ตอนที่ 239.1 ลมวสันต์ส่งท่านไกลพันหมื่นลี้

ชุดนักพรตเต๋าสีชมพูของหลิ่วชื่อเฉิงโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลมอย่างเชื่องช้า บุคคลสำคัญดุจยักษ์ใหญ่ของนครจักรพรรดิขาวเมื่อหนึ่งพันปีก่อนท่านนี้สำรวมกิริยาลงเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นี่ไม่สมเหตุสมผล

เพราะเรือนกายที่เลื่อนลอยดั่งภาพมายาซึ่งก่อตัวจากสายลมวสันต์ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเป็นเพียงปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวที่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางเบาคนหนึ่งเท่านั้น

หลิ่วชื่อเฉิงสังเกตลักษณะของอีกฝ่ายแล้วก็เห็นว่าเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่งที่น้ำมันแทบจะแห้งขอดเท่านั้น ทว่านอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วกลับยังมีกลิ่นอายบางอย่างที่บอกไม่ถูกอยู่อีก หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีระดับต่ำกว่าห้าขอบเขตบนคนใดก็ตาม เกรงว่าคงจะใคร่ครวญหาความเชื่อมต่อใดๆ ไม่เจอ แต่เขาที่สิงอยู่ในร่างของหลิ่วชื่อเฉิงชั่วคราว ในช่วงเวลาที่มีตบะสูงสุดก็คือเซียนขอบเขตสิบสองตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่ทรยศออกจากสำนักลัทธิมาร เขาที่อยู่ในนครจักรพรรดิขาวซึ่งตั้งอยู่ระหว่างก้อนเมฆหลากสี ตั้งอยู่เบื้องใต้กระแสน้ำของแม่น้ำในถ้ำสวรรค์หวงเหอเคยได้เจอกับบุคคลมีความสามารถที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดกลุ่มเขามามากมาย ตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร

ยิ่งเป็นภาพมายาที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออก หลิ่วชื่อเฉิงก็ยิ่งไม่กล้าดูแคลน

ฉีจิ้งชุนใช้สายตาบอกกับเฉินผิงอันให้วางใจ เขายืนเคียงไหล่อยู่กับเด็กหนุ่ม เอ่ยแนะนำตัวกับหลิ่วชื่อเฉิงด้วยรอยยิ้ม “ฉีจิ้งชุน ลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง อดีตเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา”

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ มึนงงเล็กน้อย

คนตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้วางมาดใหญ่โตอะไร แถมยังมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน เพียงแต่ว่าเหวินเซิ่ง? ฉีจิ้งชุน? สำนักศึกษาซานหยา? อะไรก็ไม่รู้ หรือว่าหนึ่งพันปีที่ตนถูกจางเซียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์กำราบไว้นี้มีอริยะที่เป็นอาจารย์และลูกศิษย์จากลัทธิขงจื๊อปรากฎขึ้นอีกสองคน? เพียงแต่คำเรียกขานว่า ‘เหวินเซิ่ง’ นี้ ไม่ได้ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ลำพังแค่เพิ่มคำว่าเซิ่งต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่นหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง ก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติจะได้ตั้งเทวรูปไว้ในศาลเจ้าบุ๋นทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งของเทวรูปยังอยู่ด้านหน้าๆ อีกด้วย

จะโทษก็ต้องโทษบัณฑิตที่ไม่ได้ความอย่างหลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้มีรากฐานตื้นเขินเกินไป วันๆ ไม่ทำอะไรที่มีแก่นสาร ไม่เคยสนใจสถานการณ์ของในทวีป ดีแต่คิดจะอาศัยความรู้อันน้อยนิดในหัวที่น่าสงสารนั้นไปเกี้ยวพาราสี หลอกล่อหญิงสาวให้หลงคารม แน่นอนว่าตัวเขาเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะรู้สึกว่าสถานที่ป่าเถื่อนอย่างบุรพแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ ต่อให้ผ่านการสั่งสมรากฐานมานานนับพันปี ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ต้องมีน้อยจนนับนิ้วได้ ตนไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจ

ฉีจิ้งชุนโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งที ตราผนึกที่หลิ่วชื่อเฉิงสร้างไว้ก็หายวับไป

วิญญูชนปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ เพียงไม่นานชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มก็ค้นพบความผิดปกติของทางฝั่งนี้ พวกเขาหันหน้ามามองกันเอง คนที่สวมชุดเต๋าสีชมพูนั่นคือหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตยากจนรึ? ทำไมถึงได้มีความชื่นชอบประหลาดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรักสวยรักงามแบบนี้? แล้วปัญญาชนชุดเขียวที่ดูมีอายุคนนั้นล่ะเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใด?

หลิ่วชื่อเฉิงหรี่ตาลง

ถึงขนาดทำลายเวทอำพรางตาของตนได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีตบะขอบเขตหยกดิบเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่วิชาอภินิหารลึกล้ำที่สืบทอดมาจากระบบลัทธิมารของนครจักรพรรดิขาว ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบเต็มตัวคนหนึ่งก็ยังไม่สามารถทำลายตราผนึกของเขาได้ง่ายดายขนาดนี้

จางซานเฟิงขยับตัวจะลุกขึ้นเดินไปหาเฉินผิงอัน แต่กลับถูกสวีหย่วนเสียคว้าแขนเอาไว้ เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “พวกเราคุยเรื่องของพวกเราต่อไป เรื่องของทางฝั่งนั้นเราเข้าไปมีส่วนด้วยไม่ได้เด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดพวกเราอย่ามองในสิ่งที่ไม่ควรมอง อย่าฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง”

จากนั้นชายฉกรรจ์เคราดกก็เห็นว่าปัญญาชนชุดเขียวหันมองมาทางพวกเขา คลี่ยิ้มบางๆ พยักหน้าเป็นการทักทาย

สวีหย่วนเสียรีบกุมมือคารวะกลับ

ฉีจิ้งชุนถามยิ้มๆ “ท่านผู้อาวุโสใช่เจ้าหอหลิวหลีแห่งนครจักรพรรดิขาวหรือไม่?”

หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้า ตอบอย่างคลุมเครือ “ทำไม เคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของข้ามาก่อนรึ? เป็นเพราะว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่ของข้าดังกระฉ่อนเกินไปจนคนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ยินกันทั่วทุกหัวมุมถนนแล้ว?”

ฉีจิ้งชุนส่ายหน้า “ข้าเคยเดินทางผ่านแม่น้ำหวงเหอ เคยได้พบกับเจ้านครจักรพรรดิขาวที่ริมแม่น้ำหนึ่งครั้ง เลยได้พูดคุยเรื่องของท่านผู้อาวุโส”

จู่ๆ หลิวชื่อเฉิงก็แผดเสียงผรุสวาท “พูดเหมือนผายลม! ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าจะออกจากเมืองมาพบคนอื่นได้อย่างไร?! ด้วยนิสัยของเขา ต่อให้เป็นพวกตาแก่ที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลเจ้าบุ๋นซึ่งคนมากมายเลื่อมใสมาเยือนถึงที่ ศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่เคยเป็นฝ่ายออกจากเมืองมาต้อนรับแขกด้วยตัวเองเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่โผล่หน้าออกมาระหว่างชั้นเมฆหลากสีเท่านั้น และนั่นก็ถือว่าเห็นแก่หน้าของคนลัทธิขงจื๊ออย่างพวกเจ้ามากแล้ว แต่นี่พวกเจ้าสองคนยังเคยพบหน้ากันที่ริมแม่น้ำ? เจ้าเด็กน้อย จะคุยโวโอ้อวดก็ควรให้มีขอบเขตบ้าง!”

ฉีจิ้งชุนได้ยินเข้าก็หลุดหัวเราะ “ท่านเจ้าเมืองยังเคยเชื้อเชิญให้ข้าเล่นหมากล้อมด้วยสามตา เพียงแต่ว่าตอนนั้นข้ามีธุระสำคัญ จำเป็นต้องเดินทางกลับสถานศึกษาในทันที จึงขอติดเอาไว้ก่อน คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ไม่มีโอกาสได้ย้อนกลับไปยังนครจักรพรรดิขาวอีก น่าจนใจจริงๆ”

หลิ่วชื่อเฉิงยกมือสองข้างขยี้ซีกแก้มอย่างแรง ไฟโทสะสุมแน่นอยู่ในอก แม้ว่าเขาจะแตกหักกับศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองไปแล้ว ไม่เหลือความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันแม้แต่น้อย ทว่าส่วนลึกในใจเขากลับเคารพเลื่อมใสในตัวเจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นั้นมาโดยตลอด เป็นความชื่นชมและเลื่อมใสบูชาจากใจจริง ดังนั้นเขาจึงสองจิตสองใจว่าควรจะตบให้จิตวิญญาณเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ในโลกของไอ้หมอนี่แหลกสลายไปด้วยฝ่ามือเดียวดีหรือไม่

ในเมื่อเจ้าหอหลิวหลีที่อยู่ตรงหน้าไม่เต็มใจจะเชื่อ ฉีจิ้งชุนก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความอีก

สำหรับปีศาจใหญ่แห่งนครจักรพรรดิขาวที่กลับคืนมายังโลกมนุษย์อีกครั้งผู้นี้ อันที่จริงฉีจิ้งชุนไม่ได้มีความรู้สึกที่ย่ำแย่ต่อเขาสักเท่าไหร่ จิตสังหารที่เกิดขึ้นครั้งแรกของคนผู้นี้ก็คือตอนที่มือกระบี่แคว้นซูสุ่ยคิดจะสังหารปีศาจจิ้งจอกน้อยโดยไม่แบ่งแยกดีชั่ว อันที่จริงในกลุ่มบัณฑิตที่เอ่ยคุณธรรมและเมตตาธรรมได้เต็มปาก วิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางท่าว่ามีคุณธรรมหรือแม้แต่คนในวิถีมารก็ล้วนไม่ขาดบุคคลที่โดดเด่นมีความสามารถ ปีนั้นฉีจิ้งชุนติดตามศิษย์พี่จั่วท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ อยู่นานหลายปี จึงมีความรู้และประสบการณ์มานานมากแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่มีทางตัดสินว่าใครดำใครขาว

แล้วนับประสาอะไรกับที่คดีความหลิวหลีที่แตกสลายเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เดิมทีฉีจิ้งชุนก็มีความมั่นใจในตัวของปีศาจใหญ่ตรงหน้าผู้นี้อยู่แล้ว

ฉีจิ้งชุนตบไหล่เฉินผิงอัน พูดกับหลิ่วชื่อเฉิงด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่เฉินผิงอันจะกราบไหว้เจ้าเป็นอาจารย์ ย่อมไม่ได้แน่นอน แต่เรื่องฝึกกระบี่ หากผู้อาวุโสเต็มใจสอน เฉินผิงอันก็เต็มใจเรียน ส่วนข้าฉีจิ้งชุนก็ยินดีที่จะให้เป็นเช่นนั้น”

หลิ่วชื่อเฉิงยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาส่ายเบาๆ “ตอนนี้เจ้าอยู่ในสภาพแบบไหน ทั้งเจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เจ้าก็เป็นแค่ลมวสันต์ไม่กี่กลุ่มที่รวมตัวกันได้เพราะเศษเสี้ยวจิตวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้ตอนยังมีชีวิตอยู่เจ้าจะเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อห้าขอบเขตบน แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะมาต่อรองกับข้างั้นหรือ?”

ฉีจิ้งชุนมองปีศาจใหญ่ที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพู แค่มองไปก็เห็นปราณสังหารที่ท่วมท้นของหลิ่วชื่อเฉิง เห็นท่าทางคันไม้คันมืออยากลงมือเต็มแก่ของเขา

เดิมทีจิตใจของคนเผ่าปีศาจก็สั่นคลอนง่ายอยู่แล้ว การเลือกส่วนใหญ่ของพวกเขามักจะเอนเอียงไปทางนิสัยดุร้ายฉุนเฉียวที่มีมาตั้งแต่กำเนิดมากกว่า นี่จึงเป็นเหตุให้มีโศกนาฎกรรมมากมายเกิดขึ้นในโลกมนุษย์

การที่ใต้หล้าไพศาลมีวิธีสยบกำราบและพันธนาการปีศาจใหญ่ในโลกมากมาย ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไร้เหตุผล เคยมีคนให้ข้อเสนอแนะว่า ‘ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับข้า ย่อมมีใจคิดไม่ซื่อ’ รวมไปถึงมีคำเอ่ยที่ว่า ‘ภูตผีปีศาจ เกิดมาก็ต้องเอาชีวิตรอดไปวันๆ ชอบช่วงชิงพลังชีวิตของหมื่นสรรพสิ่ง มีเพียงได้รับการอบรมสั่งสอนจากมนุษย์ จึงยินดีที่จะเปลี่ยนตัวเองให้มีคุณธรรม รู้จักความเอื้ออาทร’ ถ้อยคำแสดงความคิดเห็นเหล่านี้มีไว้สำหรับเผ่าพันธ์ที่อยู่นอกเหนือจากเผ่ามนุษย์ ฟังแล้วระคายหูอย่างมาก และในความเป็นจริงแล้ว ช่วงเวลาระหว่างที่หลี่เซิ่งนั่งบัญชาการณ์ใต้หล้า มีอริยะของสถานศึกษาคอยเสนอแนะอยู่ไม่ขาดว่าให้ล้อมจับปีศาจใหญ่ที่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนทั้งหมดไปขังไว้ในคุก เพื่อกำจัดภัยร้ายที่อาจตามมาในภายหลังให้สิ้นซาก เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วหลี่เซิ่งไม่ได้รับข้อเสนอก็เท่านั้น

ฉีจิ้งชุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังเล็กน้อย

สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว หลักการของปีศาจบนโลกนี้ก็ล้วนอยู่ที่คำว่า ‘มีชีวิต’ ทั้งสิ้น คือการแสวงหาไขว่คว้าวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่อได้เป็นผู้แข็งแกร่ง ไร้พันธนาการ ไร้ขื่อไร้แปอย่างไม่ย่อท้อ

ทว่าหลักการของใต้หล้าไพศาลกลับอยู่ที่สองคำว่า ‘กฎเกณฑ์’ เมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์ อาณาประชาราษฎร์ก็จะร่มเย็นเป็นสุข

ฉีจิ้งชุนยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากเจ้าไม่คิดจะพูดจากันด้วยเหตุผล แต่คิดจะใช้กำลังเอาชนะคนอื่น ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องยืมใช้กระบี่มาสะบั้นตบะของเจ้าไปครึ่งหนึ่ง”

กระบี่เล่มยาวที่ถูกเฉินผิงอันตั้งชื่อว่า ‘ปราบมาร’ ซึ่งอยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไหวด้านหลังส่งเสียงร้องอย่างเริงร่าประหนึ่งผืนดินที่แห้งแล้งมานานได้ลิ้มรสฝนหวานฉ่ำ ก่อนจะค่อยๆ ออกจากฝักทีละชุ่น แผ่พลังอำนาจสะท้านฟ้า!

ชุดนักพรตเต๋าสีชมพูของหลิ่วชื่อเฉิงสะบัดโป่งพอง ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย ปราณปีศาจท่วมท้นตลอดทั่วทั้งร่าง เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าคนแซ่ฉี เจ้าแน่ใจว่าจะมีโอกาสคว้าอาวุธเทพที่ใช้ต่อกรกับเผ่าปีศาจโดยเฉพาะเล่มนั้นหรือ? ต่อให้ข้าต่อยดวงวิญญาณของเจ้าให้แหลกเละไม่ได้ แต่เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะต่อยให้เฉินผิงอันกลายเป็นเนื้อบดด้วยหมัดเดียว?”

ฉีจิ้งชุนสีหน้าปกติคล้ายกำลังอธิบายเหตุผลที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินมากที่สุด “ขอแค่ข้าฉีจิ้งชุนยังอยู่บนโลกอีกหนึ่งเค่อ ก็ไม่มีใครสามารถรังแกศิษย์น้องเล็กของข้าได้แม้แต่ปลายนิ้วก้อย”

หลิวชื่อเฉิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี!”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset