เจิ้งต้าเฟิงมองเห็นว่าบนเสาต้นใหญ่ที่สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่งของประตูสวรรค์ มีแม่ทัพเทพที่มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ห่มเสื้อเกราะสง่างามเคร่งขรึมลักษณะคล้ายน้ำค้างแข็งอยู่คนหนึ่ง แม่ทัพเทพถูกกระบี่เล่มหนึ่งปักตรึงอยู่บนเสาประตูสวรรค์ เลือดสดสีทองอร่ามไหลนองอาบเสา
ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงเงยหน้ามองศพที่ตายอนาถศพนั้น
มีอยู่ชั่ววินาทีหนึ่งที่คล้ายว่าศพของแม่ทัพเทพจะฟื้นคืนชีพกลับมา ประสานสายตากับเจิ้งต้าเฟิง ริมฝีปากของแม่ทัพเทพขยับเบาๆ ราวกับกำลังพูดคำหนึ่งว่า
หนีไป!
ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงเกือบจะขวัญสลาย จิตวิญญาณแตกดับ และยิ่งเกือบจะกลายเป็นคนน่าสงสารที่เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขต ขอบเขตก็ถอยร่นตกต่ำ
ตอนนั้นการปรากฏตัวของฝูฉีช่วยให้เจิ้งต้าเฟิงหลุดพ้นพันธนาการนั้นมาได้ และคำถามของเฉินผิงอันในเวลานี้ก็ทำลายความคิดของเจิ้งต้าเฟิงลง
“เจิ้งต้าเฟิง ขอบเขตสามของข้าปูรากฐานมาได้ด้วยหมัดของคนอื่นที่ต่อยข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมื่อรากฐานของฟ่านเอ้อร์ไม่ถือว่าดีนัก ทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยเขา?”
เจิ้งต้าเฟิงจ้องเป๋งไปยังเจ้าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วหลุดหัวเราะ “เจ้ารู้สึกว่ารากฐานขอบเขตสามของฟ่านเอ้อร์ ‘ไม่ถือว่าดีนัก’?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “หรือว่าแท้จริงแล้วคือ ‘ไม่ดีอย่างมาก’?”
เจิ้งต้าเฟิงเกือบจะสำลักควันตาย พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ไม่ดีกะผีน่ะสิ! ไม่พูดถึงข้าเจิ้งต้าเฟิง ศิษย์พี่รองหลี่เอ้อร์ แน่นอนว่ายังมีอ๋องเจ้าแคว้นอย่างซ่งจ่างจิ้งนั่นอีกคน หากพูดตามมาตรฐานทั่วไปของผู้ฝึกยุทธ์ในแจกันสมบัติทวีป รากฐานของฟ่านเอ้อร์ตั้งแต่ขอบเขตหนึ่งถึงขอบเขตสามล้วนปูมาดีมากพอแล้ว อีกอย่างเดิมทีฟ่านเอ้อร์เองก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ แต่เจ้ากลับพูดว่าไม่ถือว่าดีนัก? ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในแจกันสมบัติทวีปก็ควรเอาก้อนเต้าหู้มาทุบหัวตัวเองให้ตาย หรือจะใช้สายรัดเอวของพวกผู้หญิงมาแขวนคอตายก็ได้”
เฉินผิงอันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มักจะรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่กำลังผลักภาระความรับผิดชอบ วันๆ เอาแต่หยอกเย้าพวกสตรีในร้านยา ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับฟ่านเอ้อร์สักเท่าไหร่
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตาหยีพูดว่า “ตอนนี้ยังต้องเพิ่มเจ้าไปอีกคน หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนนั้นรากฐานขอบเขตสามของหลี่เอ้อร์อาจจะด้อยกว่าเจ้านิดหน่อยด้วย แต่เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบดีใจเร็วเกินไปนัก เจ้าก็แค่ได้ดิบได้ดีในขอบเขตสามเท่านั้น รากฐานขอบเขตเก้าของหลี่เอ้อร์เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก ขอบเขตแปดของข้าก็พอๆ กัน แปลกใจจริง ใครกันที่มีความสามารถยิ่งใหญ่ถึงขนาดใช้หมัดปูรากฐานขอบเขตสามของเจ้าได้ดีขนาดนี้? ท่านผู้เฒ่าคงไม่ได้เรียกหลี่เอ้อร์กลับมาที่ถ้ำสวรรค์หลีจูเพื่อให้เขาสอนเจ้าเองกับมือหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เป็นคนอื่น”
คราวนี้เจิ้งต้าเฟิงอยากรู้จริงๆ ยาก็ไม่สูบอีกต่อไป “คนผู้นั้นหล่อหลอมร่างกายและจิตใจให้เจ้าอย่างไรกันแน่?”
เฉินผิงอันนิ่วหน้าเล็กน้อย เพียงแค่นึกถึงสภาพการณ์ที่ตัวเองต้องเผชิญในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วก็รู้สึกใจคอไม่ดี
เจิ้งต้าเฟิงพูดยิ้มๆ ว่า “แค่เล่าให้ฟังคร่าวๆ ก็พอ หากเจ้ายอมเล่า นอกจากการตกลงซื้อขายก่อนหน้านี้ ข้ายังจะมอบตำรากระบี่วิถีวรยุทธ์ที่เป็นขั้นพื้นฐานสุด แต่ถูกขนานนามให้เป็นตำราที่ ‘ไม่มีข้อผิดพลาดมากที่สุด’ ให้กับเจ้าอีกหนึ่งเล่ม ตอนนั้นท่านผู้เฒ่าซื้อมาจากเทพหยินตนหนึ่งที่ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นผู้ฝึกกระบี่ ข้ากับหลี่เอ้อร์ และหลี่หลิ่วสามคนต่างก็เคยศึกษากันมาก่อน เพียงแต่ว่ามันไม่มีความหมายกับข้าเลย หลักๆ แล้วท่านผู้เฒ่าซื้อมาเพื่อให้หลี่หลิ่วมากกว่า และสำหรับเจ้าเฉินผิงอันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดว่า “การหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าไม่ต่างอะไรจากทุบข้าวเหนียวปั้นเป็นขนมหมาฉือ (ขนมโมจิ) ง่ายๆ แค่นี้แหละ จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นข้ายังต้องทำอะไรบางอย่าง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วชี้ไปยังแขนของตัวเอง “ข้าต้องเลาะหนัง ดึงเส้นเอ็นของตัวเองออกมาทีละชุ่นช้าๆ ดวงตาก็ห้ามกะพริบ ห้ามถลกหนังให้หมดในคราวเดียว แล้วก็ห้ามดึงเส้นเอ็นให้ขาด ทุกครั้งจะต้องมีคนคอยบอกว่าสามารถหยุดได้ตอนไหน หลังจากนั้นก็จะถูกคนแบกไปแช่ในถังยา เพื่อที่ว่าบาดแผลจะประสานตัวหายดีโดยเร็ว”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยถาม “รวมแล้วกี่ครั้ง? หนึ่งสองครั้ง? สามสี่ครั้ง?”
เฉินผิงอันแสยะยิ้ม “ต้องทำทุกวัน สองมือก็นับไม่พอ”
เจิ้งต้าเฟิงทำหน้าเหลือเชื่อก่อน จากนั้นก็กุมท้องหัวเราะก๊าก “ดีๆๆ เห็นแก่ที่เจ้าต้องลำบากทนทรมานมามากขนาดนี้ พอข้าผู้อาวุโสนึกถึงแล้วก็ให้อารมณ์ดียิ่งนัก เดี๋ยวกลับไปข้าจะจัดระเบียบรวบรวมตำรากระบี่เล่มนั้นให้ดี รับรองว่าจะไม่เล่นตุกติกใดๆ จะมอบให้เจ้าอย่างสมบูรณ์แบบทั้งเล่มเลย!”
เฉินผิงอันเหลือกตามองสูงใส่
คนผู้นี้นี่น่าเบื่อชะมัด
แต่พอคิดแล้วก็เข้าใจได้ ถ้าไม่น่าเบื่อจริง จะมาเปิดร้านยาที่วันๆ ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่ายอย่างนี้ได้ยังไง?
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะอยู่พักใหญ่ กว่าจะหยุดเสียงหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย “รากฐานที่มีมาตั้งแต่เกิดของฟ่านเอ้อร์ไม่ได้แย่ไปกว่าเจ้า แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคุณชายน้อยตระกูลใหญ่ ผ่านการขัดเกลามาน้อย ดังนั้นรากฐานวิถีวรยุทธ์ตลอดทั้งร่างที่ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือเนื้อหนังมังสา เมื่อเทียบกับพวกเราแล้วก็ยังถือว่าแข็งนอกอ่อนใน ไม่สามารถทนรับการทรมานอย่างที่เจ้าเผชิญมาได้ หากเจอเข้าจริงคงแตกสลายได้ง่าย”
เจิ้งต้าเฟิงใช้สองนิ้วคีบจอกสุราที่อยู่บนโต๊ะ จอกใบนั้นแหลกสลายกลายเป็นผุยผงในทันที
เจิ้งต้าเฟิงพูดเรียบๆ ว่า “วิถีวรยุทธ์สำคัญกว่า หรือว่าชีวิตสำคัญกว่า?”
เฉินผิงอันเริ่มเก็บชามและตะเกียบ
อารมณ์ของเจิ้งต้าเฟิงหนักอึ้งขึ้นมาทันที
เพราะเขาเพิ่งค้นพบว่า เรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันถูกทุบแตก น้ำบ่อนั้นลึกมาก ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งยิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้
พอเห็นท่าทางที่เก็บถ้วยชามอย่างคล่องแคล่วของเฉินผิงอัน จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็รู้สึกสงสารเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เฉินผิงอัน?
นอกจากแซ่ที่ไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงแล้ว ชื่อนี้ดูเหมือนจะตั้งได้ดีกระมัง?
เจิ้งต้าเฟิงถามชวนคุย “เฉินผิงอัน หน้าตาเจ้าเหมือนใคร เหมือนพ่อเจ้าหรือว่าเหมือนแม่เจ้า?”
เฉินผิงอันหลุดปากตอบว่า “เคยได้ยินพวกคนเฒ่าคนแก่พูดว่าหน้าตาข้าเหมือนไปทางท่านแม่มากกว่า”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ปรายตามองเจิ้งต้าเฟิง “แต่ไม่ว่าจะเหมือนใคร ข้าก็หน้าตาดีกว่าเจ้าแล้วกัน”
เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงขุ่น “ไปๆๆ ไปเก็บจานอาหารของเจ้านู่นเลย!”
สำหรับเจ้าเด็กคนนี้ ข้าผู้อาวุโสไม่น่าจะเห็นอกเห็นใจเขาเลย
……
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หน้าแท่นมังกรริมชายหาดตะวันออกของนครมังกรเฒ่า ฝูฉีเจ้านครเดินทางขึ้นทะเลเมฆไปตรวจสอบปรากฎการณ์ประหลาดเป็นนานไม่ยอมกลับมา ข้ารับใช้ขอบเขตโอสถทองที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ริมทะเลคนนั้นจึงออกจากสถานที่ฝึกตนมาอยู่ข้างกายฝูหนันหัวนายน้อยของนคร ฝูหนันหัวถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง เมื่อมองตามสายตาของผู้เฒ่าไปก็เห็นว่าห่างไปไกลมีบุรุษคนหนึ่งที่วางกระบี่พาดขวางไว้ทางด้านหลังกำลังเดินตรงมาช้าๆ ท่าทางของเขาผ่อนคลายคล้ายคนต่างถิ่นคนหนึ่งที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ ฝูหนันหัวมองไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย จึงถามเบาๆ ว่า “ตบะของคนผู้นี้สูงมากหรือ?”
ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองสามารถใช้กำลังของตัวเองคนเดียวช่วยพิทักษ์หอมังกรให้กับตระกูลฝูได้ พลังการต่อสู้ย่อมไม่ธรรมดา อาวุธอาคมสองชิ้นของเขามีทั้งรุกและรับ คือผู้แข็งแกร่งที่มีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ ของนครมังกรเฒ่า เวลานี้สีหน้าของผู้เฒ่าไม่มีความผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มหนักว่า “ดูท่าแล้วจะสูงอย่างถึงที่สุด”
ฝูหนันหัวตื่นตะลึงเล็กน้อย ประโยคนี้พูดได้อย่างมีนัยยะ ไม่ใช่ที่คำว่าสูงอย่างถึงที่สุด แต่เป็นคำว่า ‘ดูท่าแล้ว’ นี่หมายความว่าขนาดผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองก็ยังมองไม่ออกถึงศักยภาพที่แท้จริงของอีกฝ่าย อีกทั้งยังมีแต่จะสูงกว่าไม่ต่ำกว่าขอบเขตเก้าโอสถทองของผู้เฒ่า ที่น่ากลัวที่สุดก็คือแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นพกกระบี่มาด้วย ต่อให้เป็นก่อกำเนิดที่อยู่เหนือโอสถทอง หากเจอกับผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการสังหารของตบะขอบเขตสิบแล้วจะเป็นยังไง ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ได้
ฝูหนันหัวถามอีกครั้ง “เขามาพร้อมเจตนาร้าย?”
ขอบเขตโอสถทองส่ายหน้า “เหมือนจะไม่ใช่”
คนผู้นั้นเดินเอื่อยเฉื่อยตรงมา ไม่สนใจกฎเกณฑ์ของพื้นที่ต้องห้ามที่ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าตั้งไว้แม้แต่น้อย เขาข้ามค่ายกลบ่อสายฟ้าที่มองไม่เห็นมาโดยตรง แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่ากับฝูหนันหัว บุรุษใช้ข้อศอกสองข้างยันบนฝักกระบี่ที่วางพาดขวางไว้ด้านหลัง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าชื่อสวี่รั่ว มาจากต้าหลี ตอนนี้มาเป็นแขกของตระกูลเจ้า”
ฝูหนันหัวเข้าใจได้โดยพลัน ตอนนั้นที่เรือข้ามฟากลดตัวลงจอดในนครฝู ตนไม่มีคุณสมบัติให้ไปรับแขกผู้มีเกียรติจากต้าหลีพร้อมฝูฉีผู้เป็นบิดา ในตระกูลมีเพียงคนแค่หยิบมือเท่านั้นที่ได้ไป ‘รอรับเสด็จ’ ฝูหนันหัวไม่กล้าทำตัวอวดฉลาดกับเรื่องแบบนี้ ในเมื่อบิดาไม่ต้องการให้เขาเผยโฉม นั่นก็แสดงว่าต้องมีความหมายที่ลึกล้ำซ่อนอยู่ เขาจึงได้แต่แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ทว่าชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของสวี่รั่วนั้น ฝูหนันหัวเคยได้ยินมานานแล้ว ไม่ใช่สวี่รั่วแห่งต้าหลี แต่เป็นสวี่รั่วแห่งสำนักโม่ พอได้ยินคนผู้นี้แนะนำตัว เขาก็รีบสะกดกลั้นระลอกคลื่นที่กระเพื่อมอยู่ในหัวใจ ยกมือขึ้นคารวะทันที “ฝูหนันหัวคารวะผู้อาวุโสเซียนกระบี่”
สวี่รั่วยิ้มกุมหมัดคารวะตอบ
พอยืดตัวขึ้นตรง ฝูหนันหัวก็หันไปยิ้มพูดกับผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทอง “ท่านปู่ฉู่ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”
ไม่คิดว่าหลังจากหายตกตะลึง ผู้เฒ่าจะกุมมือโค้งตัวคารวะนิ่งอยู่เป็นนาน แสดงความนอบน้อมจริงใจเสียยิ่งกว่าเด็กรุ่นหลังอย่างฝูหนันหัวซะอีก “ฉู่หยางลูกหลานอกตัญญูแห่งสกุลฉู่ชุ่ยเวยจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางขอเป็นตัวแทนตระกูลขอบพระคุณจอมยุทธ์ใหญ่สวี่ที่ช่วยชีวิต!”
สวี่รั่วหลุดหัวเราะพรืด เคราะห์ภัยที่เกิดขึ้นในสกุลฉู่ชุ่ยเวยปีนั้น เขาสวี่รั่วก็แค่ผ่านทางไปพบเข้า จึงให้ความช่วยเหลือโดยช่วยรับหน้าการพัวพันเอาเรื่องจากตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่งที่ชื่อมีคำว่าสำนักแทนตระกูลฉู่ เขาโบกมือกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้ ข้าก็แค่ยึดตามหลักปฏิบัติของสำนักโม่เท่านั้น”
ผู้เฒ่ายังคงไม่ยืดตัวขึ้น เขาพูดเสียงสั่นว่า “พระคุณยิ่งใหญ่ก็คือพระคุณยิ่งใหญ่ หากไม่เป็นเพราะจอมยุทธ์ใหญ่สวี่ลงมือช่วยเหลือ ฉู่หยางก็คงกลายเป็นสุนัขไร้บ้านไปจริงๆ แล้ว ต่อให้วันหน้าอยากจะระลึกถึงบรรพบุรุษหวนกลับวงศ์ตระกูลก็คงเป็นเพียงความฝันเพ้อฝัน จอมยุทธ์ใหญ่สวี่มีความจริงใจและมีน้ำใจ ย่อมไม่เก็บเรื่องแบบนี้มาใส่ใจ แต่ฉู่หยางไม่กล้าทำตัวเป็นคนเนรคุณเด็ดขาด!”
สวี่รั่วกล่าวอย่างอ่อนใจ “ความจริงใจข้ารับไว้แล้ว แต่เจ้าเอาแต่ค้อมเอวอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง”
ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถที่ใบหน้าแก่กว่าสวี่รั่วถึงหนึ่งรุ่นเก็บท่าคารวะใหญ่นั้นลง มองไปทางเซียนกระบี่ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเอาภูเขาและแม่น้ำใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาผสานเข้ากับปณิธานกระบี่ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอจอมยุทธ์ใหญ่ที่แจกันสมบัติทวีป ฉู่หยางสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้ว ความอัดอั้นไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ ที่มีต่อตระกูลฝู ในที่สุดวันนี้ก็สลายหายไปเสียที!”
ฝูหนันหัวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ไม่เสียแรงที่เป็นบุคคลอันดับหนึ่งขอบเขตโอสถทองในนครมังกรเฒ่า นิสัยเจ้าอารมณ์จริงๆ แถมยังไม่เห็นแก่บุญคุณกันด้วย!
นอกเหนือจากความจนใจแล้ว ความคิดร้อยพันยังประดังประเดเข้าหาฝูหนันหัว ในอดีตตอนที่ฉู่หยางขอบเขตโอสถทองเดินทางมาถึงที่นครมังกรเฒ่านั้นมีนิสัยโอหังเย่อหยิ่ง เพราะเรื่องเล็กเรื่องเดียวก็เกิดความขัดแย้งกับตระกูลแซ่ใหญ่ตระกูลหนึ่งของนครมังกรเฒ่า ต่อสู้กันจนฟ้าดินพลิกคว่ำ ฉู่หยางใช้กำลังของตัวเองคนเดียวต่อสู้กับคนเป็นกลุ่มโดยที่ไม่ตกเป็นรอง ถึงท้ายที่สุดเป็นฝูฉีที่ลงมือด้วยตัวเอง เขาต่อสู้ครั้งใหญ่กับคนผู้นี้ด้วยตัวเองก่อน จากนั้นก็ทุ่มภูเขาเงินภูเขาทอง แล้วค่อยยกพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมอย่างหอมังกร ถึงทำให้ฉู่หยางยอมฝืนใจกลายเป็นหนึ่งในผู้รับใช้ของตระกูลฝู ต่อห้ตระกูลฝูจะจริงใจถึงขนาดนี้ ฉู่หยางก็ยังพูดกับตระกูลฝูตามตรงว่า วันหน้าไม่ว่าตระกูลฝูมีบุญคุณความแค้นใด ขอแค่ไม่เกี่ยวกันพับการล่มสลายของตระกูล เขาฉู่หยางจะไม่มีทางลงมือช่วยเหลือเด็ดขาด หากใครในตระกูลฝูกล้าเอาเรื่องบุญคุณมาข่มขู่ให้เขาตอบแทน ก็อย่าโทษหากเขาจะแตกหักไม่เห็นแก่หน้าใคร สุดท้ายตระกูลฝูจึงยอมฝืนใจยอมรับข้อเสนอ
ทว่าผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองที่มีหวังว่ากลายเป็นเซียนพสุธา เวลานี้กลับมีสภาพจิตใจและความคิดเช่นเดียวกับตอนที่เป็นฉู่หยางผู้ลึกล้ำเกินจะหยั่งซึ่งฝูหนันหัวเคยพบเห็นตอนยังเป็นเด็ก
จู่ๆ ฝูหนันหัวก็เกิดความใคร่รู้ว่า จอมยุทธ์สำนักโม่ผู้นี้จะมีคนที่เขาเลื่อมใสด้วยใจจริงหรือเปล่า? เวลาที่พบเจอกับคนผู้นั้นจะยอมลดตัวเองให้เป็นเพียงผู้น้อยที่แหงนหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจหรือไม่?
ฝูหนันหัวค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถจินตนาการภาพนั้นออกได้เลย
สวี่รั่วไม่สนใจจะพูดคุยปราศรัยกับผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทอง เขาเดินตรงขึ้นไปบนหอมังกร
ฉู่หยางไม่มีแม้แต่ความคิดจะออกเสียงเอ่ยเตือน ฝูหนันหัวอยากจะเปิดปากพูด แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงท้องไปอย่างรวดเร็ว
—–