เวทกระบี่หกกระบวนท่ามีรูปภาพประกอบหกรูป
กระดาษแผ่นที่มีภาพวาดค่อนข้างจะลึกลับและมหัศจรรย์ กระดาษแผ่นนั้นแตกต่างจากสีขาวหิมะของกระดาษแผ่นที่อยู่ข้างกัน สีกระดาษเป็นสีเงินอ่อน ภาพคนที่ถูกวาดไว้กำลังฝึกกระบี่อยู่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ท่าเริ่มต้นไปจนเก็บกระบี่ ทำซ้ำกลับไปกลับมาเป็นวงจรอย่างเอาจริงเอาจัง อีกอย่างในร่างของมือกระบี่ที่อยู่บนภาพวาดยังมีเส้นใยสีทองเส้นหนึ่งที่ไหลรินช้าๆ ไปตามวงโคจรที่พิเศษ
ต่อให้กระบวนท่าวิชากระบี่ในใต้หล้าจะมากมายซับซ้อนแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นท่าที่ตายตัว ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์อ่านแค่ไม่กี่รอบก็สามารถฝึกให้เหมือนได้ถึงแปดเก้าส่วน ประเด็นสำคัญยังอยู่ที่เส้นทางการโคจรลมปราณที่แท้จริงขณะออกกระบี่ และนี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเรียนวรยุทธ์ระดับสูงกลายมาเป็นวิชาที่ตระกูลหนึ่งต้องเรียนรู้ ลมปราณที่แท้จริงเฮือกนั้นของผู้ฝึกยุทธ์มีต้นกำเนิดมาจากช่องโพรงลมปราณตำแหน่งไหน ผ่านช่องโพรงกี่แห่ง สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่ตำแหน่งไหน ระหว่างนี้ต้องผ่านช่องลมปราณทั้งหมดทั่วทุกหนแห่งในรวดเดียว อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงช้าหรือเร็วก็ล้วนพิถีพิถันอย่างมาก ล้วนเป็นหลักความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ทำไมถึงมีคำเรียกขานว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอด? นั่นก็เพราะว่าจะไม่มีการเขียนบันทึกลงไปในตำราลับและกระดาษ แต่จะเป็นการสืบทอดกันปากต่อปากระหว่างอาจารย์และศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า
หน้าปกมีอักษรสี่ตัว ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’
คำนำมีหลายสิบตัวอักษร คร่าวๆ คืออธิบายถึงที่มาของตำรากระบี่เล่มนี้
เนื้อหาหลักอธิบายวิธีโคจรลมปราณของกระบวนท่าหกท่าไว้อย่างละเอียด
คำอธิบายประกอบมาจากความเข้าใจที่เจิ้งต้าเฟิงบรรลุมาเอง
เนื้อหาสี่ส่วน เจิ้งต้าเฟิงใช้วิธีการบรรยายสี่ประเภท งดงามเพริศพริ้ง เรียบร้อยสง่างาม กล้าหาญน่าเกรงขาม รวมไปถึงชดช้อยบอบบาง
บางจุดใช้หมึกหนาเข้มข้น ประหนึ่งสตรีโตเต็มวัยในร้านยาฮุยเฉิน บางจุดใช้หมึกเพรียวบาง บางจุดผสมผานทั้งหนาและบางเข้าด้วยกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ก็คือการโอ้อวดฝีมือในการเขียนพู่กันของเจิ้งต้าเฟิง
แต่จำต้องยอมรับว่าวิธีนี้ของเจิ้งต้าเฟิงทำให้เฉินผิงอันนับถืออย่างยิ่ง ในใจคิดว่าไม่เสียแรงที่เป็นคนเฝ้าประตูซึ่งวันๆ อยู่ว่างไม่ทำอะไร ทุกวันใช้กิ่งไม้ขีดเขียนลงบนพื้นก็ยังสามารถฝึกฝนฝีมือการเขียนพู่กันโดยมีรากฐานแน่นหนาได้ถึงเพียงนี้
หลังจากที่เฉินผิงอันปิดตำราลง ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถถึงได้เดินช้าๆ มานั่งลงตรงข้ามกับเด็กหนุ่ม “สถานที่แห่งนี้ได้ถูกร่มเงาของต้นกุ้ยบรรพบุรุษที่อยู่บนยอดเขาบดบังภาพปรากฎการณ์เอาไว้แล้ว ขอแค่ความเคลื่อนไหวไม่มากเกินไป แขกบนเรือข้ามฟากที่อยู่ด้านนอกล้วนสัมผัสไม่ถึง เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ได้บอกขอบเขตของข้ากับเจ้าแล้ว วันนี้เป็นวันแรกที่จะประลองกระบี่ ก่อนที่จะทำเช่นนั้น ข้าจะพูดเกริ่นนำมากสักหน่อย หากพูดถึงเรื่องที่เจ้าเคยรู้มาก่อนแล้ว เจ้าสามารถบอกกับข้าได้โดยตรง ข้าจะข้ามไปเอง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวม
ผู้เฒ่าจึงเริ่มเอ่ยเนิบช้า “บนภูเขามีคำพูดกล่าวว่า หกสิบปีฝึกลมปราณแก่เฒ่า ร้อยปีฝึกกระบี่ยังเด็ก คำกล่าวนี้ก็คือบอกว่าผู้ฝึกลมปราณที่อายุหกสิบปีแล้วเพิ่งเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางไม่ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนอะไรแล้ว แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกถ้ำสถิตที่ต่อให้ตอนฝ่าทะลุขอบเขตจะอายุสูงถึงหนึ่งร้อยปี ก็ถือว่ายังเป็นผู้ฝึกลมปราณที่อายุน้อยมีความสามารถ อนาคตสดใสราวกับปูด้วยผ้าแพร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”
ไม่ต้องให้เฉินผิงอันเปิดปากพูด ผู้เฒ่าที่ถามเองก็ตอบเองว่า “ง่ายมาก ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเรามีพลังการสังหารสูงมาก เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า การเป็นผู้ฝึกลมปราณไม่ใช่เรื่องง่าย จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยิ่งต้องมีพรสวรรค์ สุดท้ายจะสามารถบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาได้หรือไม่ก็คือธรณีประตูใหญ่อีกแห่งหนึ่ง และกว่าจะหล่อเลี้ยงกระบี่บินออกมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ แล้ว จะสามารถเลี้ยงให้บรรพบุรุษน้อยที่กินภูเขาเงินภูเขาทองท่านนี้มีชีวิตรอดได้หรือไม่ก็ยากบวกยากเข้าไปอีก ข้าหม่าจื้ออายุสองร้อยเจ็ดสิบปี เมื่อแปดสิบปีก่อนก็เลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองแล้ว ตอนนั้นยังก่อให้เกิดความครึกโครมไม่น้อยในนครมังกรเฒ่า ห้าสกุลใหญ่มีสี่สกุลที่พร้อมใจกันเชื้อเชิญให้ข้าไปเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ตระกูล…บุรุษที่ดีไม่พูดถึงความกล้าหาญในอดีต ไม่พูดเรื่องเล็กน้อยพวกนี้แล้ว จะบอกแค่ว่าตอนนั้นที่ข้าฝ่าทะลุขอบเขตก็เข้าใจเรื่องหนึ่งแล้ว นั่นคือชั่วชีวิตนี้ไม่ต้องไปคิดถึงเทพเซียนพสุธาขอบเขตก่อกำเนิดอะไรแล้ว เพราะอะไร?”
ผู้เฒ่าถามเองตอบเองอีกครั้ง “หนึ่งคือพรสวรรค์ไม่มากพอ สองคือไม่มีเงิน”
ผู้เฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “หากตระกูลฟ่านเต็มใจทุ่มทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลมาช่วยหล่อหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้ข้า ช่วยซื้อวัตถุดิบวิเศษจากทั่วสารทิศมาหลอมเตาหลอมกระบี่ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยให้ข้าฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตเก้าได้อย่างราบรื่น แต่ต่อให้ตระกูลฟ่านจะดีสักแค่ไหนก็ไม่มีทางทำแบบนี้ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้แซ่ฟ่าน”
แม้ว่าผู้เฒ่าจะเข้าใจ แต่ก็ยังอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ บนใบหน้าแก่ชราปกปิดความหม่นหมองเซื่องซึมเอาไว้ไม่มิด
ตระกูลฟ่านทำเช่นนี้ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว
ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองจะกำลังโน้มน้าวตัวเอง เพื่อให้ตัวเองเปิดใจได้กว้าง เขาพูดเหมือนคุยกับตัวเอง “ก็เหมือนภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ยืนเคียงไหล่ทัดเทียมกับลัทธิเต๋าซึ่งยังต้องแบ่งออกเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อจากจวนเทียนซือและเทียนซือต่างแซ่ เทียนซือต่างแซ่หลายต่อหลายรุ่นไม่เคยขาดเทพเซียนพสุธาห้าขอบเขตบนที่ฝีมือเลิศล้ำ ถึงขั้นที่ว่าในประวัติศาสตร์ยังมีสถานการณ์ที่มรรคกถาของเทียนซือต่างแซ่เหนือกว่าเทียนซือใหญ่ในจวนเทียนซือด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นตราประทับเทียนซือหรือกระบี่เซียนสักเล่มก็ไม่เคยตกไปถึงมือของเทียนซือต่างแซ่”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากสำหรับเฉินผิงอัน เขาจึงพยักหน้ารับ “ทหารคือศาสตราวุธอันร้ายกาจของแคว้น อันที่จริงพลังอำนาจของตระกูลเซียนที่สูงศักดิ์และใหญ่โตทั้งหลายไม่ได้แตกต่างจากกองกำลังของแคว้นหนึ่งสักเท่าไหร่ ลำพังพูดถึงแค่ตระกูลหนึ่งหรือแค่แคว้นหนึ่ง หากไม่มีกฎเกณฑ์เลยสักนิด ต่อให้ปัจจุบันจะเจริญรุ่งเรืองมากแค่ไหน แต่ก็เป็นการทิ้งต้นตอของโรคร้ายเอาไว้ เกรงว่าลูกหลานรุ่นหลังคงต้องทุ่มเทพละกำลังอีกหลายเท่าตัวถึงจะแก้ไขปัญหาจากต้นตอได้อย่างแท้จริง”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองพยักหน้าคล้อยตาม เป็นเพราะเข้าใจผิดคิดมาตลอดว่าเด็กหนุ่มคือลูกหลานตระกูลผู้สูงศักดิ์ ดังนั้นการอธิบายครั้งนี้ของเฉินผิงอันจึงไม่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่
จากนั้นผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองก็ทอดถอนใจ “แม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าในโลกวุ่นวายที่มีเหล่าเซียนซือถือกำเนิด มีปีศาจมารร้ายสร้างหายนะแห่งนี้ก็ยังคงมีบุคคลที่อาศัยแค่ความชื่นชอบของตัวเอง คิดจะใช้หนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างอยู่มากมาย แต่ก็ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่พวกเขาทำผิดไปซะทุกเรื่อง หากจะให้พูดประโยคที่ตรงกับใจ คนอย่างพวกเขาเรียกว่าทำเพื่อความสาแก่ใจโดยไม่สนฟ้าไม่เกรงดิน ในใจของคนนอกที่เฝ้ามองอยู่ย่อมอิจฉาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ว่าคนประเภทนี้มีได้ แต่ห้ามเคารพเลื่อมใสพวกเขาไปซะทุกคน โดยเฉพาะหากดูเรื่องสนุกมาจนชิน แล้ววันหนึ่งถูกหนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่กระแทกแสกหน้าของตัวเองเข้าจริงๆ นั่นต่างหากที่เรียกว่าน่าเวทนาโดยแท้”
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าต้องเคยเจอกับหายนะอยุติธรรมที่อยู่ดีๆ ก็หล่นลงมาจากฟ้าทำนองนี้มาก่อน
ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที ขอบเขตโอสถทอง โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้เป็นในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังมีพื้นที่ให้หยัดยืน ไม่ต่างจากการที่จ้วงหยวน (จอหงวน) ของแคว้นหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปได้กลายเป็นจิ้นซื่อ แต่ถึงอย่างไรก็ยังทำอะไรได้ไม่เสรีเหมือนเทพเซียนที่แท้จริง
หม่าจื้อข่มกลั้นคลื่นกระเพื่อมในใจลง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณชายเฉินเป็นคนบนวิถีวรยุทธ์ แต่ในเมื่อคิดจะฝึกกระบี่ ใช้ข้าเป็นศัตรูในจินตนาการ ก็ควรจะรู้รายละเอียดเบื้องลึกของผู้ฝึกลมปราณ…”
จู่ๆ หม่าจื้อก็หยุดพูดประโยคถัดไป “คิดดูแล้วคุณชายเฉินน่าจะรู้เรื่องพวกนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าไม่พูดให้มากความดีกว่าไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อาจารย์หม่าพูดมาได้เลย คำพูดดีๆ ต่อให้พูดมากก็ยินดีฟัง”
หม่าจื้อยิ้มบางๆ “ห้าขอบเขตกลางของผู้ฝึกลมปราณ ถ้ำสถิต ชมมหาสมุทร ประตูมังกร โอสถทอง ก่อกำเนิด ขอบเขตโอสถทองของข้าในเวลานี้สามารถรวบรวมลมปราณทั้งหมดในมหาสมุทรลมปราณให้กลายเป็นยาสีทองหนึ่งเม็ด ส่วนระดับขั้น ความเล็กใหญ่และภาพลักษณ์ของโอสถทองจะแตกต่างกันไปตามตัวบุคคล โดยทั่วไปแล้วหากดูจากห้องโอสถในช่วงขอบเขตประตูมังกรจะพออนุมานสภาพดีร้ายของโอสถทองได้คร่าวๆ ตัวข้านั้นเป็นเพราะห้องโอสถในช่วงแรกเริ่มหยาบไปหน่อย สร้างโอสถได้ด้วยความบังเอิญ ระดับขั้นของโอสถทองจึงไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ ถึงได้รู้ว่าตัวเองไร้ความหวังในขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว หากไม่เป็นเพราะเรื่องนี้ ข้าหม่าจื้อที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง ทำไมถึงยังสู้ฉู่หยางที่สร้างกระท่อมฝึกตนที่หอมังกรไม่ได้? ตลอดหลายปีมานี้ไม่รู้ว่าพวกที่เป็นขอบเขตโอสถทองเหมือนกันและพวกเด็กรุ่นหลังห้าขอบเขตกลางสักกี่คนในนครมังกรเฒ่าแอบหัวเราะเยาะข้าหม่าจื้อด้วยเรื่องนี้ นานวันเข้าก็มีประโยคหนึ่งที่คนพูดกันติดปากว่า ตอนเด็กเฉลียวฉลาด โตมาใช่ว่าจะมีความสามารถ หม่าจื้อเองก็เช่นกัน…”
พูดถึงเรื่องน่าอายนี้ หม่าจื้อกลับหัวเราะร่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีปมในใจแม้แต่น้อย
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “อาจารย์หม่า ข้าขอถามประโยคหนึ่งที่เกี่ยวกับขอบเขตของท่านได้หรือไม่?”
หม่าจื้อพยักหน้ารับ “ไม่มีอะไรที่ถามไม่ได้”
เฉินผิงอันเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์หม่าเลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกรตอนอายุเท่าไหร่ ในห้องโอสถมีภาพกี่ภาพ มีทัศนียภาพกี่รูปแบบ?”
ในใจหม่าจื้อกระจ่างแจ้งในฉับพลัน
เป็นลูกหลานตระกูลเซียนอันดับหนึ่งบนภูเขาจริงๆ ด้วย หาไม่แล้วคงไม่มีทางถามคำถามเช่นนี้แน่
เพราะบางทีต่อให้เป็นชั่วชีวิต พวกผู้ฝึกตนอิสระที่โชคดีได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็ไม่มีทางรู้เลยว่าห้องโอสถของขอบเขตประตูมังกรอาจไม่ได้มีม้วนภาพเพียงภาพเดียว ผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่แท้จริงสามารถมี ‘ภาพฝาผนัง’ ในห้องโอสถได้สองภาพ ผู้ฝึกตนอาวุโสที่หม่าจื้อได้สัมผัสมาในชีวิตนี้มีเซียนพสุธาก่อกำเนิดหลายท่านที่มีสองภาพ เทพเซียนขอบเขตหยกดิบท่านหนึ่งมีมากถึงสามภาพ น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง
หม่าจื้อลูบหนวดยิ้ม บอกความจริงตรงไปตรงมาอย่างไม่ได้คิดจะปิดบัง “ก่อนหน้านี้เคยพูดไปแล้วว่าข้าหม่าจื้อเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าโอสถทองตอนอายุหนึ่งร้อยเก้าสิบปี ส่วนขอบเขตประตูมังกรนั้น นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว เป็นตอนที่ข้าอายุหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าปี เพราะข้าฝึกตนค่อนข้างช้า หาไม่แล้วก่อนอายุร้อยปีให้เป็นปลาหลีข้ามประตูมังกรก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย”
เฉินผิงอันทำหน้าตะลึงงัน กลืนน้ำลายดังเอื้อก
หม่าจื้อนึกว่าเด็กหนุ่มตกตะลึงในพรสวรรค์ด้านการฝึกตนของตน รอยยิ้มของผู้เฒ่าจึงเพิ่มมากขึ้นหลายส่วน
ไม่รู้เลยว่าที่เฉินผิงอันถามอย่างนี้เพราะจำได้ว่าคราวนั้นที่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงของตัวเอง แม่นางคนหนึ่งพูดพึมพำกับตัวเองด้วยความขุ่นเคืองไม่พอใจ แต่เฉินผิงอันที่เงี่ยหูฟังกลับได้ยินชัดเจนทุกคำ เช่นว่า ‘ข้าแค่เลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกร’ ‘ในห้องโอถสมีหกภาพ’ ‘ยังไม่แต้มนัยน์ตามังกร ยังไม่มีนางฟ้าบินขึ้นสวรรค์’ …
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวากลิ่นหอมเงียบๆ เพื่อระงับอาการตกใจ ดื่มแล้วก็รีบดื่มอีกติดๆ กัน ด้วยยังตกตะลึงไม่หาย
หม่าจื้อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กลับหันมายิ้มปลอบใจเด็กหนุ่ม “คุณชายเฉิน ด้วยพรสวรรค์ที่เลิศล้ำของเจ้า ต่อให้เดินอยู่บนเส้นทางของวิถีวรยุทธ์ ความสำเร็จในอนาคตมีแต่จะสูงไม่มีต่ำกว่าข้า ขอแค่ก้าวเดินได้อย่างมั่นคง มหามรรคาก็มีความหวัง! ไม่สู้ลองเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เริ่มจากการปรับตัวให้เข้ากับปราณกระบี่ของข้าก่อน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ตกลง!”
หม่าจื้อลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามหลอมลมปราณ จิต วิญญาณและความกล้า แบ่งออกเป็นสามหุนเจ็ดพั่ว สามหุนได้แก่ไถกวาง ซ่วงหลิง โยวจิง ข้าก็จะใช้ปราณกระบี่สามอย่างที่ไม่เหมือนกันมาช่วยชำระ ชะล้างและขัดเกลาสามหุนในร่างกายของเจ้าก่อน ข้าจะกะน้ำหนักให้พอดีเอง ไม่ให้ทำร้ายไปถึงพลังต้นกำเนิดของเจ้า ช่วงเวลาระหว่างนี้เจ้าสามารถฝึกสี่กระบวนท่าป้องกันและโจมตีจากในตำรากระบี่เล่มนั้นไปพร้อมกันได้เลย ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเจ้าว่าจะทำได้หรือไม่…”
รอยยิ้มของผู้เฒ่าคลุมเครือมีเลศนัย
แม้ไม่รู้ว่าทำไมจิต วิญญาณและความกล้าของเด็กหนุ่มถึงเป็นรูปเป็นร่างมาตั้งแต่เนิ่นๆ แต่รสชาติการถูกปราณกระบี่ของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งแทรกซึมเข้าไปในช่องโพรงลมปราณ กวาดล้างสามหุนนั้นเป็นเช่นไร อย่าว่าแต่จะกัดฟันฝึกวิชากระบี่เลย จะยืนได้อย่างมั่นคงหรือไม่ก็ยังไม่แน่ จะว่าไปแล้ว หากเฉินผิงอันทำได้จริงๆ ต่อให้ยืนหยัดได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม การฝึกเวทกระบี่สี่กระบวนท่าที่บันทึกไว้ในตำรากระบี่เล่มนั้นต้องรุดหน้าอย่างว่องไวแน่นอน
“คุณชายเฉิน ระวังด้วยนะ ข้าจะใช้ปณิธานกระบี่ส่วนหนึ่งมาหยั่งเชิงระดับความหนาบางของสามหุนของเจ้าก่อน”
หม่าจื้อคลี่ยิ้ม กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งบินพุ่งออกจากหัวใจของผู้เฒ่ามาหยุดลอยอยู่ระหว่างคนทั้งสอง “กระบี่เล่มนี้ถูกข้าตั้งชื่อให้ว่าเหลียงอิน (ร่มเงาเย็นสบาย) ตอนที่กำเนิดขึ้นมาอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งพอดี อยู่ร่วมกับข้ามาสองร้อยกว่าปีแล้ว ไม่ได้แหลมคมเท่าใดนัก แต่เมื่อต่อกรกับศัตรู คิดจะทำร้ายร่างกายและจิตวิญญาณของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบกลับทำได้ไม่เลว”
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยแล้วตบแรงๆ สองที ห้ามไม่ให้กระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีกับสืออู่ที่อยู่ข้างในออกมาวาดลวดลายอวดบารมีต่อผู้อื่น
จากนั้นเฉินผิงอันก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ยืนนิ่งไม่ขยับ แม้แต่ลมหายใจก็ยังเหมือนกับเวลาปกติ
แต่ในใจผู้เฒ่ากลับรู้สึกตื่นตะลึงเป็นเท่าทวี
—–