ตอนที่ 244.4 อยู่เบื้องหน้ากองทัพที่เกรียงไกร ข้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ

หยางเหล่าโถวแห่งร้านตระกูลหยางเฝ้าอยู่ในเรือนเล็กด้านหลังมาปีแล้วปีเล่า นานจนนับวันเวลาได้ไม่ถ้วน ลูกหลานสกุลหยางแต่ละรุ่น นอกจากประมุขที่รับผิดชอบดูแลตระกูล รวมไปถึงคนในตระกูลบางคนที่ได้กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณซึ่งไม่เปิดเผยตัว คนที่รู้ความลับอันน่าตื่นตะลึง รวมไปถึงคนที่ช่วยผู้เฒ่าปกปิดความลับอย่างระมัดระวังแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ตระกูลหยางที่เกิดแก่เจ็บตาย หรือลูกจ้างร้านยาที่เดินเข้าๆ ออกๆ ในแต่ละรุ่นล้วนรู้แค่ว่าร้านตระกูลหยางมีผู้อาวุโสที่ ‘อายุเท่ากับผู้อาวุโสในตระกูลตัวเอง’ อยู่คนหนึ่งเท่านั้น

รู้แค่ว่าผู้เฒ่าไม่เคยออกจากบ้าน นิสัยประหลาด เข้ากับคนได้ยาก แต่ฝีมือในการรักษาช่วยชีวิตคนกลับดีเยี่ยม แน่นอนว่าราคาก็ไม่ธรรมดา ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ขอแค่ไม่มีเงินจ่าย ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมโลงศพรอไว้เลย ถึงอย่างไรร้านขายโลงศพก็ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันอยู่แล้ว

วันนี้หยางเหล่าโถวยังคงนั่งสูบยาอยู่ในเรือนด้านหลัง เพียงแต่ว่าในมือมีหนังสือเล่มเล็กที่เพิ่งพิมพ์ใหม่ของต้าหลีอยู่หนึ่งเล่ม หนังสือเล่มนี้มาจากสำนักผู้ประพันธ์ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในเก้าสาขาสิบสำนักวิทยาของใต้หล้าไพศาล

เพียงแต่ว่าเมื่อวันเวลาผันผ่านก็เป็นเหมือนสำนักโม่หนึ่งในสี่สำนักแห่งความรู้ที่ไม่โดดเด่นอีกต่อไป และสำนักผู้ประพันธ์ก็กลายมาเป็นหนึ่งในเมธีร้อยสำนักที่ธรรมดามากที่สุด ส่วนใหญ่จะเขียนตำราประวัติศาสตร์เกร็ดพงศาวดารที่ไม่เข้าพวก รวมไปถึงนิยายรักประโลมโลกที่พวกชาวบ้านร้านตลาดชื่นชอบ ดึงเอาความรู้ในวงกว้างมาสร้างเป็นมุขตลก แน่นอนว่ายังมีการชี้นำให้เห็นถึงปัญหาของสังคมในแต่ละยุคสมัยและเสนอแนะให้มีการแก้ไขปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วชื่อเสียงของฮ่องเต้ อัครเสนาบดีหลายคนในประวัติศาสตร์ล้วนมาจากคำวิจารณ์ของสำนักผู้ประพันธ์ที่ใส่ร้ายเสียจนไม่เหลือดี

ยกตัวอย่างเช่นขุนนางผู้มีความสามารถคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตมีปณิธานอยู่ที่การปฏิวัติราชสำนัก ถึงท้ายที่สุด เรื่องของเขาที่คนรุ่นหลังรับรู้กลับไม่ใช่นโยบายอันดีในการปกครองประเทศ แต่เป็นเรื่องที่หนึ่งคืนเขาใช้สตรีสิบคน คืนใดไร้สตรีไม่มีความสุข

หรือยกตัวอย่างเช่นปราชญ์วิญญูชนแห่งลัทธิขงจื๊อที่ยึดหลักสามอมตะได้แก่สร้างคุณความดี สร้างคุณธรรม รังสรรค์ถ้อยคำที่กลายมาเป็นคนชอบหลับนอนกับนางชีในตอนกลางคืน สุดท้ายได้เป็นเพียงตาแก่หน้าไม่อายที่ชอบร่วมประเวณีแบบผิดศีลธรรม ดังนั้นสัจธรรมแห่งพิธีการยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในบทความคำสอนของคนผู้นี้จึงกลายเป็นเพียงเรื่องตลกไร้แก่นสาร

ดังนั้นอริยะของสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อจึงจำเป็นต้องออกมาประนามอย่างเดือดแค้น “สำนักผู้ประพันธ์ปลายแถว เป็นอันดับหนึ่งด้านการชักนำแคว้นและชาวประชาไปในทางที่ผิด!”

เพียงแต่ว่าหลี่เซิ่งผู้กำหนดและควบคุมกฎเกณฑ์ของใต้หล้าแห่งนี้กลับสามารถใจกว้างกับเรื่องนี้ไม่ต่างจากท่าทีที่มีต่อเผ่าปีศาจ

ดังนั้นสำหรับหยางเหล่าโถวที่เปิดหนังสืออ่านในเวลานี้ จึงไม่เห็นดีเห็นงามกับใครในศึกตรีจตุของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางทั้งนั้น อย่างมากสุดก็แค่เต็มใจยกนิ้วโป้ง พูดคำว่าดีต่อจตุที่หมายถึงวัตถุประสงค์ของความรู้ ‘สี่’ ประการเท่านั้น ส่วนคำว่า ‘ตรี’ ของอริยะลัทธิขงจื๊อที่ถึงแม้จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหย่าเซิ่ง (อริยะลำดับรอง) แต่ตำแหน่งในศาลบุ๋นกลับอยู่เป็นอันดับที่สาม หยางเหล่าโถวรับไม่ได้อย่างยิ่ง เขาคิดว่าคำว่า ‘วางมาดภูมิฐาน’ ที่เปลี่ยนจากคำชมเป็นคำเหน็บแนมนั้นเหมาะสมกับคนผู้นี้ที่สุด

หนังสือนิยายที่มีกลิ่นหมึกหอมอ่อนๆ ในมือหยางเหล่าโถวเล่มนี้ ลูกจ้างในร้านไปซื้อมาจากร้านหนังสือใหญ่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ในหนังสือเล่มนี้เขียนบรรยายประวัติของจอมยุทธ์มากมายในยุทธภพที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง เวลาที่พวกเขาเผชิญกับสภาวะจนตรอกยากลำบากมักจะต้องเอ่ยประโยคที่สร้างความฮึกเหิม ทำให้เลือดร้อนเดือดพล่านอยู่เสมอ ส่วนใหญ่ก็มีแต่คำพูดทำนองว่าสวรรค์ไม่มีตา ทุกครั้งที่หยางเหล่าโถวเห็นประโยคพวกนี้ก็คล้ายจะอารมณ์ดีไม่น้อย เพียงแต่ว่าสุดท้ายเมื่อปิดหน้าหนังสือลง เขากลับหัวเราะรื่นเริงพลางกล่าวว่า “คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าน่ะ ปล่อยสวรรค์ไปเถอะ”

หลังหยุดหัวเราะ ผู้เฒ่าก็เก็บตำรา พ่นควันขาวคลุ้งโขมง จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ วัตถุลักษณะคล้ายศาลเจ้าขนาดเล็กหล่นลงมาบนพื้น ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ใช้กระบอกยาสูบเคาะลงบนพื้นข้างเท้า เอ่ยเรียกเบาๆ “ซ่งชิ่ง เจ้าออกมานี่”

ตรงหน้าประตูศาลขนาดเล็กที่อยู่บนพื้นมีควันสีเขียวกลิ้งหลุนๆ และไม่นานก็ก่อตัวกันเป็นลักษณะของผู้เฒ่าใบหน้าเหี่ยวย่น พอเห็นหยางเหล่าโถวก็ประสานมือคารวะ กล่าวเสียงทุ้ม “คารวะเสินจวิน” (คำเรียกขานเทพเซียนฝ่ายชาย)

หยางเหล่าโถวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงเอ่ยสั่งความว่า “อนุญาตให้เจ้าออกไปจากเขตพื้นที่นี้ แต่ให้อยู่ในอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป ขอบเขตของเจ้ายังคงเดิมเหมือนในอดีต การเดินทางของเจ้าครั้งนี้คือทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์มรรคาของเฉาจวิ้นบุตรหลานสกุลเฉาตรอกหนีผิง ขอแค่บ่อกระบี่ในทะเลสาบหัวใจของเฉาจวิ้นถูกซ่อมแซมจนกลับคืนมามีสภาพเดิม ลูกหลานสกุลซ่งสายของเจ้าก็จะได้ลุกผงาด ได้เสพสุขกับความรุ่งโรจน์ในโลกมนุษย์อย่างน้อยหนึ่งร้อยปี หลังจากนี้สภาพการณ์ของลูกหลานตระกูลเจ้าจะเป็นดั่งคำว่าโชคเคราะห์เกิดขึ้นเองไม่ได้ นอกจากคนจะสร้างมันขึ้นมา”

ผู้เฒ่าคนนั้นอยู่ในสภาพของวิญญาณหยินเท่านั้น แต่กลับยังมีควันเขียวก่อตัวเป็นกระบี่เล่มยาวห้อยไว้ตรงเอว ปราณกระบี่ไม่มีแล้ว แต่ปณิธานแห่งกระบี่กลับเปี่ยมล้น เห็นได้ชัดว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้เฒ่าต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งอย่างแน่นอน พอได้ยินคำสัญญาจากหยางเหล่าโถว สีหน้าของผู้เฒ่าก็เผยความยินดี ประสานมือคำนับอีกครั้ง “ขอบพระคุณเสินจวิน!”

จากนั้นหยางเหล่าโถวก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ยันต์สีทองหลายแผ่นพลันแปะไปทั่วร่างของผู้เฒ่าควันเขียว คือยันต์คุ้มกันกายที่รับประกันว่าผู้เฒ่าวัตถุหยินจะเดินทางอยู่ท่ามกลางฟ้าดินได้อย่างปลอดภัย จิตใจของฝ่ายหลังสงบลงได้มาก พลังอำนาจพลันเพิ่มพูน ปณิธานกระบี่ท่วมท้น หากไม่เป็นเพราะหยางเหล่าโถวพ่นควันกลุ่มใหญ่มาบดบังเอาไว้ เกรงว่าพลังของเขาที่ทะยานขึ้นมาคงจะสร้างความแตกตื่นให้กับผู้ฝึกลมปราณทุกคนในเขตการปกครองหลงเฉวียนไปแล้ว

หยางเหล่าโถวกล่าว “ไปเถอะ ตอนนี้เฉาจวิ้นเดินทางไปที่เมืองหลวงต้าหลีแล้ว เจ้าสามารถบอกเรื่องนี้กับเขาได้โดยตรง ซ่งชิ่ง หากเจ้ากล้าละเมิดกฎ อย่าว่าแต่เจ้าซ่งชิ่งที่จะวิญญาณแหลกสลายในทันที ข้ายังรับรองด้วยว่าจะตัดรากถอนโคนสกุลซ่งสายของเจ้าให้สิ้นซาก จะทำให้ควันธูปของเจ้าขาดหาย ในอนาคตอีกพันปีหมื่นปีจะไม่เหลือร่องรอยของสกุลซ่งสายเจ้าอีกแม้แต่นิดเดียว”

ผู้เฒ่ากุมหมัดกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าไม่กล้าล่วงเกินเสินจวินแน่นอน!”

หยางเหล่าโถวแค่นเสียงหยัน “พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าจะดูที่การกระทำของเจ้าเอง”

ผู้เฒ่ารับคำสั่งแล้วหายวับไป

หลังจากวัตถุหยินในศาลหลังน้อยจากไป หยางเหล่าโถวก็เงยหน้าขึ้นมองม่านฟ้าหนาหนักของใต้หล้าไพศาล เงียบงันไปนาน สุดท้ายถึงพูดว่า “เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพอยู่ คนกระทำ ฟ้ากำลังมอง หากเป็นเช่นนี้จริง แล้วจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?”

……

ชั้นสองของภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองเล็กนอกหมู่บ้านวารีกระบี่ ตรงตำแหน่งที่นั่งติดกับหน้าต่าง หนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่มนั่งกินหม้อไฟอยู่ฝั่งตรงกันข้าม บนโต๊ะวางจานอาหารไว้จนเต็มแน่น มีทั้งหน่อไม้ กระเพาะหมู เนื้อแกะ ไส้ห่าน เลือดเป็ด…

แน่นอนว่ายังมีสุรารสดีอีกสองกา รวมไปถึงเครื่องปรุงรสเผ็ดจัดจ้านสีแดงเข้มข้นที่ปรุงด้วยตัวเอง สามารถทำให้คนที่ไม่กินเผ็ดหนังศีรษะชาหนึบได้ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้กินเผ็ดขนาดนี้ แต่ทนคำโน้มน้าวจากผู้อาวุโสซ่งที่นั่งอยู่ใกล้กันไม่ไหว เขาบอกว่ามาที่ภัตตาคารแห่งนี้หากไม่ตักน้ำจิ้มรสเผ็ดเจ็ดแปดชนิดหลากสีปรุงกินเอง ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เฉินผิงอันถึงได้แข็งใจตักน้ำจิ้มทุกชนิดใส่ลงไปในถ้วยอย่างละหนึ่งช้อน

เนื่องจากซ่งอวี่เซาไม่เคยเผยตัวตนที่แท้จริงในหมู่บ้านและในเมืองเล็ก ดังนั้นเถ้าแก่ร้านอาหารที่ร่างอ้วนฉุจึงไม่รู้ว่าเขาคืออริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ย ถึงขั้นไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นอดีตท่านผู้นำของหมู่บ้านวารีกระบี่ รู้เพียงว่าเป็นพี่ชายแซ่ซ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจการกินเป็นอย่างดี ไม่ผิดต่อหม้อไฟและเหล้าเลิศรสของเขา ดังนั้นพอเห็นว่าผู้เฒ่าพาเพื่อนมาเยือนจึงดีใจมาก พาพวกเขาขึ้นไปบนชั้นสองด้วยตัวเอง เลือกตำแหน่งที่นั่งดีๆ แบบนี้ให้ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ต้องให้ลูกจ้างร้านยกอาหารมาวาง ล้วนเป็นเถ้าแก่ที่ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันกินจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็อดใจกับอาหารอร่อยตรงหน้าไม่ได้ อีกอย่างครั้งนี้ตนเป็นคนจ่ายเงิน หากไม่กินให้มากๆ หน่อย ในใจเฉินผิงอันคงไม่ใคร่จะเป็นสุข

ซ่งอวี่เซามองเด็กหนุ่มที่กินอย่างเต็มคราบ กินจนทนความเผ็ดไม่ไหวแล้วยังหันไปดื่มเหล้าอย่างโง่งม เผ็ดบวกเผ็ดจึงเผ็ดสุดๆ  แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมวางตะเกียบ สายตาจ้องเป๋งไปยังอาหารในหม้อที่ใกล้จะสุก ทำเอาซ่งอวี่เซาอารมณ์ดีตามไปด้วย เมื่อเทียบกับในอดีตที่ตนต้องกินดื่มอย่างเดียวดายแล้ว ผู้เฒ่าจึงจ้วงตะเกียบเร็วกว่าเวลาปกติไปมาก

ซ่งอวี่เซายกเหล้าขึ้นมาหนึ่งจอก ไม่เรียกตัวเองว่า ‘ข้าผู้อาวุโส’ อีกต่อไป เขาเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงตามกฎเก่าแก่ ข้าไม่ควรปรากฏตัวในศาลาริมน้ำ เพราะการฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์ก็เหมือนกับการปิดด่านของผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่มีข้อห้ามไม่ให้คนนอกมาเฝ้าดู ดังนั้นข้าจึงปรับดื่มหนึ่งจอก”

ผู้เฒ่ากระดกจอกดื่มเหล้ารวดเดียวหมด

เฉินผิงอันยกจอกเหล้าตามติดๆ รีบกลืนอาหารที่อยู่ในปากลงไป ดื่มเป็นเพื่อนเขาหนึ่งจอก อีกทั้งยังรินใหม่อีกจอกดื่มคารวะผู้เฒ่ากลับคืน “หากไม่เป็นเพราะผู้อาวุโส ตอนนี้แม้แต่ธรณีประตูขอบเขตสี่ ข้าก็คงข้ามผ่านไปไม่ได้ ข้าต่างหากที่ควรจะดื่มคารวะผู้อาวุโสหนึ่งจอก”

ผู้เฒ่าก็ดื่มตามไปด้วย

ซ่งอวี่เซามองไปยังบรรยากาศนอกหน้าต่างที่ผู้คนเดินสัญจรกันไม่ขาดสาย บางครั้งจะหยุดสายตาไว้ชั่วขณะหนึ่ง ครั้งหนึ่งมีคนผู้หนึ่งที่พอประสานสายตากับเขาก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว

ซ่งอวี่เซายิ้มบางๆ แล้วถอนสายตากลับมา “ตอนนั้นที่ข้าไปศาลาริมน้ำก็เพราะมีเรื่องที่จำเป็นต้องพูดกับเจ้าต่อหน้า ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะฝ่าทะลุขอบเขตหรือไม่ก็ต้องไปจากหมู่บ้านเสียตั้งแต่คืนนี้ ห้ามเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งผู้นำในยุทธภพวันพรุ่งนี้เด็ดขาด”

เฉินผิงอันยังคงรินเหล้าไม่หยุด แต่ความเร็วในการคีบอาหารลดลงเล็กน้อย เอ่ยถามเบาๆ ว่า “มีคนคิดจะทำไม่ดีต่อหมู่บ้าน?”

ซ่งอวี่เซาไม่ได้ปิดบัง ตอบตามตรงด้วยรอยยิ้ม “ภูมิหลังของพวกเขายิ่งใหญ่มาก แล้วก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน รู้แค่ว่าไม่เกี่ยวกับเจ้าเฉินผิงอันก็พอ”

ผู้เฒ่ายกจอกเหล้าขึ้นจิบ “ไม่ใช่ว่าดูถูกเจ้ากับสหาย แต่เป็นเพราะเรื่องในบ้านบางเรื่องของหมู่บ้านวารีกระบี่ไม่สะดวกให้สหายในยุทธภพยื่นมือเข้าแทรก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในฐานะเจ้าบ้าน การไล่แขกกลับอย่างนี้ก็ไม่มีคุณธรรมอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก ส่วนเจ้าเฉินผิงอันก็ตามสบาย”

เฉินผิงอันทำตัวตามสบายจริงๆ เขาเพียงแค่ยกจอกเหล้าขึ้นมาจิบคำเล็กๆ เท่านั้น

ผู้เฒ่าเองก็ไม่ถือสา ใช้ตะเกียบคีบไส้ห่านสดใหม่อ่อนนุ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แกว่งใส่ในหม้อไฟครู่เดียวก็เอาไปจิ้มใส่จานน้ำจิ้มรสเผ็ด คนเบาๆ หนึ่งทีแล้วจับพลิกหมุนในน้ำจิ้มรสเด็ดหนึ่งตลบ ก่อนยกตะเกียบยัดใส่ปาก

เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

ซ่งอวี่เซาจึงเอ่ยยิ้มๆ “พวกเราแค่กินอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องคุยเรื่องอื่นกันแล้ว ในโลกนี้มีแค่คนสวย ทิวทัศน์งดงาม และอาหารรสเลิศ สามอย่างนี้เท่านั้นที่ไม่ควรทำผิดด้วย”

เฉินผิงอันจึงก้มหน้าก้มตากิน มีบางครั้งที่ยกเหล้าขึ้นดื่ม

ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา

ต่อให้จะเป็นหม้อไฟที่อร่อยแค่ไหนก็ยังต้องมีคำสุดท้าย

กินดื่มเต็มอิ่ม เฉินผิงอันวางตะเกียบลง เหล้าหนึ่งกาก็ดื่มจนหมด และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งจินครึ่งหมดในรวดเดียว อย่าว่าแต่ใบหน้าเลย แม้แต่ใบหูและลำคอก็แดงก่ำไปหมด กล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ว่า “ดูเหมือนคู่พ่อลูกจากหมู่บ้านเหิงเตาจะไม่ได้มาหาเรื่องข้า”

ซ่งอวี่เซาเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “ภูเขาเขียวน้ำใส อนาคตยังอีกยาวไกล บุญคุณความแค้นในยุทธภพก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ยังดีที่เจ้าไม่ใช่คนของแคว้นซูสุ่ย อีกไม่นานก็จะจากไปแล้ว วันหน้าก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องกลับมาอีก ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเจอปัญหายุ่งยากรุมเร้า”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset