปดอย่างจากเมืองหลวงให้ครอบครัวนี้กล่องหนึ่ง
“เจ้าใหญ่ได้กลับมาไหมคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยถาม
“เขาบอกว่าไม่อยากกลับ ฉันก็เลยให้เขาอยู่ที่นั่นน่ะ” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม
เธอให้เงินเจ้าใหญ่จำนวน 30 หยวน มากพอที่เขาจะเอาไว้ใช้
วิธีการสอนลูกชายของหลินชิงเหอไม่นับรวมถึงการบังคับเขา ลูกชายของเธอจึงมีความคิดเป็นของตัวเองและทำในสิ่งที่ควรทำ ตราบใดที่พวกเขาไม่เป็นลูกแหง่ติดเธอกับพ่อของพวกเขามันก็ถือว่ารับได้
“พี่รู้สึกไม่คุ้นชินบ้างไหมคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยถาม
“ไม่มีอะไรไม่คุ้นชินหรอก มันก็เกือบเหมือนกับตอนอยู่ที่นี่นั่นแหละ แต่เพื่อเฉิงเฉิงกับคนอื่น ๆ แล้ว พี่แนะนำว่าในอนาคตย้ายไปอยู่ที่นั่นเถอะ” หลินชิงเหอบอก
โดยไม่ต้องบอก การศึกษาในเมืองหลวงนับว่าดีที่สุดในประเทศ ยิ่งกว่าการตั้งรกรากอาศัยอยู่ในระยะแรกยังทำได้ง่ายด้วย
“เมื่อย้ายไปที่นั่นแล้ว เราก็ไม่รู้จะหาอะไรทำน่ะสิคะ” ไม่ใช่ว่าโจวเสี่ยวเม่ยไม่คิดจะย้ายไปเมืองหลวง หล่อนเองก็คิดเหมือนกัน
“ด้วยฝีมือทำอาหารของน้องเขยแล้วเธอยังจะกลัวอะไรอีกล่ะ? เมื่อถึงเวลาแล้วก็ขายซาลาเปาหมั่นโถวก็ได้ เธอจะไม่เสียเงินเลย” หลินชิงเหอให้กำลังใจ
“แล้วจะหาเงินด้วยวิธีแบบนั้นน่ะเหรอคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยตอบ
“เธอยังไม่เข้าใจ ฉันจะอธิบายให้ฟังทีหลังแล้วกัน เธอกับน้องเขยอยู่ที่นี่ไปก่อน รอให้อะไร ๆ ลงตัวกว่านี้แล้วเราค่อยมาคุยกัน” หลินชิงเหอเอ่ย
ในเย็นนั้นเอง เธอก็กินอิ่มและนอนพักหนึ่งคืน จากนั้นเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น เธอก็ยืมจักรยานของโจวเสี่ยวเม่ยปั่นกลับไปที่บ้าน
เดิมเธออยากเดินกลับ แต่โจวเสี่ยวเม่ยบอกให้เธอปั่นจักรยานกลับไปและนำมาคืนตอนที่มีเวลา แล้วหล่อนจะให้ซูต้าหลินปั่นอ้อมและส่งหน้าที่ทำงานของหล่อนตอนออกไปทำงาน ซึ่งมันใช้เวลาน้อยกว่า 10 นาที
หลินชิงเหอจึงไม่เกรงใจ
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน โจวชิงไป๋ก็ออกไปทำงานแล้ว
เจ้ารองกับเจ้าสามเองก็ไปโรงเรียน แต่ท่านแม่โจวยังอยู่ที่บ้านและเลี้ยงไก่อยู่ในสวนหลังบ้าน
“สะใภ้สี่เหรอ?”
เมื่อเห็นหลินชิงเหอกลับมา ท่านแม่โจวก็ชะงักไป จากนั้นก็อุทานด้วยความประหลาดใจแกมยินดี
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แม่แอบกลับมาบ้านแล้วค่ะ พ่อมาเห็นจะดีใจขนาดไหนกันนะ?
ไหหม่า(海馬)