บทที่ 242 สวยน่ารัก
เดือนสิงหาคมได้มาถึงในชั่วพริบตาเดียว
หลินชิงเหอกลับมาที่บ้านได้พักหนึ่งแล้ว ซึ่งอากาศสองวันที่ผ่านมานี้ไม่สู้ดีเท่าใดนัก เพราะฝนได้ตกลงมา
แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเยี่ยมเพราะเมล็ดพันธุ์พืชประจำฤดูร้อนเพิ่งถูกหว่านไป เมล็ดทั้งหลายได้งอกเป็นต้นกล้าและเติบโตขึ้น การมีฝนช่วยประหยัดแรงงานในการรดน้ำไปได้เยอะทีเดียว
ฝนตกในระดับหนักปานกลาง ทุกคนจึงไม่จำเป็นต้องออกไปทำงาน
เมื่อโจวชิงไป๋ไม่ต้องไปทำงาน ภาคการศึกษาใหม่ที่จะแยกพวกเขาจากกันก็ใกล้เข้ามาถึง
พวกเขาจึงตักตวงความสุขซึ่งกันและกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
“เมื่อไหร่คุณถึงจะพอคะ” หลินชิงเหอเอ่ยออกมาในที่สุดหลังถูกพลิกไปมาถึงสามรอบในคืนนั้น
“ภรรยาครับ อีกไม่นานคุณก็ต้องกลับไปแล้ว” โจวชิงไป๋เอ่ย
น้ำเสียงของเขาแฝงแววเศร้าโศกจนหัวใจของหลินชิงเหออ่อนยวบ “เรื่องนั้นพอแล้วค่ะ นอนพักกันเถอะ กว่าคุณจะมีโอกาสได้พักสองวันเต็มแบบนี้ก็อีกนาน แทนที่จะพักผ่อนให้สบาย คุณกลับใช้พลังงานไปกับฉันซะนี่”
โจวชิงไป๋ได้ฟังก็ไม่ได้ทำต่อ
จากนั้นเองหลินชิงเหอจึงหยุดพูดให้เขาผละออกไป…จริง ๆ เลย…แค่พลอดรักกันไม่กี่วันก็น่าจะพอแล้ว แต่เขากลับทำนานขนาดนี้และยังไม่หยุดอีก
เธอเองก็ชอบให้เขาทำแบบนี้ แต่เขาต้องใส่ใจสุขภาพร่างกายของตัวเองด้วย
เธอไม่ต้องทำอะไรนาน ๆ ตลอดทั้งวัน ในขณะที่เขาต้องออกไปทำงานในทุ่งนา เรื่องแบบนี้มันเทียบกันได้เหรอ
โจวชิงไป๋ทำหน้าตาย เขาไม่รู้สึกเหนื่อยแต่กลับเพลิดเพลินเสียอีก ทว่าภรรยาของเขาก็ขี้บ่นนัก เขาจึงไม่กล้าต่อต้านเธอ
การไม่ต้องออกไปทำงาน ทำให้อาหารที่บ้านมีแต่ของอร่อย ๆ นอกจากอาหารทั้งสามมื้อแล้ว หลินชิงเหอยังได้ทำขนมงาตัด ขนมถั่วตัด และอื่น ๆ อีกมากมาย
ซึ่งอาหารคาวทั้งหลายล้วนมีรสโอชาทั้งหมด
“แม่ครับ ตอนที่แม่ไม่อยู่ ผมรู้สึกว่าบ้านไม่เป็นบ้านเลยครับ” เจ้าสามเอ่ยด้วยแรงอารมณ์ขณะกินขนมถั่วตัด
“แถมคุณย่าทำของพวกนี้ไม่เป็นด้วย” เจ้ารองเสริม
นับตั้งแต่ที่แม่ของพวกเขากลับมา สองพี่น้องก็เริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นภายใต้การดูแลจากแม่ของพวกเขา ทั้งคู่ได้รับสารอาหารเพียงพอในทุกวัน แล้วทำไมพวกเขาถึงจะไม่กลับมาอ้วนท้วนสมบูรณ์เหมือนเดิมล่ะ?
ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น ตั้งแต่ที่เธอกลับมา สีหน้าท่าทางของโจวชิงไป๋ก็ดีขึ้นมากเช่นกัน
อย่างการที่เขามายุ่งวุ่นวายในตอนกลางคืนได้ ก็แสดงให้เห็นชัดว่าเขาได้รับการบำรุงเป็นอย่างดี
“ถ้าลูก ๆ สอบได้คะแนนดีและเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ ลูกก็มีความสุขกับชีวิตทางนั้นได้ พูดถึงทางนั้นแล้ว พี่ใหญ่ตอนนี้ก็กำลังหลงระเริงจนลืมกลับบ้านเลยทีเดียว ลูกสองคนฟังแล้วก็คิดเอาเองแล้วกันนะ” หลินชิงเหอบอก
เจ้ารองกับเจ้าสามตำหนิพี่ใหญ่ของพวกเขาว่าไม่มีความกตัญญูรู้คุณเอาเสียเลย โทษฐานที่ไม่อยากกลับบ้านหลังได้ไปอยู่ในเมืองหลวงแล้ว!
จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกอิจฉาพี่ชายคนโตขึ้นมา
แม้อาหารการกินที่ท่านแม่โจวทำจะมีปริมาณปานกลาง แต่บ้านนี้ก็ยังสั่งนมมากินอยู่ 2 ขวดต่อวัน ซึ่งเจ้ารองกับเจ้าสามได้กินคนละขวด
และตอนนี้เจ้าสามก็ไม่ตั้งแง่รังเกียจนมจืดแล้ว
ปีนี้สองพี่น้องสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้สูงพรวดพราดเหมือนเจ้าใหญ่
เจ้าใหญ่เหมือนจะเข้าสู่จุดสูงสุดของการเจริญเติบโตแล้ว เพียงแค่ภาคการศึกษาเดียว เขาก็สูงเกือบ 180 เซนติเมตร
และปีนี้เขาเพิ่งจะมีอายุ 14 ปีเท่านั้น
หลินชิงเหอกังวลเล็กน้อย เขาจะสูงเกินไปหรือเปล่านะ? ถ้าเขาสูงมากไปจะต้องหาคู่ครองในอนาคตยากแน่
ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ยังมีความกังวลว่าเขาจะเติบโตเร็วเกินไปจนได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เจ้าใหญ่จึงได้ดื่มนมทุกเช้าเช่นกัน ซึ่งต้องรับนมที่จุดรักษาความปลอดภัยตรงประตูทางเข้า โดยเธอเป็นผู้สั่งและบอกพวกเขาให้วางไว้ตรงนั้นเอง
เจ้ารองกับเจ้าสามสูงขึ้นไม่มากนัก แค่ราว 2 เซนติเมตรเท่านั้น ในอนาคตข้างหน้าพวกเขาไม่ถือว่าเตี้ยเกินไปหรอก
การเรียนการสอนเริ่มมีในเดือนกันยายน ซึ่งหลินชิงเหอต้องจากบ้านอีกครั้งในราว ๆ วันที่ 25 สิงหาคม นั่นหมายความว่าเธอสามารถอยู่ที่บ้านได้อีก 20 กว่าวัน
ช่วงเวลานี้ไม่ถือว่านานเลย แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง โจวชิงไป๋ก็รู้สึกขมขื่นยามเห็นหลินชิงเหอเก็บข้าวของเตรียมจากไป เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน
แม้หลินชิงเหอจะยอมให้เขาทำอย่างบ้าคลั่งนับหลายครั้งเมื่อคืนนี้ แต่ก็ไม่อาจปลอบประโลมหัวใจอันหดหู่ของโจวชิงไป๋ได้เลย
“ฉันจะกลับมาอีกทีตอนปิดเทอมฤดูหนาวนะคะ คุณรักษาตัวให้ดี ๆ ล่ะ กลับไปได้แล้วนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยหลังยอมให้เขามาส่งเธอขึ้นรถประจำทางในตัวอำเภอ
“ถึงวันหยุดแล้วรีบกลับมานะ คุณไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาฝากหรอก” โจวชิงไป๋ตอบ
“รู้แล้วค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
จากนั้นหญิงสาวก็ขึ้นรถและโบกมือให้เขา
เมื่อโจวชิงไป๋กลับไป เขาก็รู้สึกไม่มีแรงเหลือมากนัก แต่เขารีบแข็งใจอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เขาคงไม่แยกจากภรรยาแบบนี้ตลอดไปหรอก
หลินชิงเหอนั่งรถเคลื่อนไปตามถนนเป็นเวลานานขณะหนึ่งก่อนจะกลับมาถึงเมืองหลวง
ทันทีที่กลับมาถึง เธอก็เห็นโจวข่ายลูกชายคนโตมีผิวคล้ำดำเป็นถ่าน ทำให้หญิงสาวตกใจมาก “ลูกไปทำอะไรมาน่ะ?”
“เที่ยวเล่นไปเรื่อยน่ะครับ” โจวข่ายยิ้มกริ่ม
ปิดเทอมหน้าร้อนปีนี้เขาได้ตระเวนเที่ยวไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว และไม่มีใครมีปัญหากับเขาเลยจากเหตุผลที่เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งและนำเอกสารอย่างบัตรนักเรียนติดตัวอยู่ตลอด
เขามีอายุแค่ 14 ปีเท่านั้น ซึ่งนับว่ายังเป็นเด็กอยู่
“ลูกนี่ไม่เหนื่อยไม่ล้าบ้างเลยนะ” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“แม่ครับ คุณย่า คุณปู่ คุณพ่อ กับน้อง ๆ เป็นยังไงบ้าง?” โจวข่ายถาม
“ทุกคนสบายดี เพียงแต่ว่าตอนที่จะจากกันมันยากสักหน่อย” หลินชิงเหอเอ่ยแล้วก็เอ่ยต่อ “ครั้งนี้ลูกไม่ได้กลับบ้าน คุณปู่คุณย่าคิดถึงลูกใหญ่เลย ปิดเทอมฤดูหนาวนี้ลูกต้องกลับไปบ้านหน่อยนะ”
“ปิดเทอมฤดูหนาวเหรอครับ ผมไม่ได้วางแผนจะกลับบ้านตอนปิดเทอมฤดูหนาวเลย แต่คิดจะอยู่ที่นี่แล้วรอดูว่าวันขึ้นปีใหม่ในเมืองหลวงมันเป็นยังไง” โจวข่ายตอบ
“เจ้าเด็กตัวเหม็นเอ๊ย ลูกมาอยู่ที่นี่เพื่อเรียนหนังสือเป็นระยะสั้น ๆ แต่กลับจะทิ้งบรรพบุรุษและลืมพวกเขาเสียแล้วเหรอ?” หลินชิงเหอถลึงตาขณะดึงหูเด็กชาย
“แม่ แม่ครับ ผมตัวใหญ่ขนาดนี้แล้ว ไว้หน้าผมบ้างเถอะ เราอยู่บนถนนนะครับ” โจวข่ายร้องออกมาและเอ่ยรัวเร็ว
“ปีนี้ลูกต้องกลับไปพร้อมแม่ ส่วนปีหน้าลูกจะกลับหรือไม่กลับแม่ก็ไม่สนใจแล้ว” หลินชิงเหอปล่อยมือและลั่นวาจา จากนั้นก็ยิ้มให้คนที่กำลังมองมา “อย่าเข้าใจผิดนะคะ เด็กชายตัวเหม็นคนนี้ดื้อกับฉันน่ะค่ะ ในฐานะแม่แล้วก็ต้องดุด่าว่ากล่าวกันบ้าง”
“เห็นลูกเธออายุน้อยขนาดนี้ ฉันไม่คิดเลยว่าลูกชายของเธอจะตัวใหญ่ขนาดนี้เลยนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งยิ้มให้
“คือฉันแต่งงานเร็วน่ะค่ะ อย่าตื่นเต้นไปกับความสูงของเจ้าเด็กเหม็นนี่นะคะ เขาอายุแค่ 14 ปีเอง” หลินชิงเหอยิ้ม
“ 14 ปีเองเหรอ? ตัวสูงมากเลย” ผู้หญิงอีกคนเอ่ยขึ้น
“เขาโตแต่ตัวน่ะค่ะ สมองยังมีไม่เยอะเท่าไหร่ ยังโง่อยู่เลย” หลินชิงเหอตอบด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว
“ผมโง่อะไรกันครับ! ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ด้วยความสามารถของผมเองนะ!” โจวข่ายแย้ง
“เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งด้วยเหรอ? พ่อหนุ่มช่างแน่จริง ๆ” ชายสูงวัยอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แม่ผมเรียนเก่งกว่าผมอีก แม่ไม่ได้จ่ายค่าเล่าเรียนเลยสักเหมาเดียว อาศัยการเรียนด้วยตัวเองล้วน ๆ จนสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้” โจวข่ายหัวเราะ
เลยกลายเป็นว่าทั้งแม่กับลูกชายต่างอวยซึ่งกันและกัน พวกเขาใช้เวลานานอยู่ทีเดียวในการปลีกตัวออกจากกลุ่มมนุษย์ปู่มนุษย์ย่าผู้กระหายใคร่รู้ จากนั้นหญิงสาวก็พาโจวข่ายเดินจากไปและเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขาเดินด้วยกัน “ลูกได้ยินหรือยังล่ะ? ปีนี้ลูกต้องกลับไปนะ ส่วนปีหน้าก็แล้วแต่ลูก”
“ก็ได้ครับ ผมอยู่ที่นี่ปีหน้าก็ได้” โจวข่ายพยักหน้า
“ลูกเป็นแบบนี้นี่ เพื่อนลูกไม่ระอาใจบ้างเหรอ?” หลินชิงเหอปริปากอีกครั้ง
“ไม่นะครับ ทำไมพวกเขาต้องระอาใจกับผมด้วยล่ะ? พวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่นะ” โจวข่ายตอบ
“แม่แค่กังวลว่าแม่ของเขาจะคิดว่าลูกเป็นเด็กนักเรียนเกเรเวลาเจอลูกน่ะสิ” หลินชิงเหอแก้
“ไม่มีทาง แม่เพื่อนชอบผมมาก ทุกครั้งที่ไปหา หล่อนก็จะแถมข้าวให้ตลอดจนเพื่อนร่วมชั้นอิจฉาผมเลยล่ะครับ” โจวข่ายบอก
“แล้วเพื่อนร่วมชั้นลูกนี่มีน้องสาวหรือเปล่าล่ะ?” หลินชิงเหอยิ้ม
“ครับ หล่อนดูสวยน่ารักอยู่” โจวข่ายพยักหน้า
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจ้ารองเจ้าสามสอบเข้าม.ปักกิ่งให้ได้นะคะ จะได้เข้ามาอยู่ในเมืองหลวงเหมือนพี่ใหญ่
พ่อทนไปก่อนนะคะ ถ้าแม่มีวิธีแม่ต้องพาพ่อไปอยู่ด้วยแน่นอนค่ะ
เจ้าใหญ่เนื้อหอมจริง มีแต่คนรักและอยากยกลูกสาวให้
ไหหม่า(海馬)