ฝูชุนฮวาค้นพบว่าความคิดของตัวเองยุ่งเหยิงพันกันเป็นปม ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ช่วงชิงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังอยู่ห่างจากสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ตนคาดการณ์ไว้อีกไกลมาก
พอไปถึงจวนส่วนตัวของฝูหนันหัวผู้เป็นน้องชาย ฝูชุนฮวาก็ยังคิดไม่ตก ได้แต่ใคร่ครวญหาถ้อยคำที่จะนำคำพูดประโยคนั้นของฝูฉีผู้เป็นบิดามาบอกต่ออย่างระมัดระวัง แต่ก็มีเพิ่มมีลด มีเสริมมีปรุงแต่งเข้าไปด้วย
แน่นอนว่าฝูหนันหัวไม่ได้เชื่อนางทั้งหมด แต่ความหมายคร่าวๆ ของฝูฉี ฝูชุนฮวาไม่กล้าพูดจาส่งเดช ฝูหนันหัวตั้งใจฟังคำบอกเล่าของพี่สาวฝูชุนฮวาตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินเพื่อใช้ความคิดด้วยความเคยชินก็พลันนั่งกลับลงไปดังเดิม กล่าวเรียบๆ ว่า “ข้าคิดได้แล้ว จะต้องกำจัดเฉินผิงอัน!”
ฝูชุนฮวาเริ่มงัดนิ้วตัวเองเล่น “เถ้าแก่เจิ้งที่ร้านยาฮุยเฉิน อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด หรืออาจถึงขั้นเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตแปด มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลฟ่านของเมืองใน บวกรวมกับตระกูลซุนของซุนเจียซู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือบุรพาจารย์ตระกูลซุนที่มีขอบเขตก่อกำเนิด แม้ว่าโอสถทองอีกสามท่านจะไม่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลซุนได้รับความเดือดร้อน แต่หากจำเป็นจริงๆ ซุนเจียซู่ก็อาจจะโน้มน้าวคนทั้งสามให้ช่วยลงมือได้ ยังมีพวกขุนนางต่างแคว้นที่มารับใช้ตระกูลซุนอยู่ในเมืองในอีก หนันหัว เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ หรือ?”
ฝูหนันหัวสีหน้าเรียบเฉย “ข้าแค่คิดว่าควรจะกำจัดเด็กหนุ่มจากต้าหลีคนนั้นโดยให้จ่ายค่าตอบแทนน้อยที่สุดได้อย่างไร”
ฝูชุนฮวายิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “งานแต่งงานของเจ้ากำลังจะมาถึง ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นรึ? อีกอย่างในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ก็เท่ากับว่าเป็นประชากรของต้าหลี เจ้าไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบยาวไกล ทำลายภาพลักษณ์ของตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าที่มีอยู่ในใจฮ่องเต้ต้าหลีหรอกหรือ?”
ฝูหนันหัวไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่ตั้งใจใช้ความคิด
สุดท้ายฝูชุนฮวายิ้มหวาน “ฝูหนันหัว สุดท้ายนี้เจ้าลองคิดดูเถอะว่าที่พี่สาวพูดเรื่องพวกนี้ เป็นเพราะหวังให้เจ้าลงมืออย่างเฉียบขาด หรือว่าเป็นเพราะไม่อยากให้เจ้าดึงดันทำตามใจตัวเองโดยพลการ?”
ฝูหนันหัวเอาแต่เงียบอย่างเดียว
รอยยิ้มบนใบหน้าของฝูชุนฮวาเริ่มจืดจางลงทุกที สุดท้ายก็ไม่เหลือรอยยิ้มอีกเลย นางมองน้องชายที่จู่ๆ ก็โดดเด่นขึ้นมาด้วยสายตาเย็นชา ก็แค่เศษสวะคนหนึ่งที่กินภูเขาเงินภูเขาทองทั้งลูกของตระกูลเข้าไปก็ยังได้แค่ขอบเขตหก ยังจะกล้าปรารถนาในตำแหน่งเจ้านครมังกรเฒ่าอีกหรือ? เขาก็คู่ควรที่จะช่วงชิงชุดคลุมมังกรเฒ่าชิ้นนั้นกับนางและฝูตงไห่ที่เป็นขอบเขตโอสถทองด้วยหรือไง?
ฝูหนันหัวหยุดความคิดทั้งหมดลง เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ ท่วงท่าประดุจเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหล มาดของเขาสุขุมสง่างาม ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฝูชุนฮวา เรื่องสกปรกระหว่างเจ้ากับฝูตงไห่ ไม่ได้มีแค่มารดาของเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้ แต่ข้าสงสัยนักว่า เรื่องสกปรกระหว่างฝูตงไห่กับสาวใช้คนสนิทของเจ้า เจ้ารู้เรื่องด้วยหรือไม่?”
ฝูชุนฮวาแสยะยิ้ม “น้องชายคนดี รอให้ข้าหรือฝูตงไห่ได้เป็นเจ้านครเมื่อไหร่ ต้องเลี้ยงดูเจ้าเป็นอย่างดีแน่”
ฝูหนันหัวทำราวกับว่าไม่เข้าใจคำขู่ที่ซุกซ่อนอยู่ เขายิ้มอย่างสง่างาม “ก่อนจะถึงเวลานั้น พวกเราสองพี่น้องต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจเสียก่อน มาช่วยกันวางแผนว่าควรจะสังหารเฉินผิงอันอย่างไรดีกว่า ว่าไหม? ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เดาความคิดของท่านพ่อไม่ออก ไม่รู้ว่าข้าจะเลือกอย่างไร จะเลือกเดินไปหาตำแหน่งเจ้าประมุขหรือออกห่างจากมัน แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องนี้ ท่านพ่อกำลังทดสอบข้า ขณะเดียวกันก็กำลังทดสอบเจ้าอยู่เหมือนกัน พี่สาวคนดี เจ้าต้องรับมืออย่างระมัดระวังนะรู้ไหม!”
ฝูชุนฮวาหรี่ตาลง สีหน้ามืดทะมึน
หลังจากฝูหนันหัวลุกขึ้นยืน เขาก็หันหน้าไปมองทางประตูใหญ่ พูดในใจตัวเองว่า “ซุนเจียซู่ เพื่อขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง เจ้าก็ขายเฉินผิงอันที่เกือบสังหารข้าแล้ว การค้าครั้งนี้คุ้มค่าหรือไม่ หรือจะบอกว่า…”
คิดมาถึงตรงนี้ ฝูหนันหัวก็ส่ายหน้าเบาๆ เป็นไปไม่ได้ ซุนเจียซู่ไม่ใช่คนบ้าสักหน่อย
แต่ถ้าเป็นไปได้ล่ะ?
จนกระทั่งบัดนี้ฝูหนันหัวถึงได้เริ่มลังเล ในใจยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนฝูชุนฮวาที่มองไปยังน้องชายซึ่งนางเห็นเขาเติบโตมาตั้งแต่เล็ก แต่จู่ๆ เขากลับเปลี่ยนมาเป็นเหมือนคนแปลกหน้า ในที่สุดนางก็เริ่มกริ่งเกรงเขาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
……
ฝูฉีทะยานลมไปทางทิศเหนือเพียงลำพัง ห่างไปไกลพันลี้ถึงหยุดการบินทะยาน สุดท้ายพลิ้วกายลงบนเรือข้ามฟากลำหนึ่งจากภูเขาอู๋ถงหลงเฉวียนต้าหลี
บนเรือมีสวีรั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ที่พาดกระบี่เป็นแนวขวางไว้ด้านหลังกับรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ที่มีชาติกำเนิดเป็นเจียวสูงวัย
มีสองคนนี้พิทักษ์เรือข้ามฟาก ต่อให้เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวก็ยังไม่มีปัญหา
คนที่คนทั้งสองเดินทางมาให้การคุ้มกันคือชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง หรือจะพูดให้ถูกคือองค์ชายต้าหลีซ่งมู่เพียงคนเดียว
เด็กสาวที่มีนามว่าจื้อกุยยืนหลุบตาลงต่ำอยู่ด้านหลัง ‘ซ่งจี๋ซิน’ คุณชายของตัวเอง ตั้งแต่ต้นจนจบจื้อกุยไม่ได้มองฝูฉีแม้แต่ครั้งเดียว อาจเป็นเพราะฝูฉีไม่ได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่า บวกกับที่เจ้านครมังกรเฒ่าผู้นี้ไม่ได้บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเอง เขาไปยืนคุยอยู่กับเซียนกระบี่สวี่รั่วที่หัวเรือ ดังนั้นนางจึงจำเขาไม่ได้?
เรือข้ามฟากลำนี้ลอดเข้ามาในทะเลเมฆเหนือนคร จากนั้นก็ลดตัวลงในนครฝู
หลังจากที่ฝูฉีจัดการหาที่พักให้แขกจากต้าหลีกลุ่มนี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็มาที่จวนส่วนตัวของฝูหนันหัว แล้วจึงเห็นว่าบุตรชายที่มีสีหน้าเซื่องซึมกำลังยืนพิงเสามังกรวนต้นหนึ่ง
ฝูฉีเอ่ยถาม “ทำไมคนทั้งตระกูลฝูถึงไม่มีความเคลื่อนไหวกันเลย?”
ฝูหนันหัวเงยหน้ามองบิดา “ข้าคิดอะไรมากมาย แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปซะหมด ตระกูลฝู นครมังกรเฒ่า ต้าหลี ถ้ำสวรรค์หลีจู ซุนเจียซู่ ฝูตงไห่ ฝูชุนฮวา…”
แต่แล้วจู่ๆ ฝูฉีก็หัวเราะขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้าก็จะได้เป็นเจ้านครมังกรเฒ่าคนถัดไปอยู่ดี?”
สีหน้าของฝูหนันหัวทึ่มทื่อ
ฝูฉีเบี่ยงกาย ก้มหน้าลงคล้ายกำลังต้อนรับใครบางคนอย่างนอบน้อม
เด็กสาวคนหนึ่งสูดเอากลิ่นอายของ ‘ปราณมังกร’ เข้าปากเฮือกใหญ่อย่างไร้ความยำเกรง นางเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่เหมือนคนเคลิบเคลิ้มเมามาย จากนั้นก็นั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ แล้วยกสองมือขึ้นปรบเบาๆ
เมื่อชุดคลุมมังกรตัวหนึ่งลอยขึ้นบนร่างของนาง ไอหมอกก็ลอยคลุ้งทำให้ชุดนั้นเหมือนถูกซักอยู่ท่ามกลางไอน้ำ
หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน ชุดคลุมมังกรตัวนั้นขยับสวมใส่บนร่างของนางด้วยตัวเอง มังกรทองท่ามกลางทะเลเมฆเก้าตัวบนชุดเริ่มเคลื่อนไหวว่ายวนอย่างมีชีวิตชีวา
นางสลัดรองเท้าหุ้มแข้งทิ้ง ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ เมื่อสวมชุดคลุมมังกรที่หนาใหญ่ตัวนั้น ทำให้นางดูตลกอย่างเห็นได้ชัด นางขมวดคิ้วกล่าวเหมือนคนได้รับความอยุติธรรมว่า “แม้ไม่มีพันธนาการจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยังต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวเองคือมดตัวน้อยตัวหนึ่ง ช่างลำบากยิ่งนัก ช่วยไม่ได้ ข้ายังเอาชนะพวกเขาบางคนไม่ได้ เจ้านักพรตน่ารังเกียจ หร่วนฉง ซ่งจ่างจิ้ง จวี้จื่อสำนักโม่ที่ลึกลับเกินจะหยั่งคนนั้น เซียนกระบี่สวี่รั่ว ฯลฯ …เฮ้อ สรุปก็คือมีหลายคนเลยล่ะ ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้ดีกว่า ที่นี่ดีจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปในสมัยที่เพิ่งเหยียบแผ่นดิน…แม้ว่าจะผ่านไปนานหลายปี ปราณมังกรก็ยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย ตระกูลฝูของพวกเจ้าทำได้ไม่เลวเลย วันหน้าต้องตกรางวัลให้ รางวัลชิ้นใหญ่ด้วย!”
ฝูหนันหัวมองใบหน้าเยาว์วัยที่คุ้นตาของเด็กสาว จากนั้นหันไปมองบิดาที่มีสีหน้าสงบนิ่ง สุดท้ายถึงจ้องเป๋งไปยังชุดคลุมมังกรเฒ่าที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตัวนั้น
ฝูหนันหัวค้นพบว่าตัวเองที่ก่อนหน้านี้เกือบจะเป็นบ้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นบ้าจริงๆ แล้ว
นางเหลียวมองไปรอบด้าน “เพื่อให้มาที่นี่ได้อย่างราบรื่น ข้าต้องเจอกับความอยุติธรรมมากมาย แต่เรื่องที่น่าน้อยใจที่สุดก็คือ คำว่าราบรื่นที่ว่านั้น ยังคงเป็นเจ้านักพรตหน้าเหม็นที่มอบให้ข้า…”
จู่ๆ นางก็ชี้หน้าฝูหนันหัวแล้วพูดด้วยเสียงเฉียบขาด “เจ้ามดตัวน้อย ได้ยินว่าแค่เฉินผิงอันคนเดียว เจ้าก็ยังไม่กล้าสังหาร! เจ้าไม่คู่ควรกับแซ่…”
เด็กสาวหันหน้าไปมองฝูฉี “พวกเจ้าแซ่อะไรนะ?”
ฝูฉีตอบอย่างนอบน้อม “เรียนคุณหนู พวกเราแซ่ฝู”
เด็กสาวไม่ใคร่จะพอใจนัก แต่ความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดก็ไม่หลืออยู่แล้ว นางขดตัวอย่างเกียจคร้านอยู่ในเก้าอี้ หรือควรจะพูดว่าขดตัวอยู่ในชุดคลุมมังกรตัวนั้น
อีกแค่เสี้ยวเดียวจิตใจของฝูหนันหัวก็จะแหลกสลายแล้ว
เด็กสาวก้มหน้าลงมองประเมินชุดคลุมมังกรเฒ่า “เลือด กระดูก ลมปราณและเส้นเอ็นของฮ่องเต้เก้าท่านในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป อืม ไม่เลว”
เส้นสายตาของนางไล่ลงต่ำ พึมพำว่า “ทะเลเมฆต่ำไปสักหน่อย”
ดวงตาของนางเปล่งประกายวาบ เผยให้เห็นดวงตาประหลาดที่มีลูกตาดำเป็นสีทอง
ราวกับเดาความคิดของเด็กสาวออก ฝูฉีจึงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “คุณหนู ทะเลเมฆที่อยู่เหนือนครมังกรเฒ่าผืนนั้น ช่วงนี้ยังไม่สามารถเก็บเข้ามาไว้ในเสื้อคลุมได้ เพราะจะเอิกเกริกเกินไป อาจจะทำให้ผู้คนค้นพบเบาะแสได้ง่าย”
เด็กสาวถอนหายใจหนึ่งที “ข้ารู้หนักรู้เบาดี”
สุดท้ายดวงตานางปรือปรอยเหมือนบุรุษผู้เมามาย “มาถึงที่นี่แล้ว ข้าไม่อยากย้ายรังอีกแล้วจริงๆ”
นางพลันกระโดดพรวดลงมาจากเก้าอี้ สะบัดตัวเบาๆ เสื้อคลุมมังกรเฒ่าที่เดิมทีใหญ่โตดุจผ้าห่มก็เปลี่ยนมาเป็นเหมาะกับตัวนางอย่างพอดิบพอดี นางยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ มองไปที่นอกประตูคล้ายกำลังสองจิตสองใจ
……
บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน หลังจากได้ยินแผนการจากเจ้าประมุขคนปัจจุบัน บุรพาจารย์ก็ยิ้มเฝื่อน “คุ้มค่าจริงๆ หรือ? ไม่กลัวหรือว่าหลังผ่านศึกนี้ไปจะล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อีก ตระกูลฝูอาจจะร่วมมือกับสี่ตระกูลเขมือบกลืนพวกเรา?”
สีหน้าของซุนเจียซู่เป็นปกติ “ข้าแค่เจ็บใจที่สมบัติของตระกูลซุนไม่มากพอ ข้าซุนเจียซู่จึงได้แต่เดิมพันให้ใหญ่โตถึงขนาดนี้”
บุรพาจารย์ตระกูลซุนเงียบงันไปนาน ก่อนจะถามว่า “ถ้าเด็กหนุ่มคนนั้นรู้เจตนาเดิมของพวกเราล่ะ?”
สายตาของซุนเจียซู่ยืนกรานหนักแน่น “เขาไม่มีทางรู้ ต่อให้ถอยไปพูดหมื่นก้าว เขารู้ความจริง ทว่าตระกูลซุนของพวกเราจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงเพียงนี้เพื่อเขา การตอบแทนของเขาในวันหน้ามีแต่จะมาก ไม่มีน้อย”
บุรพาจารย์ตระกูลซุนถามอีกว่า “กระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์เฉพาะหน้าขนาดนี้ จะเหมาะสมจริงๆ หรือ? จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ น้ำมาคลองสำเร็จเหมือนการฝ่าขอบเขตสามสู่ขอบเขตสี่อย่างเด็กหนุ่มไม่ได้หรือ?”
ซุนเจียซู่ส่ายหน้า “ข้าซุนเจียซู่คนเดียวย่อมรอได้ ทว่าแนวโน้มสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปและของใต้หล้าไม่สามารถรอได้!”
บรรพบุรุษขอบเขตก่อกำเนิดของตระกูลซุนท่านนี้ได้แต่ถอนหายใจ ไม่พูดเกลี้ยกล่อมอะไรอีก
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็เดินจากห้องในหอสูงของเมืองในกลับมาที่บ่อน้ำของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน
เวลาต่อมาผ่านไปอย่างสุขสงบ ลมพัดโชยแสงแดดอบอุ่น
ซุนเจียซู่ยังคงกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษทุกๆ สามวันห้าวัน
และทุกครั้งที่กลับมาจะต้องนอนค้างหนึ่งคืน และจะต้องเดิมพันกับผู้รับใช้ขอบเขตก่อกำเนิดทั้งสามท่านทุกครั้งที่มาค้าง ครั้งแรกเดิมพันด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ครั้งที่สองสองเหรียญ ครั้งที่สามสี่เหรียญ ครั้งที่สี่แปดเหรียญ
สุดท้ายซุนเจียซู่ที่เดิมพันสี่ครั้งแพ้ทั้งสี่ครั้งก็ไม่เดิมพันอีก
ส่วนเฉินผิงอันก็ยังคงไปตกปลาทุกคืน แล้วก็รอนาทีที่ดวงตะวันขึ้นทางทิศตะวันออก แสงอรุโณทัยสาดส่องไปหมื่นจั้ง
วันที่ยี่สิบที่เฉินผิงอันมาพักอยู่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ซุนเจียซู่ที่หลับด้วยวิชานั่งลืมตนของลัทธิเต๋าได้ยินเสียงตะโกนของเฉินผิงอันแว่วมาแต่ไกล “ซุนเจียซู่ รีบมาดูเร็วเข้า!”
ซุนเจียซู่ลุกพรวดขึ้นยืนแล้ววิ่งไปผลักหน้าต่างมองท้องฟ้า แม้แต่รองเท้าก็ไม่สวม
เห็นเพียงว่าทะเลเมฆทางทิศตะวันออกมีมังกรทองหลายสิบตัวกระโจนพรวดลงมาอีกครั้ง จากนั้นก็ถูกเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ใช้ท่าหมัดโบราณต่อยพวกมันกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า หมัดที่ปล่อยไปแต่ละครั้งสะใจเต็มคราบ ไม่มีลังเลเลยแม้แต่น้อย
ซุนเจียซู่ที่เห็นภาพนี้หมดอาลัยตายอยากกับความสูญเสีย
จิตแห่งเต๋าสูญเสียการควบคุม เกือบจะพังทลาย
โชคดีที่บรรพบุรุษตระกูลซุนรีบมาอยู่ข้างกายเขา ยื่นมือมากดไหล่เขาหนักๆ “เจียซู่ เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ ต้นไม้ที่ดี (เจียซู่ คำเดียวกับชื่อของซุนเจียซู่) ย่อมเขียวขจีได้ทั้งสี่ฤดู แต่คนกลับไม่สามารถสมปรารถนาไปเสียทุกเรื่อง ปีนั้นที่ตั้งชื่อนี้ให้กับเจ้าก็เพื่อวันนี้”
สีหน้าของซุนเจียซู่ซีดขาว พึมพำว่า “ช้าไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
แม้ว่าสภาพจิตใจของเขาจะยังมั่นคง แต่กระนั้นจิตวิญญาณก็หลุดลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ราวกับว่าเพิ่งสูญเสียนครมังกรเฒ่าไปทั้งแห่ง
……
เมืองในของนครมังกรเฒ่า หน้าปากตรอกนอกร้านยาฮุยเฉิน เจิ้งต้าเฟิงมองไปยังแสงอรุณรุ่งทางทิศตะวันออกแล้วพลันกระจ่างแจ้ง รีบควักตำราเล่มนั้นออกมา เปิดไปถึงหน้าของบท ‘ความจริงใจ’ แล้วอ่านอยู่ในใจ เมื่อภาพปรากฎการณ์พิเศษแห่งฟ้าดินสิ้นสุดลง เจิ้งต้าเฟิงก็ตบตำราจนแหลกละเอียด ไม่เหลือเบาะแสใดๆ ทิ้งไว้ เขาเดินกลับเข้าไปในตรอก พูดด้วยหน้าตาบึ้งตึง “ผู้ถ่ายทอดมรรคา ฮ่าๆ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของข้าเจิ้งต้าเฟิง…”
—–