ตอนที่ 264.1 ยันต์หนึ่งแผ่น

เกาะกุ้ยฮวาเหมือนอยู่ในก้นถ้วยขนาดใหญ่ใบหนึ่ง น้ำทะเลก็คือผนังถ้วยด้านใน

มีความเป็นไปได้มากว่าผู้โดยสารทุกคนจะกลายเป็นอาหารในจานให้กับลูกหลานของเจียวหลงเหล่านั้น

นี่จะเป็นงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ที่พวกมันไม่ได้พบเจอมานาน

เกาะกุ้ยฮวาและน้ำทะเลด้านล่างเรือข้ามฟากหยุดลอยอยู่นิ่งๆ แล้ว รอบด้านล้วนมีแต่สายตาเย็นชาน่าสะพรึงกลัวที่มาจากร่องน้ำเจียวหลง

สถานการณ์ในตอนนี้ลี้ลับอย่างถึงที่สุด บนเกาะกุ้ยฮวาเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ผู้คนที่อยู่บนนั้นมีทั้งความโมโหไม่พอใจต่อเกาะกุ้ยฮวา แล้วก็มีความลนลานทำตัวไม่ถูกกับหายนะที่หล่นลงมาจากฟากฟ้า และยิ่งมีคนแอบคิดคำนวณอยู่ในใจ ต่างคนต่างชั่งน้ำหนักยันต์คุ้มกันกายของตัวเอง พยายามจะหยิบเกาลัดออกจากกองไฟ (เปรียบเปรยว่าเสี่ยงตายเพื่อคนอื่น) หากทำสำเร็จขึ้นมาแล้วมีชีวิตอยู่ได้จนถึงท้ายที่สุด ไม่พูดถึงคลังสมบัติของเกาะกุ้ยฮวา แค่คลำไปตามศพของผู้ฝึกลมปราณทั้งหลายก็ได้ทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่เทียมฟ้าแล้ว

ด้านหน้าสุด น้ากุ้ยผู้ดูแลซึ่งอำพรางตัวตนมาตลอดเวลาหยุดลอยตัวอยู่เบื้องหน้าผนังหน้าผาติดน้ำทะเล คอยคุมเชิงอยู่กับเจียวเฒ่าสีทองตัวนั้น ภาษาที่ทั้งสองฝ่ายใช้ฟังยากอย่างยิ่ง ต้องไม่ใช่ภาษาทางการของทวีปใดๆ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นภาษาพิเศษเฉพาะเจียวหลงในยุคบรรพกาล ซึ่งถูกเมธีร้อยสำนักในยุคสมัยเรียกว่า ‘เสียงน้ำ’ ส่วนข้อที่ว่าทำไมน้ากุ้ยถึงเชี่ยวชาญภาษานี้ เหตุใดถึงกล้าบุกเข้าไปในถิ่นของศัตรูเพียงลำพัง กล้าคุมเชิงกับเจียวหลงจำนวนมากมาย พวกแขกบนเกาะกุ้ยฮวาคร้านจะคิดให้ลึกซึ้งแล้ว ใจพวกเขาปรารถนาอยากจะให้สตรีวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาผู้นี้กลายร่างมาเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนซะเดี๋ยวนั้น จะได้ช่วยกอบกู้สถานการณ์ จากนั้นพาเกาะกุ้ยฮวาขับเคลื่อนออกไปจากร่องน้ำเจียวหลงสมควรตายแห่งนี้สักที

ดูเหมือนว่าการสื่อสารระหว่างสตรีแต่งงานแล้วกับเจียวหลงสีทองจะไม่ค่อยราบรื่นนัก นางต้องระงับความเดือดดาล พยายามให้ตัวเองรักษาความสุขุมนิ่งสงบเอาไว้อย่างยากลำบาก นางกล่าวช้าๆ ว่า “จะไม่มีพื้นที่ว่างให้คลี่คลายสถานการณ์เลยหรือไง? จากที่ระบุไว้ในบันทึก ลำพังเพียงแค่ศพของเจียวโปรยพิรุณที่ตระกูลฟ่านช่วยลากกลับมาให้พวกเจ้าก็มากถึงสิบสองตัวแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ขอแค่ผ่านร่องน้ำเจียวหลงของพวกเจ้า เรือของตระกูลฟ่านที่ล่องผ่านก็จำเป็นต้องโปรยกระดาษพับสีเงินให้พวกเจ้าเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นของบรรณาการที่แสดงความเคารพให้กับการโปรยฝนของพวกเจ้า ไม่เคยขาดไปแม้แต่ครั้งเดียว…”

ดวงตาของเจียวเฒ่าเกล็ดสีทองตัวนี้ใหญ่เท่ากระด้งจริงๆ ในสายตาของมันเต็มไปด้วยความเย็นชา “กฎก็คือกฎ หากไม่รักษากฎ บนโลกจะมีร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ได้อย่างไร?”

น้ากุ้ยยังคิดจะอธิบายอะไรต่อ แต่เจียวเฒ่าสีทองกลับยกกรงเล็บขึ้นตบลงไปบนน้ำหนักๆ ทันใดนั้นกระแสน้ำก็พลันปั่นป่วน ลมพัดกระโชกแรงพุ่งเข้าหาน้ากุ้ยที่ยืนอยู่ ข้างแก้มนางถูกคลื่นลมตบให้ปวดแสบปวดร้อน แต่นางกลับไม่ได้ขัดขวาง ยิ่งไม่ได้อาศัยวิชาอภินิหารขอบเขตเซียนพสุธาของตัวเองหลบหนีไป แค่แข็งใจแบกรับไฟโทสะของเจียวเฒ่าในครั้งนี้เท่านั้น

เจียวเฒ่าหัวเราะเสียงหยัน “มีคนจงใจวางแผนเล่นงานเกาะกุ้ยฮวาของเจ้า ข้าไม่ได้ตาบอด ย่อมต้องมองออกอยู่แล้ว แต่กฎก็คือกฎ เกาะกุ้ยฮวาของพวกเจ้าไม่รู้จักดูคนให้ออกเอง ถึงได้ปล่อยให้ผู้โดยสารที่นั่งเรือข้ามฟากใช้ข้องราชามังกรมาจับเจียวน้อยโดยพลการ ทำลายกฎเกณฑ์ระหว่างพวกเราทั้งสองฝ่าย กุ้ยฮูหยินเจ้าสามารถจากไปได้ แต่ทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฟากจะต้องตายอยู่ที่นี่”

น้ากุ้ยส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขา”

ดวงตาคู่นั้นของเจียวเฒ่าเต็มไปด้วยความเย้ยหยันที่เย็นชา และยังมีสายตาฉายประกายเร่าร้อนของคนตะกละที่เห็นอาหารรสเลิศ สายตาหนึ่งร้อนหนึ่งเย็นสลับกันผุดลอยขึ้นมา “ข้ารู้ ถึงได้พูดอย่างนี้ไงล่ะ กุ้ยฮูหยิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่เจ้าเคลื่อนผ่านเหนือหัวของข้าไป ข้าจำเป็นต้องรักษากฎเกณฑ์ตายตัวห่วยๆ พวกนั้นแต่โดยดี การอดใจไม่กินเจ้าจำเป็นต้องใช้ความเพียรพยายามมากแค่ไหน?”

สุดท้ายน้ากุ้ยถามว่า “พูดคุยกันไม่ได้แล้วจริงๆ รึ?”

เจียวเฒ่าค่อยๆ ขยับเรือนกายที่ใหญ่ยาวราวเทือกเขาช้าๆ หนวดสองข้างส่ายไหวอยู่ในน้ำทะเล ส่องประกายแสงระยิบระยับ มันชำเลืองตามองเรือลำน้อยที่อยู่ห่างจากด้านหลังสตรีแต่งงานแล้วไปไม่ไกลแวบหนึ่ง คนพายเรือของเรือลำนั้นตายอนาถไปนานแล้ว ผู้โดยสารบนเรือคือชายฉกรรจ์ท่าทางหลุกหลิก มองดูเหมือนขี้ขลาดหวาดกลัว คอยเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา ในมือถือข้องขนาดเล็กเหมือนกรงจับจิ้งหรีด วัสดุทำมาจากงาช้าง กะทัดรัดน่ารัก

เจียวน้อยวัยเยาว์ที่เดิมทียาวประมาณหกเจ็ดจั้ง พอถูกจับแล้วร่างก็หดเล็กอยู่ในข้องใบนั้นเหมือนปลาหนีชิว มันกำลังดิ้นรนพุ่งชนไปทั่วกรงขัง ส่งเสียงร้องโหยหวนไม่หยุด

ผู้เฒ่าที่พายเรือให้จินซู่กับเฉินผิงอัน ตอนนี้ได้ลุกขึ้นมายืนอยู่บนผิวน้ำข้างเรือลำเล็กของชายฉกรรจ์คนนั้นแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวการแห่งหายนะในครั้งนี้หนีรอดไปได้

ส่วนข้อที่ว่าทำไมผู้เฒ่าพายเรือที่ตัวตนแท้จริงคือขอบเขตโอสถซึ่งพักอาศัยอยู่บนเกาะกุ้ยฮวาตลอดเวลาถึงได้ไม่ลงมือแย่งชิงข้องราชามังกรมาอย่างเด็ดขาด เหตุผลนั้นมีอยู่สองข้อ รอบกายของชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์ท่าทางเจ้าเล่ห์มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตบินล้อมวนอย่างเชื่องช้า กระบี่ยาวหนึ่งฉื่อ สีดำเหมือนหมึกตลอดร่าง มีควันดำเหนียวข้นผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง ขอบเขตต่ำสุดก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ประตูมังกรท่านหนึ่ง อีกอย่างก็คือคนพายเรือเฒ่ากลัวว่าคนชั่วผู้นี้จะลงมืออำมหิต ทำลายข้องราชามังกรกับเจียวน้อยไปพร้อมกัน ถ้าอย่างนั้นทั้งเกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้ก็คงต้องตายไปพร้อมไอ้หมอนี่จริงๆ แล้ว

คนพายเรือเฒ่าเอ่ยถามชายฉกรรจ์คนนั้นว่าทำไมต้องทำเรื่องที่ทำร้ายคนอื่นแล้วยังไม่ส่งผลดีกับตนเช่นนี้ด้วย ชายฉกรรจ์ที่เป็นตัวการของหายนะครั้งใหญ่แสยะยิ้ม เพียงแค่หันไปมองประเมินสถานการณ์รอบด้าน ไม่ได้ตอบคำถาม คนพายเรือเฒ่าถามหยั่งเชิงอีกหลายครั้ง พยายามจะอาศัยคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของชายฉกรรจ์มาประติดประต่อกันหวังอนุมานถึงคนที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังคนผู้นี้ จะเป็นคุณชายสกุลเจียงที่ลงเรือไปกลางทาง? หรือว่าตระกูลติงของนครมังกรเฒ่าที่ไม่ถูกกับตระกูลฝูเหมือนน้ำกับไฟ? น่าเสียดายที่ชายฉกรรจ์แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ยอมพูดมากแม้แต่คำเดียวราวกับกลัวว่าดอกพิกุลจะร่วงจากปาก

ผู้เฒ่าคนพายเรือรู้สึกจนใจอย่างมาก ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรเขาก็ต้องรอให้กุ้ยฮูหยินพูดคุยกับเจียวเฒ่าตนนั้นจนได้ผลลัพธ์เสียก่อน หากแน่ใจแล้วว่าเป็นเงื่อนตายอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่สังหารชายฉกรรจ์ตรงหน้าผู้นี้ พยายามช่วงชิงข้องราชามังกรมาให้ได้ก่อน ช่วยให้คนบนเกาะกุ้ยฮวาตายน้อยลงได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น! จะปล่อยให้กิจการพันปีของตระกูลฟ่านพังลงในวันนี้ พังลงในปากของเศษสวะเหลือเดนจากพวกนักโทษประหารยุคบรรพกาลพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

คนพายเรือเฒ่าทำจิตใจให้สงบ ไม่คาดหวังให้ชายฉกรรจ์ที่ไม่รู้ที่มาผู้นี้เปิดปากพูดอะไรอีก เพียงถามด้วยน้ำเสียงเฉยชา “เจ้าคิดว่าตัวเองจะหนีรอดไปได้งั้นหรือ? หนีไปจากใต้เปลือกตาของเจียวเฒ่าตัวนั้น? หนีไปจากร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้?”

ในที่สุดชายฉกรรจ์ที่หน้าตาไม่โดดเด่นก็แสยะปากยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดู?”

“ข้องเล็กใบนี้มีมูลค่าหลายเหรียญเงินฝนธัญพืช ยกให้เจ้าแล้ว! รับให้ดีล่ะ!” จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็โยนที่ระดับไม่สูงใบนั้นขึ้นสูง มีความเป็นไปได้ว่าข้องราชามังกรนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นต่ำที่ถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนมากเมื่ออาณาจักรสู่โบราณยึดครองกองกำลังบนภูเขาบางแห่งได้ เพียงแต่ว่าเมื่อกาลเวลาที่ยาวนานล่วงเลยผ่านไป ข้องราชามังกรถูกยึด เก็บรวบรวมและทำลายไปครั้งแล้วครั้งเล่า จำนวนจึงน้อยลงเรื่อยๆ จนแทบจะกลายมาเป็นของล้ำค่าหายากเทียบเคียงได้กับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

คนพายเรือวัยชราไม่ได้ยื่นมือไปรับข้องราชามังกรในทันที หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองหลงกลแผนชั่วร้าย แต่บังคับปราณวิญญาณให้มันหยุดอยู่ตรงหน้า พอเพ่งสายตามองไปเขาพลันเดือดดาลอย่างหนัก ที่แท้ไม่รู้ว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นแอบใช้วิธีอะไร เจียวน้อยในข้องถึงมีท่าทางใกล้ตาย เนื้อเละเลือดไหลโซม เส้นเอ็นและกระดูกล้วนโผล่ออกมาให้เห็น หายใจรวยรินเต็มที

ส่วนชายฉกรรจ์คนนั้นก็หัวเราะเสียงดัง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกลายมาเป็นควันดำโอบล้อมไปรอบกาย คีบยันต์สีทองใบหนึ่งไว้ระหว่างนิ้วสองข้าง “เดี๋ยววันหน้าจะซื้อสุราคารวะไปให้ที่หน้าหลุมศพของพวกเจ้า ฮ่าๆ น่าเสียดายก็แต่บนโลกนี้จะไม่มีเหล้าหมักกุ้ยฮวาแล้ว…”

ยันต์ส่องแสงสีทองวูบหนึ่ง ชายฉกรรจ์ก็หายวับไปจากเรือลำเล็กในเสี้ยววินาที

เจียวเฒ่าที่เกล็ดสีทองส่องแสงอร่ามสะบัดหัวหนึ่งที หนวดเส้นหนึ่งก็เหมือนแส้ยาวที่ฟาดโบยลงไปในน้ำทะเล ทั้งๆ ที่หนวดข้างนั้นโบยลงบนความว่างเปล่าใกล้กับร่างของตัวมันเอง

ทว่านาทีถัดมา ร่างหนึ่งหรือจะพูดให้ถูกคือร่างหนึ่งที่ถูกแบ่งออกเป็นสองท่อนก็ร่วงลงมาจากก้อนเมฆเหนือร่องน้ำเจียวหลง ก็คือร่างของชายผู้ฝึกกระบี่ที่อาศัยยันต์หลบหนีไปจากร่องน้ำเจียวหลงผู้นั้น ต่อให้ยันต์แผ่นนั้นจะเป็นยันต์ฟางชุ่นที่มีมูลค่าควรเมือง อีกทั้งยังหาได้ยาก อยู่ในระดับที่หนึ่งของยันต์ฟางชุ่นในโลก สามารถหลบหนีไปไกลร้อยลี้ได้ในชั่วพริบตา ขนาดคนที่มอบยันต์แผ่นนี้ให้ก็ยังพูดยืนยันหนักแน่นว่า พวกสัตว์เดรัจฉานในร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้จะไม่มีใครสามารถขัดขวางยันต์แผ่นนี้ได้เด็ดขาด ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ชายผู้ฝึกกระบี่คนนี้คิดว่าตัวเองคำนวณมาอย่างดีไร้ช่องโหว่แล้ว โยนข้องราชามังกรออกไป เจียวน้อยจะตายมิตายแหล่ เกาะกุ้ยฮวากับร่องน้ำเจียวหลงเป็นเหมือนฐานทัพสองแห่งที่ตั้งประจันหน้ากัน กุ้ยฮูหยินช่วยดึงความสนใจมาจากเจียวเฒ่าตัวนั้น บวกกับยันต์ฟางชุ่นสีทองแผ่นนี้ที่สามารถช่วยให้หลบพ้นหนึ่งกระบี่จากเซียนกระบี่พสุธาได้ เขาอาศัยโอกาสนี้หนีออกจากสนามรบก็เหมาะแล้วไม่ใช่หรือ?

เจียวเฒ่าใช้หนวดฟาดเข้าที่อากาศว่างเปล่าอีกครั้ง เสียงทึบอื้ออึงเหมือนเสียงสายฟ้าระเบิดในฤดูใบไม้ผลิก็ดังขึ้นกลางมหาสมุทรเป็นระลอก

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถที่ถูกฟันร่างขาดครึ่งท่อน โอสถทองแห่งชะตาชีวิตเม็ดหนึ่งแหลกสลายกลายเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ สะเก็ดแสงสีทองกอบใหญ่ร่วงกราวลงมาบนน้ำทะเลที่ใสกระจ่างของร่องน้ำเจียวหลง โอสถทองที่แตกเป็นเศษเสี้ยวค่อยๆ ร่วงลงมาพร้อมกับร่างกายสองท่อน ดึงดูดให้พวกเผ่าพันธ์เจียวหลงจำนวนนับไม่ถ้วนพากันกระโดดขึ้นสู่ผิวน้ำ แย่งชิงอาหารกันเหมือนหมาป่าหิวโหยจนคลื่นน้ำถาโถมอย่างรุนแรง

ผู้ฝึกกระบี่ตายตาไม่หลับ

ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีรากฐานคนหนึ่งสามารถฝึกตนจนกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง เป็นเรื่องที่ยากถึงเพียงไหน?

ตอนยังมีชีวิตอยู่คนผู้นี้ยังคิดว่าหลังจากการค้าใหญ่ครั้งนี้สำเร็จแล้ว เมื่อตนมีทรัพย์สินก้อนใหญ่จะไปหาสถานที่ดีๆ ที่ภูเขาสวยน้ำใส ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นสักที่หนึ่งมาเปิดภูเขาก่อตั้งสำนักเป็นบรรพบุรุษ แตกกิ่งก้านสาขา ร้อยปีพันปี สืบสานต่อเนื่องมั่นคง ตั้งใจฝึกตนอย่างเดียวเหมือนพวกต้นกล้าตระกูลเซียนที่ตนเคยอิจฉามานาน ไม่ต้องคอยไปเสี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่าอีก…

หลังจากแน่ใจแล้วว่าข้องราชามังกรไม่มีกับดัก คนพายเรือเฒ่าก็คว้ามาไว้ในมือเบาๆ หันหน้าไปมองข้างหลังก็ต้องถอนหายใจหนึ่งครั้ง “เจ้าหนุ่มน้อย เจ้ามาทำอะไรที่นี่? หายนะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยได้ รีบถอยกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาซะ หากโชคดี ยังมีโอกาสได้เห็นภูเขาห้อยหัว แต่หากโชคร้าย…”

ผู้เฒ่าไม่พูดต่ออีก ต่อให้คำพูดอัปมงคลพวกนี้จะเป็นเรื่องจริง แต่สงครามใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์

หลังจากดื่มเหล้าอึกใหญ่ไปแล้ว เฉินผิงอันก็ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวอีกครั้ง

คนพายเรือเฒ่ามองความผิดปกติอะไรไม่ออก สตรีแต่งงานแล้วที่เผชิญหน้าอยู่กับเจียวเฒ่า หันหลังให้เกาะกุ้ยฮวาอยู่ตลอดเวลาก็เช่นกัน

ทว่าในดวงตาสีเงินที่ลูกตาดำตั้งตรงของเจียวเฒ่าร่างทองตัวนั้นกลับมีแววสนุกสนานผุดขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ไม่ได้เปิดโปงแผนการเล็กๆ น้อยๆ ของเด็กหนุ่มในทันที คิดแค่ว่าอยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรทำ ไม่สู้เล่นแมวจับหนูแก้เบื่อสักหน่อย

เฉินผิงอันถาม “ท่านผู้อาวุโส สถานการณ์ของเกาะกุ้ยฮวาตอนนี้เลวร้ายจนไม่สามารถเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้แล้วใช่ไหม?”

“เลวร้ายถึงขีดสุดแล้วล่ะ”

คนพายเรือเฒ่าพยักหน้ารับ ไม่คิดจะโกหกหรือปิดบังอำพรางในเรื่องนี้ เขาพูดเบาๆ ว่า “เล่าลือกันว่าตอนที่เจียวเฒ่าตัวนั้นลงนามในสัญญากับบรรพบุรุษตระกูลฟ่าน ขอบเขตของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิด สิ่งมีชีวิตประหลาดอย่างเจียวเฒ่านี้มักจะฝึกตนได้ช้ามาก แต่หากเมื่อใดที่พวกมันป่ายปีนไปสู่จุดสูง พลังการต่อสู้ที่แท้จริงก็มักจะเหนือกว่าขอบเขตจริงไประดับใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเจียวหลงที่อยู่ในร่องน้ำมหาสมุทรมานานนับร้อยปีพันปีไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเซียนในแจกันสมบัติทวีปที่มีคำว่าสำนักอยู่ในชื่อเลย ประเด็นสำคัญคือเจียวเฒ่าตัวนั้นรับผิดชอบหน้าที่ควบคุมกองกำลัง จึงรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด”

เฉินผิงอันค่อนข้างจนใจ “ขอบเขตต่ำสุดของเจียวเฒ่าก็คือเซียนพสุธาก่อกำเนิด?”

คนพายเรือเฒ่าพยักหน้ารับ ไม่รู้ว่าทำไมเด็กหนุ่มสะพายกระบี่แบกไม้พายไว้บนไหล่ถึงถามคำถามข้อนี้

เฉินผิงอันเงยหน้ามองเจียวเฒ่าสีทองที่อยู่ห่างไปไกลตัวนั้น

ฝ่ายหลังก็มองประสานสายตากับเขา ในดวงตาสีเทาเต็มไปด้วยแววเยาะเย้ยที่เข้มข้น มันยังจงใจเหลือบมองมายังน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันแวบหนึ่งด้วย

เฉินผิงอันจึงรู้ว่าเจียวเฒ่ามองอุบายเล็กๆ ของตนออกแล้ว

เว่ยป้อเทพภูเขาที่มอบ ‘เจียงหู’ ใบนี้ให้เขากับมือเคยพูดว่า ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบลงมาไม่สามารถมองทะลุเวทอำพรางตาที่เขาร่ายไว้บนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้ และเห็นๆ กันอยู่ว่าเจียวเฒ่าตัวนี้เป็นแค่เซียนพสุธาขอบเขตสิบเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่เฉินผิงอันแสร้งใช้การดื่มเหล้ามาดึงให้ชูอีกับสืออู่กลายร่างเป็นภาพมายาผสานเข้าไปในร่างกายก็คงต้องตกอยู่ในสายตาของเจียวเฒ่านานแล้ว ถ้าเช่นนั้นหนึ่งในท่าไม้ตายอันเป็นสมบัติก้นกรุของเฉินผิงอันก็เหมือนเปิดเผยโจ่งแจ้งอยู่กลางแสงแดดเจิดจ้า

คนพายเรือเฒ่าพูดโน้มน้าว “เจ้าหนู ไปซะเถอะ มาดวีรบุรุษวัยเยาว์นี้ของเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ แต่มันถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจช่วยอะไรได้ แล้วเหตุใดยังต้องอวดเก่งด้วยเล่า? ไม่สู้กลับไปที่เกาะกุ้ยฮวา รอคอยโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งนั้นอย่างว่าง่าย เจ้าอยู่ตรงนี้ ข้าคงไม่มีเวลามาสนใจว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย แม้จะไม่ถึงขั้นยิ่งช่วยยิ่งแย่ แต่ขอบเขตของเจ้าในตอนนี้ทำให้ไม่ต่างอะไรจากเอาตัวมาตายเปล่าๆ”

เดิมทีผู้เฒ่าอยากพูดว่าต่อให้กลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาก็ยังต้องตายอยู่ดี แต่ถึงอย่างไรก็ดีว่าต้องมาถูกเจียวหลงในทะเลฉีกร่างกินเป็นอาหาร ทว่าสุดท้ายผู้เฒ่าก็กลืนคำพูดที่มารอตรงปากเหล่านี้กลับลงท้องไป

เฉินผิงอันยื่นไม้พายตีมังกรส่งให้ผู้เฒ่าคนพายเรือพลางพูดอธิบายว่า “ท่านผู้อาวุโส นี่คือยันต์ตัดโซ่ที่ข้าเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาแล้วเรียบร้อย ยันต์นี้มาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ตามบันทึกที่ระบุไว้ ควรจะมีอักขระแปดตัว ก่อนหน้านี้บนไม้พายพวกท่านมีแค่สี่คำว่า ‘ควรทำก็ทำ’ อันที่จริงยังขาดคำว่าคำสั่งเทพพิรุณไป อีกอย่างลายเมฆของยันต์ก็ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงไม่น้อย ข้าก็เลยวาดยันต์ตัดโซ่อันใหม่ให้”

ผู้เฒ่าเพ่งมองชัดๆ แล้วอึ้งงันไป จากนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยื่นมือแย่งไม้พายตีมังกรที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นด้ามนั้นมาเพ่งมองอย่างละเอียด ใช้ฝ่ามือลูบลวดลายของยันต์บนไม้พาย “ชื่อเดิมคือยันต์ตัดโซ่? ขาดสี่คำว่าคำสั่งเทพพิรุณ?  ยันต์นี้ใช้อักษรสีชาด วาดลวดลายเมฆ รวมไปถึงมีความหมายว่าสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะ ระดับขั้นสูงมากจริงๆ เจ้าหนุ่ม หรือว่าเจ้าคือเป็นคนของพรรคมหายันต์? อาจารย์คือคนจากสำนักใหญ่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ

ไม่ได้บอกว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธ์ เพียงแค่ใช้ลมปราณที่แท้จริงในร่างมาวาดยันต์แผ่นเดียวให้เสร็จสิ้นเลียนแบบหลี่ซีเซิ่งบัณฑิตแห่งถนนฝูลวี่

คนพายเรือเฒ่าถอนหายใจยาวเหยียด “น่าเสียดายยิ่งนัก พวกเรามีแค่ไม้พายตีมังกรที่กลับคืนสู่สภาพเดิมแค่ด้ามเดียว หากไม้พายหลายสิบด้ามล้วนถูกวาดยันต์แบบนี้ลงไป แล้วมีปรมาจารย์ด้านค่ายกลที่เชี่ยวชาญวิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยอีกคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะสยบร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ได้จริงๆ น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก!”

 น้ากุ้ยบินทะยานกลับมาแล้ว พอเห็นไม้พายด้ามนี้นางก็มีท่าทางตกตะลึงไปเช่นกัน เพียงแต่ว่านางไม่ได้เสียดายอย่างคนพายเรือเฒ่า เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเฉยชา “ไม่มีประโยชน์ แม้ว่ายันต์นี้จะมีที่มาค่อนข้างลึกล้ำ มักจะถูกสลักไว้บนเสาพันธนาการมังกรหรือไม่ก็บนดาบและกระบี่ คือหนึ่งในอุปกรณ์ที่เทพบรรพกาลใช้จับหรือไม่ก็ลงโทษเจียวหลง ต่อให้เป็นข้าในอดีตก็เคยเห็นผ่านๆ ตาอยู่หลายครั้ง มันสามารถสยบพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงได้จริง ทว่าเจียวเฒ่าตัวนั้นมีตบะลึกล้ำจนไม่เกรงกลัวของสิ่งนี้แล้ว หนึ่งเพราะวัสดุของไม้พายนี้ไม่สูง สองเพราะยันต์ชนิดนี้มีข้อเรียกร้องต่อพู่กันและหมึกสูงมาก…”

หลังจากมอบไม้พายไปแล้ว เฉินผิงอันก็พยายามเพ่งสายตาแอบเหลือบมองเจียวเฒ่าตัวนั้น

ในดวงตาสีเงินของฝ่ายหลังคล้ายเผยความคิดคำนึงที่ลึกล้ำเสี้ยวหนึ่งออกมา แต่ไม่นานก็กลับคืนมาเป็นปกติ หนวดสองข้างที่ล่องลอยอย่างเชื่องช้าส่องประกายแสงในน้ำทะเล

เล่าลือกันว่าหนวดสีทองของเจียวเฒ่าพันปีเมื่อนำมาทำเป็นเชือกพันธนาการปีศาจก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอาคมในสมบัติอาคมอีกที

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา แล้วจู่ๆ ก็พูดว่า “น้ากุ้ย ท่านผู้อาวุโส พวกท่านช่วยถ่วงเวลาให้ข้าสักหนึ่งเค่อได้หรือไม่ ข้าจะวาดยันต์ใหม่อีกแผ่นหนึ่ง หากท่านผู้อาวุโสทั้งสองมีแผนการอย่างอื่น ก็ถือซะว่าข้าไม่ได้พูด วางใจเถอะ ข้าจะพยายามอาศัยกำลังของตัวเองให้วาดยันต์นี้จนเสร็จสิ้น”

เสียงของเฉินผิงอันเบามาก แต่สีหน้ากลับยืนกรานหนักแน่นจนคนฟังหวั่นไหว “เป็นยันต์แผ่นหนึ่งที่สำคัญมาก!”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset