ตอนที่ 245.3 เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่ที่นี่

เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า อริยะกระบี่คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในแคว้นซูสุ่ยมานานถึงหกสิบปี สามารถทลายขบวนรบได้อย่างแกร่งกร้าวก็ยังพอทำเนา แต่นี่เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนในยุทธภพก็ยังรับมือยากไม่ต่างกัน เรือนกายของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ปราดเปรียวว่องไวเกินไป ก้าวเดียวก็ขยับไกลถึงสองสามจั้ง อีกทั้งยังสามารถพลิกกายเปลี่ยนท่าอยู่ในพื้นที่แคบๆ อย่างคล่องแคล่ว ไม่เพียงแต่หลบธนูจากสำนักโม่สี่ห้าดอกที่พุ่งเป้ามาอย่างแม่นยำได้ แม้แต่ลูกธนูที่พุ่งมาดั่งห่าฝน เขาก็ยังฝ่าออกไปได้เช่นกัน

ระหว่างนี้ขอแค่เป็นลูกธนูที่พุ่งมาบนเส้นทางของเขาซึ่งไม่สามารถหลบเลี่ยงได้พ้นจริงๆ เด็กหนุ่มก็จะใช้สองมือปัดลูกธนูที่พุ่งมาด้วยน้ำหนักมหาศาลออกไปโดยตรง เมื่อเด็กหนุ่มปะทะเข้ากับกองทัพม้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ม้าศึกกองหน้าที่อาศัยแรงของฝีเท้าม้าควบม้าตะบึงมา เดิมทีคิดว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ

แต่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่ามาจากฝ่ายไหนในยุทธภพผู้นั้นกลับเหมือนปลาหนีชิวที่ไหลลื่นจับตัวไม่ได้ เขาพาร่างของตัวเองลอดผ่านไประหว่างช่องว่างของม้าศึก มีบางครั้งที่ประมือกัน หากไม่ปล่อยหมัดต่อยใส่ด้านข้างของม้าศึก ต่อยจนทั้งคนทั้งม้าปลิวไปสองสามจั้ง ก็ใช้ไหล่กระแทกใส่เอียงๆ ม้าหงายผลึ่ง คนผงะกลิ้งหลายหลัง จุดจบอเนจอนาถไม่ต่างกัน

สุดท้ายเขาถึงกระโดดขึ้นเบาๆ เหยียบลงบนหลังม้าแล้วดีดตัวไปตามหัวหรือหลังของม้าศึกที่อยู่ด้านหลังไปตลอดทางเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ ทำให้พวกทหารม้ารู้สึกเพียงว่ามีลมเย็นๆ พัดผ่านใบหน้า ดาบก็ฟันออกไป ทวนก็แทงเสือกออกไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่ปลายเสื้อของเด็กหนุ่มผู้นั้น

ย่อมต้องเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ขั้นสูงสุด หรืออาจถึงขั้นห้าอย่างแน่นอน!

ทหารม้าคนหนึ่งเล็งหอกยาวใส่ลำคอของเด็กหนุ่มที่ทะยานตัวอยู่กลางอากาศ แทงเสือกขึ้นมาพลางตวาดเสียงดังก้อง “ไปตายซะเถอะ!”

เฉินผิงอันเอียงคอหลบการจ้วงแทงของหอกยาวมาได้พอดี ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปกำด้ามหอกที่ทหารม้าในสนามรบทุกคนปรารถนาอยากครอบครองแม้แต่ในยามหลับฝันเอาไว้ ทหารม้าผู้นั้นกำด้ามหอกเอาไว้แน่น ทว่าต่อให้จะกำจนเลือดนองฝ่ามือ หอกยาวอันเป็นสมบัติที่รักซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษก็ยังถูกแย่งชิงไป เฉินผิงอันที่อยู่กลางอากาศเปลี่ยนมาใช้สองมือกำหอก แล้วปักมันลงไปบนพื้นแรงๆ หอกยาวที่มีระดับความยืดหยุ่นสูงพลันโค้งงอดุจสายธนูที่ถูกง้าว เสียงปังทึบหนักดังหนึ่งครั้ง ร่างของเฉินผิงอันก็ถูกดีดให้ลอยขึ้นไปกลางอากาศสูงอีกเจ็ดแปดจั้ง

ในมือยังคงถือปลายหอกอีกฝั่งหนึ่งไว้ ไม่ยอมปล่อยมันทิ้งไป

ภายใต้สายตาของกองทหารม้ากลุ่มใหญ่ที่หันหน้ากลับมามอง และภายใต้การจับจ้องของผู้คนมากมายรอบด้าน เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ผู้มีสีหน้าเด็ดเดี่ยวดูคล้ายเทพเซียนที่เหินทะยานอยู่กลางสายลม พอหล่นลงบนพื้นที่ว่างด้านหน้าทหารเดินเท้าซึ่งรออยู่ด้านหลังทหารม้า อาภรณ์ของเด็กหนุ่มปลิวสะบัด สองเท้าสัมผัสพื้นแล้วก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ควงแขนเหวี่ยงหอกยาวเล่มนั้นขึ้นไปกลางอากาศสูงเต็มแรง จากนั้นตบลงบนน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่เอวหนึ่งที กระโดดขึ้นสูง ร่างก็หายวับไป เหมือนกับเซียนที่ใช้วิชาอภินิหารย่อพื้นที่พันลี้ ต่อมาทุกคนก็เห็นว่าเด็กหนุ่มเหยียบลงบนด้ามหอก เท้าหนึ่งอยู่หน้า เท้าหนึ่งอยู่หลังได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ท่าทางเช่นนั้นคล้ายท่วงท่าของเซียนที่ขี่กระบี่ในตำนาน เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองของความอิสระเสรีที่ชาวยุทธ์ในสนามรบยากจะทำความเข้าใจได้

หากไม่เพราะคือศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม เกรงว่าคงมีคนส่งเสียงไชโยโห่ร้องอย่างอดใจไม่ไหวไปแล้ว

จากนั้นภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนเต้นผางสบถด่าเสียงดังก็เกิดขึ้น

เด็กหนุ่มคนนั้นเหยียบบนหอกยาวที่ทะยานไปข้างหน้าเหนือขบวนรบใหญ่ไม่พอ เขายังปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าจากเอว แหงนหน้ากระดกขึ้นดื่มหนึ่งอึกด้วย!

แม้ทุกคนจะกัดฟันกรอดๆ อย่างแค้นเคือง แต่ลึกๆ ในใจหรือจะไม่รู้สึก…ปรารถนาอยากให้ตัวเองเป็นแบบนั้นบ้าง?!

สนามรบเหี้ยมโหดไร้ปราณี กลิ่นอายแห่งความห้าวหาญของยุทธภพแผ่อบอวล

เดิมทีทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ก็เหมือนการทำลายขบวนรบของอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะตอนที่ใช้ปราณกระบี่ฟันผ่าขบวนของทหารเดินเท้า นั่นเป็นภาพที่อำมหิตคลุ้งไปด้วยคาวเลือดขนาดไหน?

แต่ตลอดทางที่เด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนี้พุ่งไปข้างหน้า เขากลับไม่ได้สังหารใครแม้แต่คนเดียว เพียงแค่แหวกขบวนรบไล่ตามผู้เฒ่าชุดดำไปติดๆ โดยไม่พูดไม่จา ฝ่าขบวนรบเหมือนกัน แต่กลับมีมาดสง่างามถึงเพียงนี้

เพราะหอกยาวพุ่งไปข้างหน้าเร็วเกินไป อีกอย่างการกระทำนี้ของเขาก็อยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คน เป็นเหตุให้มือธนูพลเดินเท้ามึนงง แต่เมื่อแม่ทัพผู้นำขบวนทัพตวาดออกคำสั่ง มือธนูในกองทัพที่มีพละกำลังแขนแข็งแกร่งที่สุดก็ง้างธนูมุ่งสังหารเฉินผิงอัน แน่นอนว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกผู้แข็งแกร่งในสนามรบที่มีคุณสมบัติได้ถือธนูเทพของสำนักโม่ พวกเขาง้างธนูสุดสายจนเป็นพระจันทร์เต็มดวงอยู่นานแล้ว สมบัติหนักของสำนักการทหารหลายชิ้นถูกสาดยิงตามไปติดๆ

แล้วภาพเหตุการณ์ประหลาดไม่คาดฝันที่ทำให้คนปากอ้าตาค้างก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เห็นเพียงว่าระหว่างที่เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ผูกน้ำเต้าไว้ที่เอวดังเดิมได้มีแสงพร่างพราวสีขาวหิมะและสีเขียวมรกตสองเส้นพุ่งออกมาอยู่ด้านล่างหอกยาว ไล่โจมตีลูกธนูทั้งหลายให้แตกกระจาย

เด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง ลูกธนูจำนวนน้อยนิดแต่กลับมีพลานุภาพมากไพศาลก็ล้วนตกลงเบื้องล่างอย่างเปล่าประโยชน์

หลังบินทะยานไปได้หลายสิบจั้ง หอกยาวที่สองขายืนเหยียบอยู่เริ่มลดระดับลงต่ำ เฉินผิงอันกระทืบลงบนหอกยาวหนึ่งที ไม่สนใจแล้วว่าหอกยาวด้ามนี้จะตกกระแทกพื้น ร่างของเขาโผบินเป็นเส้นตรงดีดขึ้นสูง หลบพ้นการพุ่งเข้ามาปลิดชีพของมือกระบี่ยอดฝีมือคนหนึ่งในยุทธภพได้พอดิบพอดี ฝ่ายหลังพลิ้วกายลงพื้นด้วยความเสียดาย หันกลับไปมองด้านหลัง สายตาฉายความอำมหิต ใบหน้าเต็มไปด้วยความแค้นเคือง

หากก่อนหน้านี้การที่ตนขวางซ่งอวี่เซาไว้ไม่ได้ ถูกปราณกระบี่มากไพศาลที่แทบจะไม่มีช่องว่างให้โจมตีของอีกฝ่ายผ่าแสกหน้าเข้ามาจนต้องถอยไปชนกับขบวนรบด้านหลัง ยังถือว่าเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่กับเด็กหนุ่มไร้นามคนหนึ่งก็ยังแตะต้องอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ นี่มันเรื่องอะไรกัน!

ฝึกทหารพันวัน ใช้ทหารเพียงชั่วครู่ชั่วยาม วันหน้าตนจะสามารถเสพสุขกับลาภยศอยู่ข้างกายแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวอย่างเปิดเผยได้อย่างไร?

ขยับไปด้านหน้า ห่างจากธงใหญ่ของแม่ทัพหลักแค่ร้อยกว่าก้าว เดิมทีปราณกระบี่ขุ่นมัวที่ปกคลุมซ่งอวี่เซาไว้ภายในได้ถูกทวนและลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนสกัดขวางจนเกิดความเสียหายอย่างหนัก บวกกับที่มีชาวยุทธ์ฝีมือดีสิบกว่าคนร่วมมือกันพุ่งเข้ามาประหัตประหาร ดังนั้นเมื่อปราณกระบี่สีเขียวสายหนึ่งที่มาพร้อมกับเสียงลมและฟ้าร้องพุ่งมาถึง ซ่งอวี่เซาจึงยกกระบี่พาดขวางไว้ตรงหน้า แม้ว่าสุดท้ายแล้วปราณกระบี่ที่เป็นดั่งงูหลามสีเขียวจะสามารถทำลายค่ายกลกระบี่จันทร์เต็มดวงของผู้เฒ่าได้สำเร็จ แต่ก็ถูกกระบี่ยาวตั้งตระหง่านฟันออกเป็นสองท่อน จึงพุ่งผ่านสองข้างกายของผู้เฒ่าไป เป็นเหตุให้พลเดินเท้าสวมเกราะหนักหลายสิบคนที่อยู่ด้านหลังตายคาที่

ซ่งอวี่เซาเก็บท่ากระบี่วางพาดหน้าลง มุมปากมีเลือดสดไหลซึม ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้เฒ่าก็ยังไม่กล้าเปลี่ยนลมปราณง่ายๆ

เพราะคนที่ออกกระบี่เมื่อครู่นี้ก็คือปรมาจารย์วิถีกระบี่ซึ่งอย่างน้อยต้องมีขอบเขตห้าคนหนึ่งซึ่งยืนห่างออกไปหนึ่งร้อยก้าว

คนผู้นั้นยืนอยู่ใต้ธงผืนใหญ่ ข้างกายแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว สวมชุดคลุมยาวสีเขียว มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งชี้ปลายกระบี่เข้าใส่ซ่งอวี่เซา

คนผู้นี้อายุไม่มาก มองดูแล้วประมาณสามสิบปี แต่อายุที่แท้จริงอาจสี่สิบปี กระบี่ยาวในมือไม่ใช่อาวุธเทพที่ตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลนอะไร แต่เป็นไม้ไผ่สีเขียวท่อนหนึ่งที่เรียบลื่นแวววาวน่ามอง ยาวสองฉื่อหกชุ่น ระดับความยาวเท่ากับกระบี่ทั่วไป

เขายืนอยู่บนหลังม้าอย่างเย่อหยิ่ง แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวที่ถูกอีกฝ่ายยืนค้ำศีรษะกลับไม่ถือสา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม

มือกระบี่ที่ใช้ไม้ไผ่เขียวแทนกระบี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฝักกระบี่ไม้ไผ่อันนั้นของซ่งอวี่เซาไม่เลวเลยทีเดียว แม่ทัพฉู่ ยกมันให้ข้าได้ไหม?”

ฉู่หาวกล่าวอย่างใจกว้าง “ทำไมจะไม่ได้เล่า? อย่าได้แต่ฝักไม้ไผ่เลย แม้แต่กระบี่ก็จะมอบให้เจ้าไปพร้อมกันด้วย!”

มือกระบี่ส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ต้องหรอก ตั้งตระหง่านเล่มหนึ่ง หากแม่ทัพฉู่สามารถนำมันไปมอบให้กับฮ่องเต้ของพวกเจ้า เพื่อเป็นการแสดงว่ายุทธภพปาวรณาตัวเป็นข้ารับใช้ของราชสำนัก ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”

ฉู่หาวพลันกระจ่างแจ้ง ปรบมือหัวเราะชอบใจ “ยังคงไปเซียนไผ่เขียวที่คิดได้รอบคอบ ทำแบบนี้ได้ย่อมดีที่สุด!”

ซ่งอวี่เซากลั้นลมหายใจทำสมาธิ ยืนอยู่บนพื้นที่ว่างขนาดเล็กซึ่งทหารตรงจุดหนึ่งเบี่ยงหลบให้ด้วยตัวเอง

มือกระบี่หนุ่มที่เป็นเซียนกระบี่ไผ่เขียวของแคว้นซงซีถามยิ้มๆ “อริยะกระบี่ซ่ง เชื่อหรือไม่ว่าตอนที่เจ้าผลัดเปลี่ยนลมปราณ ก็คือช่วงเวลาที่เจ้าสิ้นลมหายใจ”

สีหน้าของซ่งอวี่เซาเย็นชา

ด้านหลังมีเสียงอึกทึกดังขึ้นมาเป็นระลอก

ฉู่หาวหรี่ตาลง ควักของเล็กๆ ลักษณะเหมือนก้อนเงินออกจากชายแขนเสื้อมากำไว้ในฝ่ามือ จากนั้นก็บิดลำคอหนึ่งที เพียงไม่นานก็มีผู้เฒ่าผมขาวสองคนที่ลมหายใจทอดยาวเดินออกมา คนผู้หนึ่งสวมชุดยาวผ้าแพร ระหว่างนิ้วสองข้างคีบยันต์สีเขียวไว้หนึ่งแผ่น ตัวยันต์เขียนด้วยอักษรสีทอง อีกคนหนึ่งเรือนกายล่ำสัน มือถือขวานคู่ บนขวานสลักลายเมฆมงคล คนทั้งสองต่างก็ไม่ได้สวมเกราะ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนของกองทัพ

คนทั้งสองมองไปด้านหลังของซ่งอวี่เซา เมื่อเทียบกับความสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านของเซียนกระบี่ไผ่เขียวแล้ว ผู้เฒ่าสองคนที่ติดตามมมากับกองทัพกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียด

ในฐานะผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่รับใช้เชื้อพระวงศ์แคว้นซูสุ่ย พวกเขารู้ดีว่าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่สามารถบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ ไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่ หากยอมสละชีวิตต่อสู้ดั่งสัตว์ที่ติดกับดักแล้ว จะหมายความว่าอะไร

ฉู่หาวเอ่ยเบาๆ “พวกเจ้าคนหนึ่งช่วยเซียนกระบี่ไผ่เขียวสังหารซ่งอวี่เซา รีบรบรีบจบ อีกคนหนึ่งต้องถ่วงเวลาเด็กหนุ่มผู้นั้นไว้ให้ได้”

ชายร่างยักษ์ที่ถือขวานคู่ก้าวยาวๆ เข้าหาซ่งอวี่ซาน ยิ้มเหี้ยมกล่าวว่า “ข้าจะเป็นคนบีบให้ตาแก่นี่ต้องเปลี่ยนลมปราณเอง!”

ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าแพรยิ้มฝาดเฝื่อน เก็บความคิดทั้งหมดลง ขว้างยันต์กระดาษเขียวที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีมาหลายปีแผ่นนั้นไปยังกลางอากาศ เมื่อศัตรูตัวฉกาจมาอยู่ตรงหน้า ต่อให้จะเสียดายแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

หลังจากที่ยันต์ลอยขึ้นกลางอากาศก็หายวับไปในชั่วพริบตา

ทันใดนั้นมันก็มาโผล่ห่างออกไปหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว แสงสีทองระเบิดกระจาย สุดท้ายกลายเป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊สวมเสื้อเกราะสีทองตนหนึ่งที่ทิ้งร่างลงบนพื้นดังโครม เรือนกายของเขาสูงสองจั้ง เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มของทหารเดินเท้าก็โดดเด่นดุจนกกระเรียนในฝูงไก่ มือของเขาถือง้าวขนาดใหญ่ด้ามหนึ่ง ด้านในเสื้อเกราะสีทองที่หนักอึ้งนั้นมีเพียงประกายแสงสีเงินไหลวน แม่ทัพฝ่ายบู๊ผู้นี้ไม่ได้มีเรือนกายที่แท้จริง

เฉินผิงอันห้อตะบึงมาตลอดทาง มองดูเหมือนวิ่งอยู่กลางอากาศ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกก้าวที่เท้าเหยียบลงไปล้วนเหยียบลงบนกระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีและสืออู่

หากจะบอกว่าเฉินผิงอันคือคนหัวรั้นดื้อดึง ย่อมไม่ผิดแน่นอน

แต่เมื่อเขาเริ่มออกเดินทางในยุทธภพเพียงลำพัง เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่ชอบกระโดดข้ามธารน้ำแล้ว อันที่จริงเฉินผิงอันเปลี่ยนไปเยอะมาก

เวลานี้มองเห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีมัลละร่างเงินสวมเกราะทองที่ในมือถือง้าวใหญ่สีทองเล่มหนึ่ง ตั้งท่าพร้อมต่อสู้ กำลังจ้องมาที่ตนเขม็ง

จิตใจของเฉินผิงอันก็ยังคงนิ่งสงบไม่ไหวติง นักพรตจงเมี่ยวของเมืองแยนจือก็มีมัลละร่างทองเหลืองสองตนคอยให้การปกป้อง ดูเหมือนว่าหากเป็นมัลละร่างทองเหลืองของพรรคมหายันต์ซึ่งมีระดับสูงตนหนึ่งจะสามารถทัดเทียมได้กับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม มัลละเกราะทองที่ร่างสูงสองจั้งตรงหน้าตนนี้คาดว่าอย่างน้อยน่าจะมีพลังการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ หรืออาจจะถึงขอบเขตห้าก็เป็นได้

เพียงแต่ว่าขนาดตอนเพิ่งเริ่มฝึกวิชาหมัด เฉินผิงอันยังกล้างัดข้อกับวานรย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง

เมื่อเฉินผิงอันคิดจะดื้อดึงขึ้นมา เขาก็ไม่เคยกลัวใครเลยจริงๆ

สั่งสมให้มากแล้วเอาออกมาใช้ทีละน้อย เมื่อคำนี้ผุดขึ้น หัวสมองของเฉินผิงอันก็สว่างวาบ

เฉินผิงอันเอื้อมมือไปจับกระบี่ไม้ไหวที่อยู่ด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ

ขณะเดียวกันก็พูดกับตัวเองในใจว่า “ชูอี สืออู่ ไปช่วยผู้อาวุโสซ่งรับมือกับมือกระบี่และชายร่างยักษ์ผู้นั้น มัลละตนนี้ข้าจะจัดการเอง”

อยู่ห่างอีกแค่ยี่สิบก้าว แสงกระบี่สองเส้นใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันก็แยกออกไปหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา วาดวงโค้งอ้อมผ่านมัลละเกราะทองมือถือง้าวใหญ่ที่เริ่มกระทืบเท้าหนักๆ แล้ววิ่งตะบึงมาด้านหน้า

เฉินผิงอันที่ยังค้างอยู่ในท่าจับด้ามกระบี่ไม้ด้านหลังกระโดดผลุงออกไปพลางตะโกนว่า “ผู้อาวุโสซ่ง เชิญท่านเปลี่ยนลมปราณให้สบายใจ!”

มีศัตรูฝีมือร้ายกาจอยู่ตรงหน้า ขวานคู่ของชายร่างยักษ์ล่ำสันกำลังจะฟันลงมา อีกทั้งเซียนกระบี่ไผ่เขียวยังจ้องเขม็งพร้อมตะครุบ ซ่งอวี่เซากลับยกยิ้มเชื่อใจ แล้วก็เริ่มเปลี่ยนลมปราณจริงๆ!

เซียนกระบี่ไผ่เขียวที่ยืนอยู่บนหลังม้าปล่อยกระบี่ฟันฉับทันควัน

เฉินผิงอันที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศพึมพำด้วยถ้อยคำที่ใครก็ไม่ได้ยิน จากนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็จมสู่สภาวะอัศจรรย์อย่างหนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน

ลืมสิ้นทั้งวัตถุและตัวตน จิตแห่งกระบี่ใสกระจ่าง

ครานั้นในวัดร้าง กระบี่ไม้ไหวฟันลงไปอย่างง่ายๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถผ่าทลายค่ายกลใหญ่แสงทองของปีศาจใหญ่ชุดสีชมพูได้

ในเมื่อไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ การออกกระบี่ของข้าในวันนี้ก็เหมือนกับการเรียนวิชาหมัด ค่อยๆ ฝึกไปทีละหมัด ทีละหมัด สักวันย่อมต้องต่อยได้หนึ่งล้านหมัด แค่เลียนแบบความหมายของมันก่อน ยังไม่ต้องเลียนแบบรูปลักษณ์ของมัน!

แค่ส่งกระบี่ออกไปก็พอ!

มีภูเขาผ่าภูเขา มีน้ำสะบั้นน้ำ!

ปราณกระบี่สิบแปดหยุดในร่างพุ่งโคจรอย่างไม่มีกักไว้ ประหนึ่งน้ำที่ท่วมทะลักเขื่อนกั้น ไหลกรากเข้าโจมตีช่องโพรงลมปราณห่างไกลที่ถูกผู้ฝึกกระบี่ในปัจจุบันมองเป็นดั่งซี่โครงไก่

เฉินผิงอันดึงกระบี่ไม้ไหวออกจากฝัก ฉับพลันนั้นกระบี่พร้อมปราณกระบี่เจิดจ้าที่ตัวเขาเองมองไม่เห็นก็พากันฟาดฟันเข้าใส่มัลละเกราะทองสูงสองจั้งตนนั้น

ทั้งง้าวใหญ่ยักษ์และแม่ทัพบู๊ในเสื้อเกราะทองต่างก็ถูกฟันไปพร้อมกันเสียงดังฟั่บ!

เฉินผิงอันที่สองเท้าสัมผัสพื้นเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าบนร่างของมัลละเกราะทองเกิดร่องลึกพาดเอียง แสงสีเงินปริพุ่ง เกราะทองแตกร้าว

ครั้นแล้วร่างของมันก็หล่นเอนลงมาตรงหน้าเขา ก่อนจะระเบิดตูม แสงสีเงินและสีทองปลิวว่อนคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

เฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะ สองเข่างอเล็กน้อยอึ้งงันไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็คืนสติ เขายืดเอวขึ้นตรง กำกระบี่ไม้ไหวที่อยู่ในมือแน่น

ท่องในยุทธภพ ข้ามีหนึ่งกระบี่!

เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกสะใจอย่างเต็มคราบแบบนี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงอยากระบายความอัดอั้นในใจ ท่ามกลางกองทัพใหญ่นับหมื่น เด็กหนุ่มที่มือข้างหนึ่งถือกระบี่ไม้ไหวซึ่งเพิ่งจะโจมตีสำเร็จตะโกนออกไปเสียงดังว่า “เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่นี่แล้ว!”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset