ภายใต้แสงจันทร์
เฉินผิงอันที่มหาสมุทรลมปราณจุดตันเถียนโหมสัดซาดยากสงบทำได้เพียงพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมา ค่อยๆ หายใจผ่อนช้าตามวิธีการของหยางเหล่าโถว การโคจรของปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่เกิดขึ้นเองอย่างเคยชินได้กลายมาเป็นสัญชาตญาณของเฉินผิงอันนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องจงใจโคจรก็สามารถไหลรินไปตามช่องต่างๆ หลายสิบช่องที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เหมือนกับช่องโพรงลมปราณในตอนนี้ได้เอง ก่อนหน้านี้ติดขัดอยู่ที่ระหว่างหกเจ็ดหยุด ตอนนี้มาติดอยู่ที่สิบสองสิบสามหยุด เสมือนถูกร่องลึกกั้นขวาง ยากที่จะขยับเดินไปด้านหน้าได้
เฉินผิงอันกลั้นลมหายใจทำสมาธิ แล้วปล่อยหมัดที่สี่เข้าใส่น้ำตก
ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนได้หลายสิบหมัด เฉินผิงอันก็จำต้องเอนหลังพิงราวระเบียงถึงจะยืนได้อย่างมั่นคง เขาจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ ในช่วงเวลาที่ปรับมหาสมุทรลมปราณให้สงบก็ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าออกจากเอวแล้วเริ่มดื่มช้าๆ
เฉินผิงอันแหงนหน้ามองดวงจันทร์ที่อยู่เหนือศีรษะ ในตำราบอกว่าดวงจันทร์คือแสงแห่งบ้านเกิด บอกว่าดวงจันทร์ลอยไปตามสายนที และยังบอกว่าดวงจันทร์ผุดเหนือมหาสมุทรดุจกระแสน้ำขึ้น
ตอนนั้นเด็กหนุ่มที่ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพ ไม่รู้ว่าคอยมองพระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์เต็มดวงของบ้านเกิดมาแล้วกี่ครั้ง เคยดูกับหลิวเสี้ยนหยาง แล้วก็เคยดูกับเด็กขี้มูกยืดกู้ช่าน ดูครั้งหนึ่งก็ใช้เวลานาน นอกจากวันที่เป็นวันเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว อันที่จริงช่วงเวลาอื่นๆ เฉินผิงอันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ ออกเดินทางไกลสองครั้งก็ได้เห็นภาพธรรมชาติยิ่งใหญ่อย่างดวงดาวดารดาษที่อยู่ใกล้ราวกับเอื้อมมือคว้าก็ถึง เห็นพื้นที่ราบกว้างไกล เห็นดวงจันทร์ที่ไหลไปตามกระแสนที ซึ่งเป็นภาพที่งดงามมากจริงๆ คราวนี้ต้องเอากระบี่ไปส่งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้ที่สุดก่อน ไม่รู้ว่าภาพของดวงจันทร์และดวงดาวที่อยู่เหนือมหาสมุทรจะงดงามเพียงใด
เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลงไป ลุกขึ้นยืน รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย แล้วเริ่มเหวี่ยงหมัดรอบต่อไป เขาตั้งกฎให้ตัวเองว่าจะต้องปล่อยกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบสามหมัดให้เสร็จในรวดเดียว ผู้เฒ่าเปลือยเท้าในเรือนไม้ไผ่เคยพูดกลั้วหัวเราะว่า การเข่นฆ่าในสมรภูมิรบ ทวนทองม้าเหล็ก พลทหารม้ามือดีอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งนี้ไม่เคยมีพวกกระจอกที่โดนเจาะขบวนรบแค่ครั้งสองครั้งก็ลงไปนอนพังพาบ
ถูกแรงมหาศาลของน้ำตกสายยักษ์กระแทกใส่ศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายของเฉินผิงอันจึงเริ่มสัมผัสกับความเจ็บปวดได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยหมัดครั้งนี้เสร็จ เฉินผิงอันถึงกับนอนเหยียดยาวอยู่บนหินฐานศาลา หอบหายใจฮักๆ เสียงดัง
หากตอนนั้นที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ผู้เฒ่าแซ่ชุยแค่ปล่อยหมัดทุบตีหล่อหลอมร่างกายของเฉินผิงอัน ให้เขาทนมือทนเท้าได้อย่างเดียว โดยที่ไม่ได้เรียกร้องให้เฉินผิงอัน ‘กรีดหนังเลาะเส้นเอ็น’ ด้วยมือตัวเอง ไม่มีการกระทำทั้งหลายแหล่ที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้าจนมิอาจทนมอง บางทีการฝึกหมัดของเฉินผิงอันในวันนี้อาจจะต้องหยุดลงเพียงเท่านี้ ไม่เหลือความดึงดันที่จะออกหมัดอีกต่อไป
มีครั้งหนึ่งผู้เฒ่าเปลือยเท้ายืนค้ำหัวหลุบตามองเฉินผิงอันที่นอนจมกองเลือด แค่นเสียงหยันพูดว่า “ความลำบากแค่นี้ก็ทนไม่ได้ ยังคิดจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า ขอบเขตสิบอีกรึ?”
ตอนนั้นเฉินผิงอันแค่รู้สึกอยากด่าตาเฒ่าหลายๆ คำ น่าเสียดายที่เรี่ยวแรงเหลือไม่มากพอ แม้แต่คำเดียวก็พูดไม่ออก
เมื่อเทียบกับความลำบากที่เคยได้รับบนภูเขาลั่วพั่วแล้ว ตอนนี้จึงเรียกได้ว่าเสวยสุข!
ไม่ใช่ว่ายิ่งเดินไปบนยุทธภพไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ชินกับความลำบากมากเท่านั้น
เฉินผิงอันที่พูดอยู่กับตัวเองในใจค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กัดฟันปล่อยหมัดอีกครั้ง
หนึ่งเค่อต่อมา น้ำตกใต้แสงจันทร์ยังคงมีเสียงบ่อน้ำถูกกระแทกดังตูมตามเป็นระลอกราวกับกำลังเย้ยหยันความไม่เจียมตัวของเด็กหนุ่ม เป็นเพียงมดตัวน้อยริอ่านจะเขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่
เฉินผิงอันแหงนหน้าโผล่พ้นผิวน้ำ ลืมตามองท้องฟ้าเบื้องบน
ปีนขึ้นฝั่งมาแล้วก็ออกหมัดอีกครั้ง เฉินผิงอันคำรามกร้าวดุดัน “จงเปิดออกให้ข้า!”
ม่านน้ำตกถูกพายุหมัดที่ดุดันต่อยจนเกิดเป็นช่องโพรงขนาดใหญ่ได้อย่างแท้จริง ทว่าก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น เพราะหลังจากที่หมัดของเฉินผิงอันกระแทกใส่ผนังหินหนักๆ ร่างทั้งร่างแทบจะลอดผ่านน้ำตกไปได้ เขาก็ถูกสายน้ำพัดพาให้จมดิ่งลงไปใต้บ่ออีกครั้ง หลังจากที่ล่องลอยหมุนซ้ายเวียนขวาไปตามกระแสน้ำของบ่อลึกก็ปีนขึ้นมาบนฐานหินของศาลาอีกรอบ
ต่อยๆ หยุดๆ อยู่แบบนี้จนกระทั่งถึงช่วงครึ่งคืนหลัง เฉินผิงอันที่สภาพเหมือนไก่ตกน้ำก็มานั่งอยู่บนราวระเบียง ทำได้เพียงยกกาเหล้าขึ้นมาด้วยมือสั่นๆ แหงนหน้ากรอกเหล้าหมักฮวาเตียวเข้าปากหนึ่งคำก็รู้สึกว่าลำคอแสบร้อน กระเพาะเดือดพล่าน จำต้องเก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ไม่กล้าดื่มอีกต่อให้จะเป็นแค่จิบเล็กๆ ก็ตาม
หมู่บ้านวารีกระบี่ที่อยู่ห่างไปไกลแขวนโคมไฟสูงส่องแสงสว่าง อีกนานกว่างานเลี้ยงจะยุติ หญิงสาวลูกศิษย์ของหมู่บ้านที่พกกระบี่ซึ่งควบหน้าที่เป็นผู้คุมกันช่วยรำกระบี่ให้แขกเหรื่อได้ชม เรียกเสียงไชโยโห่ร้องให้กำลังใจไม่หยุด
เฉินผิงอันเอียงศีรษะ จ้องนิ่งไปยังน้ำตกที่เป็นราวกับยอดฝีมือซึ่งไร้ศัตรูใดในโลกจะทัดทาน
การออกหมัดครั้งสุดท้าย เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า พลิ้วตัวดีดเท้าเหยียบไปบนผิวน้ำเป็นเส้นทางคดเคี้ยว ตอนที่ขยับเข้าไปใกล้น้ำตกก็ปล่อยทั้งหมัดทั้งแขนทะลุม่านน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า…
พละกำลังของคนย่อมมีวันที่ใช้หมดลง เฉินผิงอันรู้ว่าการฝึกหมัดในคืนนี้สามารถยุติได้แล้ว เพราะตนเหนื่อยล้าเต็มที หากยังต่อยน้ำตกต่อไป ไม่แน่ว่าครั้งไหนอาจถูกพัดจมลงไปก้นบ่อ หมดสติแล้วตายไปเลย สุดท้ายพอโผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็คือกลายเป็นศพขึ้นอืดไปแล้ว
เฉินผิงอันเดินออกจากศาลาด้วยร่างที่เปียกโชก เดินผ่านศาลาภูเขาแม่น้ำกลับไปที่เรือนพักของตัวเอง
นอนหลับไปไม่ถึงสามชั่วยาม เช้าตรู่วันถัดมา เฉินผิงอันกินอาหารเช้าแบบลวกๆ แล้วก็เดินนิ่งหกก้าวไปยังศาลาริมน้ำตก
จนกระทั่งเที่ยงวันถึงย้อนกลับมาทางเดิมอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้เฉินผิงอันจำต้องให้จางซานเฟิงไปบอกกับทางหมู่บ้านว่า เขาต้องการถังน้ำใบใหญ่ใบหนึ่ง รอจนพ่อบ้านฉู่ส่งสาวใช้ที่เขาไว้ใจให้ยกถังน้ำซึ่งบรรจุน้ำร้อนไว้เต็มถังมาให้ เฉินผิงอันจึงปิดประตูห้อง แช่ตัวอยู่ในถังน้ำ
ตัวยาที่เว่ยป้อซื้อมาจากร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยวมีพอให้ใช้ได้แค่สามครั้งเท่านั้น ใช้ที่เมืองแยนจือไปแล้วหนึ่งครั้ง หลังจากใช้ครั้งนี้ไปแล้วก็เหลือโอกาสแค่ครั้งสุดท้ายเท่านั้น
วันนี้หมู่บ้านวารีกระบี่ยังคงต้อนรับคนในยุทธภพจากสถานที่ต่างๆ ที่พากันมาเยือนไม่ขาดสาย พรุ่งนี้ถึงจะเป็นวันฤกษ์ดีที่เหมาะแก่การคัดเลือกผู้นำในยุทธภพ
พวกวีรบุรุษและจอมยุทธ์ผู้กล้าง่วนอยู่กับการแวะเวียนไปมาหาสู่กัน หากไม่ประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการต่อสู้ ก็ขอคำแนะนำปัญหายากๆ จากผู้อาวุโส บ้างก็เอาหน้าเอาตาไปให้ปรมาจารย์ใหญ่ได้คุ้นหน้า จับคู่กันเป็นกลุ่ม ไปๆ มาๆ ครึกครื้นมากเป็นพิเศษ
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันกินอาหารเย็นร่วมกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงเสร็จก็ไปที่น้ำตกเพียงลำพังอีกครั้ง
คราวนี้นอกจากเฉินผิงอันจะใช้ท่าหมัดที่ผู้อาวุโสแซ่ชุยถ่ายทอดให้แล้ว เนื่องด้วยตำแหน่งหนึ่งในบ่อน้ำที่ห่างจากผิวน้ำประมาณสองฉื่อ ไม่ใช่พื้นที่ตรงกลางที่ตรงกับสายน้ำตก มีหินสูงงอกขึ้นมาก้อนหนึ่ง ใหญ่ประมาณกระดานหมากล้อม ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อถูกสายน้ำจู่โจมนานนับร้อยนับพันปี แต่กลับไม่ถูกกัดเซาะ เฉินผิงอันจึงบังเกิดความคิดดีๆ เขาไปยืนอยู่บนหินก้อนนั้น ใช้ท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ปล่อยให้น้ำตกกระแทกศีรษะของตัวเอง เฉินผิงอันที่ถูกสายน้ำซัดกระหน่ำใส่จำต้องเปลี่ยนจากท่ายืนมาเป็นท่านั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายนั่งไม่มั่นคงจึงพลัดตกลงไปน้ำ
พอหลายครั้งเข้า เฉินผิงอันก็สามารถใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูยืนหยัดอยู่ได้ประมาณเกือบครึ่งก้านธูป จากนั้นก็สามารถยืดอกนั่งตัวตรงได้อีกครึ่งก้านธูป สุดท้ายก้มหัวลง ยื่นออกไปให้พ้นสายน้ำตก ใช้แผ่นหลังรองรับแรงโจมตี เมื่อรวมกันแล้วก็พอจะประคับประคองตนได้ประมาณหนึ่งก้านธูป เมื่อเทียบกับการออกหมัดต่อยน้ำตกแล้ว เฉินผิงอันค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าการใช้น้ำขัดเกลาโดยที่ตัวเอง ‘นิ่งดุจขุนเขา’ นี้ มีประโยชน์มากยิ่งกว่า ช่องโพรงลมปราณในร่างกายคล้ายถูกสายลมแรงพัดผ่าน ช่องโพรงแต่ละแห่งคลายตัวออกเล็กน้อย การโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดยิ่งรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
เมื่อค้นพบเรื่องน่ายินดีนี้ เฉินผิงอันก็กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ ผลกลับกลายเป็นว่าในท้องรู้สึกเหมือนถูกไฟร้อนแผดเผา เฉินผิงอันกระโดดเหยงๆ อยู่ในศาลา แสยะปากแยกเขี้ยว
จากนั้นก็ไปยืนนิ่งอยู่ใต้น้ำตกอีกหลายรอบ ครึ่งคืนหลังแสงจันทร์ยังคงเดิม เสียงร้องรำทำเพลงที่หมู่บ้านวารีกระบี่ยิ่งดังครึกครื้น เด็กหนุ่มเดินกลับเรือนที่พักของตัวเองด้วยความฮึกเหิม ในห้องมีถังน้ำ รวมไปถึงสาวใช้พกกระบี่สองคนของหมู่บ้านที่สามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา เฉินผิงอันใช้ตัวยาของร้านผ้าห่อบุญส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่
ครั้งนี้เฉินผิงอันเกียจคร้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขานอนหลับยาวไปจนตะวันลอยสูงสายโด่ง
กินข้าวอิ่มหนึ่งมื้อก็เดินออกจากเรือนไปด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า ผงกศีรษะยิ้มให้สาวใช้พกกระบี่ทั้งสองคน เริ่มท่าเดินนิ่งอย่างเชื่องช้า เดินผ่านศาลาภูเขาแม่น้ำไปถึงศาลาริมน้ำที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับน้ำตกมาหลายร้อยปี ได้ยินมาว่าหมู่บ้านวารีกระบี่เพิ่งสร้างขึ้นได้แค่หกสิบเจ็ดสิบปี แต่ศาลาไร้นามแห่งนี้กลับมีมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่นานวันเข้า ผู้คนจึงเคยชินที่จะวาดเขตให้ศาลาเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านวารีกระบี่
ขณะที่เฉินผิงอันเดินนิ่งจากไปไกล
เด็กสาวองค์รักษ์พกกระบี่สองคนที่ว่างงานก็ขยับเข้ามากระซิบกระซาบกัน
เด็กสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้ารูปไข่ห่านบอกว่าเด็กหนุ่มจากต่างถิ่นคนนั้นเป็นคนประหลาดจริงๆ อีกคนหนึ่งก็พูดยิ้มๆ ว่าหากไม่ใช่คนประหลาด จะเข้าตาอดีตผู้นำหมู่บ้านได้อย่างไร?
เด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านจึงเอ่ยหยอกเย้าสหายว่า ถึงแม้คุณชายคนนี้จะหน้าตาสู้นายน้อยท่านผู้นำไม่ได้ แต่ก็สะอาดสะอ้านชวนมอง เจ้าชอบหรือไม่?
เด็กสาวพกกระบี่อีกคนหนึ่งตอบว่าเคยเห็นความหล่อเหลาโดดเด่นของนายน้อยเจ้าหมู่บ้านมาก่อนแล้ว บุรุษคนอื่นก็ไม่เข้าตาอีก
เด็กสาวสองคนฉวยโอกาสที่รอบกายไม่มีใครหัวเราะคิกคักสนุกสนาน สำหรับพวกนางแล้ว สามารถฝึกวิชากระบี่อยู่ในหมู่บ้านวารีกระบี่ได้ถือเป็นเรื่องโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว วันหน้าภายใต้การจัดการของฮูหยินผู้มีจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ท่านนั้น บางทีพวกนางอาจจะได้แต่งให้กับบุรุษรูปงามมากฝีมือในยุทธภพที่มีอนาคตยาวไกล แต่หมู่บ้านวารีกระบี่จะเป็นบ้านเดิมของพวกนางตลอดไป ไม่ต้องคอยกังวลกับมรสุมคลื่นลมในยุทธภพไปตลอดกาล
วันนี้ตอนที่เฉินผิงอันใกล้จะเดินไปถึงศาลาพบว่าผู้อาวุโสซ่งมานั่งรออยู่ที่ม้านั่งยาวอยู่ก่อนแล้ว
เขาเดินเร็วๆ ขึ้นบันไดไป นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย ซ่งอวี่เซาที่นั่งหันข้างจ้องมองไปทางน้ำตกตลอดเวลาดึงสายตากลับมามองประเมินเฉินผิงอัน พยักหน้าเอ่ยชื่นชม “เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ช่างน่าทึ่งจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง
ซ่งอวี่เซาเอ่ยถาม “เหล้าที่หมู่บ้านของข้าผู้อาวุโสหมักด้วยตัวเอง รสชาติดีกว่าใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันเกาหัว “ดีกว่าเยอะเลย เพียงแต่ว่าวันหน้าเวลาหาซื้อเหล้า ข้าคงปวดหัวเป็นแน่”
ซ่งอวี่เซาหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ทำไม เจ้าขาดเงินหรือไง?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบไปตามตรงว่า “ตอนนี้ไม่ขาดเงิน แต่เรื่องอย่างการดื่มเหล้านี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกหมัด ข้าก็เลยรู้สึกว่าเงินที่ต้องจ่ายไปกับเรื่องนี้คือเงินที่ฟุ่มเฟือย เพียงแต่ว่าดื่มไปดื่มมาก็ดันชินซะแล้ว หากน้ำเต้าข้างกายไม่มีเหล้าอยู่ คงรู้สึกว่างเปล่าพิกล”
ซ่งอวี่เซาเอ่ยสัพยอก “เจ้าไม่ใช่พวกสตรีที่ต้องแต่งให้คนอื่นสักหน่อย ชายชาตรีมีเงินก็ดื่มเหล้า ดื่มเหล้าที่ดีที่สุด นี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ยังจะต้องพิถีพิถันหลักการครองเรือนอะไรอีก?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างแรง “เรื่องการใช้เงินยังไงก็ควรต้องประหยัดสักหน่อย ตอนนี้ดื่มเหล้าจนติดเป็นนิสัยแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ แต่ถ้าหากยังติดนิสัยใช้เงินมือเติบอีก ข้าคงเสียใจตายเลย”
ซ่งอวี่เซายื่นนิ้วชี้หน้าเด็กหนุ่ม “ไม่มีทางเป็นเศรษฐีที่เสพความสุขสบายไปได้ตลอดชีวิต”
เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส “ขอแค่มีข้าวให้กินทุกมื้อ มีสุราให้ดื่มทุกวันก็ดีมากแล้ว”
ซ่งอวี่เซาถูกอารมณ์ของเด็กหนุ่มแพร่มาสู่ตัว จึงคลี่ยิ้มตามไปด้วย “ถ้าอย่างนั้นใครทำอาหารให้เจ้า ใครซื้อเหล้าให้เจ้า?”
เฉินผิงอันหลุดปากตอบโดยเร็ว “ต่อให้มีเมียแล้ว ข้าก็ยังทำอาหาร ข้าเป็นคนซื้อเหล้า!”
ซ่งอวี่เซาร้องเพ้ยหนึ่งที หันมาถลึงตาใส่ “เจ้าทึ่ม! เจ้าโง่หรือเปล่าเนี่ย แต่งภรรยามาแล้วจะยกนางขึ้นหิ้งบูชาเป็นพระโพธิสัตว์หรือไง? ไม่รู้หรือว่าพวกผู้หญิงไม่ว่าจะสาวหรือแก่ หากสามวันไม่ตี พวกนางจะขึ้นไปรื้อกระเบื้องบนหลังคาน่ะ?”
เฉินผิงอันมีท่าทางหวั่นเกรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปลดน้ำเต้ามาจิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำ
แม่นางที่เขาชอบเคยพูดว่ามือข้างเดียวของนางก็ตีเฉินผิงอันได้ร้อยคนเชียวนะ
หากเขากล้ามีความคิดนี้ ไม่ใช่ว่าจะต้องถูกนางตีจนตายเลยหรือ?
อีกอย่างตอนนี้แม้แต่จะบอกชอบอีกฝ่าย เขาก็ยังไม่เคยได้พูดออกจากปาก สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าภรรยาของเขาในอนาคตจะแซ่อะไร
แน่นอนว่าหากแซ่หนิงย่อมดีที่สุดของที่สุด
เฉินผิงอันหัวเราะเฮอๆ อย่างโง่งม
ซ่งอวี่เซามองเด็กหนุ่มที่ใจลอยไปไกลหมื่นลี้ กล่าวอย่างจนใจว่า “ที่แท้ก็เป็นคนโง่จริงๆ ด้วย”
ซ่งอวี่เซาคร้านจะกรอกความคิดที่ว่าชายชาตรีในยุทธภพต้องกำราบภรรยาให้อยู่หมัดใส่หัวเด็กหนุ่มอีก เขาเก็บสีหน้าความคิดทั้งหมด พูดอย่างจริงจังว่า “จากสามฝ่าไปสี่ นอกจากจำเป็นต้องกำจัดสิ่งสกปรกที่เจือปนอยู่ในร่างายของผู้ฝึกยุทธ์ออกไปทีละนิดแล้ว ยังต้องเริ่มพิถีพิถันด้านสภาพจิตใจด้วย วิชาหมัดต้องราบรื่นไร้อุปสรรค บรรลุสองคำที่เป็นแก่นสำคัญอย่างคำว่าทะลุปรุโปร่ง ยืนหยัดในจิตใจที่พร้อมจะบุกฝ่าทุกสิ่งกีดขวางให้พังราบเป็นหน้ากลอง ก่อให้เกิดพลังอำนาจดุจหนึ่งทหารเฝ้าด่าน หมื่นทหารมิกล้าย่างกรายผ่าน! ส่วนมือกระบี่นั้นต้องมีจิตใจใสกระจ่าง ลืมสิ้นทั้งวัตถุและตัวตน มีเพียงกระบี่ที่ไร้ความละอายต่อฟ้าดิน ฟาดฟันปีศาจกำราบเทพมาร! เฉินผิงอัน เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเองได้ยืนหยัดในเจตจำนงนี้แล้วจริงๆ?”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด สีหน้าของซ่งอวี่เซาเฉียบขาดดุดัน น้ำเสียงดังมาก เขาหันมามองเฉินผิงอันด้วยสีหน้าที่แทบจะถมึงทึง
ทั้งร่างกายและจิตใจของเฉินผิงอันหนักแน่นไม่สะทกสะท้าน เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเป็นปกติ “เรื่องใดก็ตามที่ข้าแน่ใจแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ซ่งอวี่เซาลุกขึ้นยืน พลังอำนาจทั่วร่างเอ่อท่วมท้น ประหนึ่งปราณกระบี่ที่ใหญ่โตดุจม่านน้ำตกพุ่งลงกดทับเด็กหนุ่ม “พูดจาใหญ่โตนัก แถมยังพูดได้ง่ายถึงเพียงนี้! ข้าว่าเจ้าเฉินผิงอันไม่เคยทะลุปรุโปร่งอย่างแท้จริงเลยต่างหาก!”
เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นตาม สายตาเป็นประกายสดใส “ผู้อาวุโสซ่ง อันที่จริงข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าสภาพจิตใจไร้อุปสรรค ทะลุปรุโปร่งที่ท่านพูดสักเท่าไหร่ แต่ข้าแค่รู้สึกว่า…”
เฉินผิงอันกล่าวมาถึงตรงนี้ก็หันหน้าไปอีกทาง ชี้นิ้วไปยังน้ำตกที่เหมือนปราณกระบี่ซึ่งห้อยตกลงมาจากชายแขนเสื้อของเซียนสายนั้น “ข้าจะต้องต่อยหนึ่งหมัดทะลุน้ำตกทั้งสาย ต่อยให้เกิดรอยหมัดประทับลงบนผนังหิน ข้าถึงขั้นรู้สึกด้วยว่าสักวันหนึ่งข้าจะต้องต่อยให้น้ำตกไหลย้อนกลับ ต่อยให้สะเก็ดน้ำระเบิดกระจาย จนไม่อาจกดทับลงมาที่ศีรษะของข้าได้อีกแม้แต่นิดเดียว!”
ซ่งอวี่เซาพลันตวาดกร้าวเสียงเฉียบขาด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากไม่ออกหมัดตอนนี้ เจ้าจะรอไปถึงเมื่อไหร่?!”
เฉินผิงอันเบี่ยงตัวหันข้างเผชิญหน้ากับน้ำตกนอกศาลาแทบจะทันทีตามสัญชาตญาณ เขาถอยไปด้านหลังหลายก้าว ไปยืนอยู่ตรงบันไดขั้นบนสุด ตั้งท่าหมัดโบราณซึ่งไม่เคยมีชื่อของผู้เฒ่าแซ่ชุยเป็นท่าตั้งต้น ทำทุกอย่างในรวดเดียวอย่างว่องไวคุ้นชิน
ต่อให้ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยจะอยู่ในศาลาด้วย แต่ในสายตาของเฉินผิงอันกลับไม่มีซ่งอวี่เซาอยู่นานแล้ว แม้แต่ศาลาทั้งหลังก็ยังไม่เหลืออยู่อีกต่อไป ระหว่างฟ้าดินมีเพียงเป้าหมายที่หมัดจะพุ่งไปถึง นั่นคือน้ำตกที่หล่นจากม่านฟ้ามาสู่โลกมนุษย์สายนั้น!
การเดินทางลงใต้ครั้งนี้ ทุกครั้งที่ฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว เฉินผิงอันล้วนเน้นในด้านความช้า ช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
แต่คราวนี้เฉินผิงอันเน้นเร็ว เร็วที่สุด!
ฝีเท้าของเขาขยับเร็วจี๋ เป็นเหตุให้ก้าวสุดท้ายของท่าเดินนิ่งหกก้าวพุ่งชนราวระเบียงศาลาแตกกระจายโดยตรง เท้าเหยียบลงบนฐานหินของศาลา ตั้งแต่บันไดไปจนถึงริมขอบฐานหินนอกราวศาลาเกิดเป็นรอยเท้าหกรอยที่เด็กหนุ่มย่ำออกไป จากนั้นเขาก็ทะยานตัวไปข้างหน้าพร้อมพายุหมัดข้นคลั่ก ประหนึ่งในชายแขนเสื้อมีมังกรเขียวรัดพัน
หนึ่งหมัดแหวกผ่าสายน้ำ ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันพุ่งเข้าไปในม่านน้ำตก หมัดกระแทกลงบนผนังหิน
ผนังหินระเบิดเปรี้ยง เศษก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนดีดกลับซัดกระแทกม่านน้ำ สะเก็ดน้ำแตกกระจายซ่านเซ็น
นี่ยังไม่หมด เฉินผิงอันเปลี่ยนหมัดซ้ายขวาต่อยรัวลงไปบนผนังหินครั้งแล้วครั้งเล่า
นี่ต่างหากถึงจะเป็นภาพบรรยากาศที่ควรมียามปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่แท้จริง
เศษหินนับไม่ถ้วนปลิวว่อน กระแสน้ำตกไหลปั่นป่วนวุ่นวาย
เนื่องด้วยไอน้ำกระจายเป็นวงกว้าง สุดท้ายความว่างเปล่าเหนือศาลาไปจนถึงจุดสูงของน้ำตกจึงถึงกับมีสายรุ้งพร่างพราวเส้นหนึ่งพาดโค้งขึ้นมา
พายุลมกรดรุนแรงพัดมากระแทกหน้าซ่งอวี่เซาที่ยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่กลางศาลา พัดพาให้จอนสองข้างของเขาปลิวไสว ชายแขนเสื้อทั้งสองก็ยิ่งสะบัดดังฟึ่บฟั่บ ผู้เฒ่าแหงนหน้ามองสายรุ้งที่เกิดขึ้นเพราะพละกำลังของคนแล้วหัวเราะเสียงดังอย่างสาสมใจ “ประเสริฐ!”
—–