ก่อนฟ้ามืดเฉินผิงอันก็ได้ข้อมูลของร้านยาฮุยเฉินจริงๆ นอกจากที่อยู่ในเมือง ยังมีข้อมูลว่าเจ้าของร้านแซ่เจิ้ง ร้านนี้เป็นกิจการของบรรพบุรุษตระกูลฟ่านหนึ่งในห้าสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่า เถ้าแก่เจิ้งมีสำเนียงของต้าหลีที่อยู่ทางทิศเหนือ นิสัยภายนอกหยาบกระด้าง ชื่นชอบอิสตรี ทุกวันจะนั่งเฝ้าอยู่ในร้านกินข้าวฟรีรอความตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วคนผู้นี้เคยเข้าไปในจวนตระกูลฟ่านสองครั้ง ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญต่อเขาอย่างยิ่งยวด มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นพระวิสุทธิ์จารย์ด้านวิถีวรยุทธ์ที่มาสอนลูกหลานตระกูลฟ่าน ส่วนภาพวาดหน้าตาของคนผู้นี้ต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะได้
เฉินผิงอันทำสีหน้าประหลาด ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดให้มากความก็รู้แล้วว่าคือเจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูของเมืองเล็กบ้านเกิด ส่วนการที่ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญกับเจิ้งต้าเฟิงขนาดนี้ เฉินผิงอันไม่แปลกใจ ชายฉกรรจ์ที่เคยได้รับเงินแก่นทองผ่านมือมาหลายถุง ต่อให้มองภายนอกจะไม่เป็นโล้เป็นพายมากแค่ไหน แต่ตัวตนที่แท้จริงย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หาไม่แล้วหยางเหล่าโถวก็คงไม่มีทางให้เขาช่วยตนคลายยันต์ปราณแท้จริงสองตำลึง
นอกจากนี้ซุนเจียซู่ก็ให้คนนำเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับเต่าทะเลขุนเขาและนกกุ้ยฮวาที่เป็นเรือข้ามฟากสองลำมาให้ บอกว่าให้เฉินผิงอันทำความเข้าใจกับเรื่องภายในของเส้นทางการเดินเรือให้มากขึ้น เดินทางข้ามแคว้นระยะทางหลายล้านลี้ มรสุมยากจะคาดการณ์ ไม่ใช่เรื่องเล็ก ตรงกลางสอดแทรกจดหมายฉบับหนึ่งที่ซุนเจียซู่เขียนด้วยลายมือตัวเองอย่างรีบเร่ง ความหมายคร่าวๆ ก็คือ เดินทางไปภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ เจ้าเฉินผิงอันนั่งเรือข้ามฟากของข้า แต่เรือข้ามฟากนกกุ้ยฮวาค่อนข้างจะได้เปรียบเต่าทะเลภูเขามากกว่า ข้าเองก็เคยบอกกับเจ้าไว้อย่างชัดเจนแล้ว
การกระทำนี้อาจมองดูเหมือนเกินความจำเป็นคล้ายวาดงูเติมหาง แต่เฉินผิงอันที่อ่านจบแล้วไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ให้รู้สึกนับถือในวิธีทำการค้าของซุนเจียซู่ หากลองเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ และตนคือพ่อค้าที่ต้องเอาสินค้ามาเร่ขายในนครมังกรเฒ่าก็ต้องยินดีร่วมงานกับตระกูลซุน
เพียงแต่ว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันคิดออกนอกประเด็น นั่นก็คือตระกูลซุนแห่งนครมังกรเฒ่าที่ยึดมั่นต่อการทำการค้า อาศัยชื่อเสียงที่บรรพบุรุษแต่ละรุ่นสั่งสมมา ไม่ได้อาศัยทรัพย์สมบัติ แต่ไหนแต่ไรมาจึงเป็นฝ่ายเลือกคนที่จะมาทำการค้าด้วย ไม่ใช่ว่าใครคิดอยากค้าขายกับตระกูลซุนก็จะทำได้เลย ต่อให้อีกฝ่ายจะร่ำรวยมากแค่ไหนก็ไม่ได้เหมือนกัน
กฎเกณฑ์ประหลาดของตระกูลซุนก็เหมือนคนประหลาดและมหัศจรรย์ของตระกูลฟ่านที่มีมากมายไม่ต่างกัน
เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ หาร้านยา เลือกเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันที่ตัดสินใจเรื่องเล็กใหญ่สามเรื่องติดเสร็จแล้วก็กินอาหารเย็น อาหารทะเลเมื่อตอนเที่ยงเปลี่ยนมาเป็นต้มที่ปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่จากในแม่น้ำ คราวนี้เฉินผิงอันกินอย่างมีความสุข พุ้ยตะเกียบว่องไว หาได้ยากที่จะกินอิ่มแปล้ถึงขนาดนี้ เฉินผิงอันจึงไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำ ภายใต้แสงอาทิตย์ตะวันรอน ทิวทัศน์งดงามสบายตา เฉินผิงอันรู้สึกว่าที่นี่คือพื้นที่มงคลของตน หากวันหน้ามีโอกาสจะต้องมาเยือนอีกครั้งแน่นอน
จู่ๆ เฉินผิงอันก็นึกอยากตกปลา จึงวิ่งไปที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ถามพ่อบ้านชราคนหนึ่งว่ามีคันเบ็ดตกปลาหรือไม่ และยังถามถึงสถานการณ์ของปลาช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไร ในแม่น้ำมีสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่หรือไม่ ต้องใช้เคล็ดลับการปล่อยเหยื่อล่อปลาหรือไม่ ผู้เฒ่าที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ทยอยอธิบายไปทีละข้อด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ช่วยเตรียมการทุกอย่างให้เฉินผิงอันอย่างเหมาะสม คนทั้งสองไปยังจุดตกปลาที่ริมแม่น้ำด้วยกัน พ่อบ้านชราได้ยินว่าเฉินผิงอันจะตกปลาจนถึงดึก เดิมทีจึงคิดจะช่วยตั้งกระโจมค้างคืนให้เฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันที่เคยยากจนอย่างถึงที่สุดมาก่อนไม่ได้พิถีพิถันนัก สำหรับการกินอยู่หลับนอน เขาไม่เคยเรียกร้องอะไรมาก่อน จึงไม่ได้ตอบรับ ผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้บังคับ เพียงเดินจากไปช้าๆ
เฉินผิงอันไม่รีบร้อนที่จะตกปลา เขาเริ่มฝึกเดินนิ่งกลับไปกลับมาข้างริมน้ำ เดินนิ่งไปได้หนึ่งชั่วยามก็ฝึกยืนนิ่งริมน้ำอีกหนึ่งชั่วยาม แล้วถึงได้เริ่มตกปลาตอนกลางคืน เฉินผิงอันหลับตาเหวี่ยงคันเบ็ดไม้ไผ่ออกไป เสียงเหยื่อจมลงน้ำดังจ๋อม
สายลมเย็นพัดโชยให้เกสรดอกน้ำมันสั่นระริก
น้ำในแม่น้ำเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า ไหลรินหายไปยังจุดไกล สามารถมองเห็นริ้วกระเพื่อมบนผิวน้ำ หลอดเลือดแห่งแม่น้ำที่มองไม่เห็นอยู่ก้นบึ้งล่างสายน้ำ
สายเอ็นที่เล็กเรียวดุจเส้นผมถูกกระชากเบาๆ บางครั้งตึง บางครั้งหย่อน
เฉินผิงอันนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกไปตลอดคืน ปล่อยให้ปลาน้อยจิกเหยื่อจนแหลกเละ ไม่มีปลาตัวใหญ่มาติดเบ็ด จากนั้นก็นั่งนิ่งอย่างแห้งแล้งแบบนี้ไปจนฟ้าสว่าง
เมื่อเฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาก็หันหน้าไปมองทางทิศตะวันออก นาทีที่เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ก็ได้เห็นภาพงดงามที่ไม่เคยพบเจอมาตลอดชีวิต
อริยะเคยกล่าวว่า หันหน้าเข้าหาแสงอรุโณทัย ดวงตะวันส่องแสงเหลืองแดง
สายตาของคนธรรมดาทั่วไป แสงอรุโณทัยน่าจะมีแค่สีแดงสดเท่านั้น แต่เฉินผิงอันกลับเห็นว่าท่ามกลางแสงตะวันขึ้นตรงขอบฟ้าทิศตะวันออกที่งดงามพร่างพราวมีสีเหลืองทองเป็นเส้นๆ ไหลวน เส้นแสงเหล่านั้นเหมือนมังกรที่กำลังว่ายวนอยู่ช้าๆ ท่ามกลางทะเลเมฆสีแดงเพลิง
เฉินผิงอันแหงนหน้าจ้องมองแสงอรุโณทัยหมื่นจั้งและเส้นแสงสีทองอร่ามอยู่ตลอดเวลา เผชิญหน้ากับแสงเจิดจ้าและการไหลเวียนของเส้นแสงสีเหลืองทองเหล่านั้น เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกสบายดวงตาแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือไม่ เฉินผิงอันคล้ายจะสัมผัสได้ถึงก้อนเมฆงดงามกลิ้งหลุนๆ ลงมา หลังจากนั้นจิตใจของเขาก็สั่นสะท้านน้อยๆ พริบตาเดียวมังกรสีทองหลายสิบเส้นก็กรูลงมาจากฟากฟ้า ตรงดิ่งเข้าหาเขาด้วยลักษณะน่าเกรงขาม ราวกับจะบดขยี้คนที่กล้าจับจ้องมองพวกมัน
มังกรเหล่านั้นพุ่งเข้ามาเร็วมาก เฉินผิงอันทิ้งคันเบ็ดตกปลา ลุกพรวดขึ้นยืน ปณิธานหมัดทั่วร่างพรั่งพรูออกมาโดยอัตโนมัติ อาบเต็มไปทั่วเรือนกายด้านนอกและช่องโพรงด้านใน สามารถเคลื่อนไหวได้ดังใจปรารถนา เผชิญหน้ากับการท้าทาย เฉินผิงอันเพียงรู้สึกว่าเหมือนเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีเพียงวิชาหมัดที่ใหญ่ที่สุด และเขาต้องออกหมัดครั้งนี้!
มังกรสีทองหลายสิบตัวที่ไม่มีร่างแท้จริงตรงดิ่งกดทับเข้ามาหาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็ตั้งกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ทันที เท้าสองข้างทยอยกันเหยียบลงบนพื้นดินริมแม่น้ำ พละกำลังมหาศาลทะลุลงไปใต้ดินหนึ่งจั้งกว่า ไม่เพียงแค่พื้นดินที่ส่งเสียงดังตึงๆๆ รัวไม่หยุดเหมือนมีสายฟ้าพลิกหมุนอยู่บนผืนดิน ผิวน้ำที่อยู่ใกล้ตลิ่งก็เกิดคลื่นเป็นระลอกที่ตีกระทบฝั่งตรงข้าม
ชูอีกับสืออู่ต่างก็พุ่งออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างเงียบเชียบ แต่ต่างฝ่ายต่างนอนพังพาบอยู่บนปากน้ำเต้าอย่างเกียจคร้าน ราวกับว่ากำลังรอชมเรื่องสนุก ไม่ได้เห็นมังกรสีทองที่พุ่งลงมาจากชั้นเมฆยามอรุณรุ่งนี้เป็นศัตรู
จิตใจของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่ท่ามกลางปณิธานหมัด ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้สร้างภาพเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ เพียงแค่รู้สึกว่าในเมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตสี่แล้ว การออกหมัดก็ควรจะเร็วยิ่งกว่าเดิม ทว่าการตกปลาเมื่อคืนก่อนนี้ เขาทำความเข้าใจกับโลกใบใหม่ที่สายตาของตัวเองมองเห็น รวมถึงสร้างประตูใหญ่ของช่องโพรงลมปราณต่างๆ ให้มั่นคง และระงับลมปราณที่ก่อกวนอยู่ในร่างกายให้สงบอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมีโอกาสได้ทดลองออกหมัดเพื่อพิสูจน์มาก่อนว่าเร็วขนาดไหน ก็คงต้องดูตอนนี้แล้วล่ะ!
“กลับไปให้ข้า!” เฉินผิงอันปล่อยหมัดต่อยเข้าใส่มังกรตัวนำที่อยู่กลางอากาศสูง พายุหมัดพัดกระโชกเป็นเหตุให้ชายแขนเสื้อที่เต็มไปด้วยปณิธานหมัดพองบาน พัดพึ่บพั่บ
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง
น้ำในแม่น้ำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คลื่นน้ำโถมใส่ดอกน้ำมันดังซ่าจนดอกน้ำมันล้มเอนไปแถบใหญ่
เห็นๆ อยู่ว่ามังกรสีทองตัวใหญ่เท่าปากบ่อตัวนั้นเป็นเพียงภาพมายาเลื่อนลอย ไม่ได้มีร่างที่แท้จริง แต่พอถูกหมัดที่มีปณิธานหมัดมากไพศาลต่อยเข้าที่ศีรษะกลับหัวหมุนติ้วกระเด็นไปไกลหลายสิบจั้ง
หลังจากนั้นเสียงกัมปนาทก็ดังขึ้นถี่ยิบ
มังกรทองหลายสิบตัวถูกเฉินผิงอันใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ต่อยกลับขึ้นไปบนฟ้า พวกมันนอนขดตัวไม่ยอมจากไป ก้มหน้าลงมองเฉินผิงอันที่เปลี่ยนกระบวนท่าเป็นท่าหมัดที่พลังอำนาจน่าหวาดผวาอีกครั้ง สายตาของพวกมันมีทั้งความไม่เข้าใจ และมีทั้งความอาฆาต ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหาง ย้อนกลับเข้าไปยังทะเลเมฆที่ส่องประกายสีพร่างพราวอย่างพร้อมเพรียงกัน เฉินผิงอันอึ้งตะลึง พอมองไปอีกครั้งก็ไม่มีลมปราณสีทองไหลเวียนวนอีกแล้ว ดูเหมือนว่าแสงอรุโณทัยทางทิศตะวันออกจะกลับคืนสู่ความเป็นปกติแล้ว
เฉินผิงอันเก็บหมัดยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจไม่น้อย
แต่ละหมัดที่ปล่อยไปช่างรวดเร็วและดุดันจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ การออกหมัดแต่ละครั้งคล้ายไม่มีพันธนาการของฟ้าดิน ไม่มีความรู้สึกอืดอาดชักช้า สะใจดีจริง!
ชูอีและสืออู่ที่อยู่บนปากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘หันมามองหน้ากัน’ สืออูคล้ายจะไม่มีหน้าพบเจอคนจึงไหลกลับเข้าไปในน้ำเต้า
ชูอีที่นิสัยดุร้ายเกรี้ยวกราดมากกว่าอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบินฟิ้วขึ้นมา แม้จะไม่สามารถสร้างบาดแผลที่จับต้องจริงได้ แต่มันก็ยังแทงทะลุร่างของเฉินผิงอันอย่างเสียเวลาเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายกำลังระบายไฟโทสะ
กระบี่บินหากอยู่ในช่องโพรงของเจ้าของที่เป็นผู้ฝึกกระบี่จะเป็นเพียงภาพมายา แต่หากออกจากช่องโพรงจึงจะเป็นของจริง นี่คือกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน เป็นเหตุให้การเข้าออกช่องโพรงลมปราณของผู้ฝึกกระบี่จะไม่มีการทำร้ายร่างกายของผู้ฝึกกระบี่ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินผิงอันกับกระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีกับสืออู่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนายบ่าวอย่างผู้ฝึกกระบี่กับกระบี่บิน ไม่ถึงขั้นชีวิตผูกติดกัน ร่วมเป็นร่วมตายกัน แต่กลับเหมือนเจ้าของบ้านกับคนเช่าบ้าน และเฉินผิงอันก็คล้ายเป็นกึ่งๆ เจ้าของของพวกมันมากกว่า
เฉินผิงอันเกาหัวด้วยความมึนงง แต่ก็ยังปล่อยให้ชูอีอาละวาดต่อไป “เป็นอะไร? หรือว่าขอบเขตสี่ของข้าอ่อนแอเกินไป เลยทำให้พวกเจ้าอายคน?”
การที่ปรากฎภาพเหตุการณ์มังกรสีทองขึ้นท่ามกลางแสงอรุณแล้วกระโจนเข้าหาบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนก่อนหน้านี้ สามโอสถทองหนึ่งก่อกำเนิด ผู้รับใช้ตระกูลซุนรวมสี่ท่านจำต้องให้ความสำคัญ เพียงไม่นานพวกเขาก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องเก็บหนังสือขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ตอนนี้ในที่สุดคนทั้งสี่ก็ไม่ได้เถียงกันว่าเด็กหนุ่มเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์แล้ว แต่มีหัวข้อใหม่เพิ่มเข้ามาแทน
เพราะภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ในระดับนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งคือผู้ฝึกลมปราณกลายเป็นขอบเขตโอสถทอง นับจากนี้ท่องอยู่ในโลกได้อย่างอิสระเสรี ดังนั้นจึงชักนำการตอบรับจากฟ้าดิน โอสถทองที่ระดับสูงต่ำไม่เท่ากันเม็ดหนึ่งจะก่อตัวขึ้นมาในห้องโอสถ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องดูว่าความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ฟ้าดินใหญ่หรือเล็ก อีกหนึ่งประเภทคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามฝ่าสู่ขอบเขตสี่ หรือขอบเขตหกฝ่าสู่ขอบเขตเจ็ด โอกาสความเป็นไปได้ของข้อแรกมีน้อยมาก เรียกได้ว่าเลือนรางมาก ส่วนฝ่ายหลังนั้นเป็นเรื่องปกติ หากถูกชักนำมา ตามคำกล่าวของวิถีวรยุทธ์นี่เรียกว่าสามารถเอาหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกได้ หาได้ยากยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ มักจะอาศัยโอกาสนี้มาหล่อหลอมร่างกายและจิตใจได้ เป็นโชควาสนาที่ใหญ่มากต้องรู้จักถนอมแล้วถนอมอีก
ดูจากสัจธรรมแห่งวิชาหมัดที่ล้นหลามเข้มข้นทั่วร่างของเด็กหนุ่ม เขาย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างแน่นอน แต่สุดท้ายจะเป็นขอบเขตสี่หรือขอบเขตเจ็ด คนทั้งสี่จึงถกเถียงกันอีกครั้ง คราวนี้คนทั้งสามเชื่อว่าเป็นขอบเขตเจ็ด ดังนั้นซุนเจียซู่เจ้าประมุขถึงได้เต็มใจเชื้อเชิญให้มาอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ผูกสัมพันธ์ควันธูปแก่กัน อีกทั้งหากขอบเขตสามเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ อย่างไรก็ไม่สามารถชักนำภาพปรากฎการณ์ที่มังกรเมฆเยื้องกรายลงมาแบบนี้ได้ มีเพียงคนผู้เดียวที่เชื่อว่าเด็กหนุ่มเพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตสี่
จู่ๆ คนตัดต้นไม้ก็เอ่ยขึ้นว่า “อย่าเพิ่งเถียงกันเลยว่าขอบเขตที่เท่าไหร่ พวกเราไม่ควรทอดถอนใจด้วยความเสียดายที่เด็กหนุ่มคนนั้นพลาดโอกาสอันดีไปหรอกหรือ?”
คนทั้งสามได้สติในฉับพลัน แล้วก็พากันทอดถอนใจ
เด็กหนุ่มชมทัศนียภาพ ชักนำภาพเหตุการณ์ประหลาด คือการขานรับจากคนบนสวรรค์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง
โชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่ที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในโลกปรารถนาอยากครอบครอง กลับถูกเด็กหนุ่มผู้นี้รัวหมัดตะพาบต่อยกลับคืนไปทั้งอย่างนี้…
จากนั้นคนทั้งสี่ต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ขนาดนี้ อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาของเขาไม่เคยสอนเรื่องที่ตื้นเขินที่สุดประเภทนี้หรือไร? ยกตัวอย่างเช่นขอบเขตสามฝ่าสู่ขอบเขตสี่ หรือขอบเขตหกฝ่าสู่ขอบเขตเจ็ดจะเกิดการขานรับจากคนฟ้า จำเป็นต้องคว้าจับไว้ให้มั่น เพราะสามารถช่วยทำให้ขอบเขตมั่นคงได้…
—–