ตอนที่ 276.1 ในบางครั้งการพบกันใหม่ก็คือสิ่งที่ดีที่สุด

เฉินผิงอันหมุนตัวด้วยความสับสนมึนงง ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงตำแหน่งใดของภูเขาห้อยหัวกันแน่ รอบด้านก็ไม่มีต้นไม้ที่ใหญ่พอให้เขาปีนขึ้นไปมองจากที่สูง บนถนนมีแค่ประตูเรือนและกำแพงสูง เฉินผิงอันหรือจะกล้าปีนขึ้นไปบนกำแพงบ้านของคนอื่นส่งเดช ทว่าเช้าตรู่แบบนี้ คนที่ออกมาเดินข้างนอกยังบางตา คนที่รู้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปก็ยิ่งไม่มีเลยสักคน หากเป็นเวลาปกติ ตนไม่กลับตลอดทั้งคืน จินซู่ที่อยู่ในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยต้องร้อนใจอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าเรื่องอาจไปถึงหูเกาะกุ้ยฮวาที่กำลังยุ่งกับการขนถ่ายสินค้า เฉินผิงอันคงกระวนกระวายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้ได้มาเดินอยู่บนถนนที่เงียบสงบ เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าเดินไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ปล่อยไปตามชะตาลิขิต ได้เห็นทัศนียภาพแบบไหนก็แบบนั้น

คนคนหนึ่งจะไม่เคยรบกวนคนอื่นเลยได้อย่างไร รบกวนบ้างครั้งสองครั้งก็ไม่จำเป็นต้องละอายใจเกินไป

เดินไปเดินมา เฉินผิงอันก็มองเห็นนาง

หนิงเหยายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน กำลังเดินตรงมาหาเฉินผิงอันช้าๆ

นางสวมชุดยาวสีเขียวเข้ม หากจำไม่ผิด มันเหมือนชุดใหม่ที่เขาเคยซื้อให้นางตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูมาก สวมอยู่บนร่างนาง เหมาะมาก

เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า มาหยุดอยู่ตรงหน้าหนิงเหยาแล้วหลุดปากพูดไปว่า “บังเอิญจัง”

หนิงเหยากระตุกมุมปากแล้วทำหน้าเคร่ง ไม่พูดไม่จา

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “เดิมทีคิดไว้ว่าสองวันนี้จะเดินเที่ยวในภูเขาห้อยหัวให้ครบ เดินดูร้านค้าให้มากหน่อย สุดท้ายถึงค่อยตัดสินใจว่าจะไปซื้อของที่เรือนหลิงจือสักสองสามชิ้นดีหรือไม่ ถึงเวลานั้นจะได้มอบพวกมันให้เจ้าพร้อมกับกระบี่เล่มที่ช่างหร่วนเป็นผู้หลอม”

หนิงเหยาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เรือนหลิงจือจะมีของดีอะไรได้ อยากก็มีแค่หลิงจือสมปรารถนาดอกนั้นและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบหนึ่งที่พอจะเข้าท่าเข้าที แต่ข้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้สักหน่อย อีกอย่างเรือนหลิงจือก็ไม่มีทางขาย เจ้าเองก็ซื้อไม่ไหว”

เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเกาหัว รู้สึกเสียดายเล็กน้อย

หนิงเหยาลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่ขัดต่อนิสัยตัวเอง พูดอธิบายเสริมอีกหนึ่งประโยคอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น เจ้าอย่าคิดมาก”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่คิดมากหรอก ตอนนี้ในหัวข้าเหลวเป็นแป้งเปียก คิดอะไรก็ปวดหัวไปหมด”

หนิงเหยาถาม “เห็นข้าแล้ว ปวดหัวหรือไม่?”

เฉินผิงอันรีบตอบ “ดีขึ้นเยอะเลย”

หนิงเหยาถาม “เจ้าพักอยู่ที่ไหน? เดินเตร่ไปทั่วแบบนี้ ทำไม คิดอยากจะเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามที่ได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่ข้างทางงั้นรึ?”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “เมื่อคืนวานดื่มเหล้าลืมทุกข์ของพื้นที่มงคลหวงเหลียงไป ผลกลับกลายเป็นว่าพอออกจากร้านก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับไปยังไง”

คนทั้งสองเดินไปบนถนนอย่างเรื่อยเปื่อย หนิงเหยาถามว่า “เจ้าไปดื่มเหล้าลืมทุกข์ได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันกดเสียงลงต่ำ “มีสามีภรรยาคู่หนึ่งเลี้ยงเหล้าข้า น่าประหลาดมาก เมื่อครู่นี้ข้าถูกคนจับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เห็นว่าพวกเขาอยู่บนหัวกำแพงด้วย แต่เมื่อคืนวานพวกเขากลับบอกว่าเพิ่งมาที่หอจิ้งเจี้ยนเป็นครั้งแรก แต่กลับสามารถเล่าเรื่องเซียนกระบี่ผู้อาวุโสได้อย่างคุ้นเคยเหมือนคนเหล่านั้นเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง หรือว่าคนของภูเขาห้อยหัวไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ง่าย แต่หากสลับกันกลับยากมาก? แต่ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะน่าประหลาดใจแค่ไหน ข้าก็ยังรู้สึกว่าสองสามีภรรยาเป็นคนดี เลี้ยงเหล้าข้า เป็นเรื่องดี วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะต้องเลี้ยงเหล้าพวกเขากลับให้ได้”

หนิงเหยาอืมรับเสียงคลุมเครือไม่ชัดเจน

คนทั้งสองเดินอยู่ในตรอกเส้นหนึ่งที่เงียบสงบ กำแพงสูงสองฝั่งล้วนเต็มไปด้วยดอกหวายม่วง (ภาษาอังกฤษคือต้นวีสเตียเรีย) หนิงเหยาเงียบไปตลอดทาง

เฉินผิงอันถามว่า “แม่นางหนิง ตอนนั้นเจ้ารีบร้อนจากไป ข้าลืมถามเจ้าว่า เจ้ารังเกียจข้าใช่ไหม”

หนิงเหยาตอบอย่างรวดเร็ว “เปล่า”

เฉินผิงอันหยุดเดิน เอื้อมมือไปคว้าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตามจิตใต้สำนึก แต่ไม่นานก็ปล่อยมือ จ้องมองตรงไปที่หนิงเหยา “แม่นางหนิง ถ้าอย่างนั้นเจ้าชอบข้าหรือไม่?”

หนิงเหยาเงียบไม่ตอบ

เฉินผิงอันจึงเลียนแบบท่าทางของนางตอนอยู่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงในปีนั้นด้วยการยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ตั้งวางห่างกันให้เหลือพื้นที่ว่างตรงกลางแค่เล็กน้อย “ชอบแค่เท่านี้ก็ไม่เลยหรือ?”

หนิงเหยาไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ แต่ถามกลับว่า “ทำไมเจ้าถึงชอบข้า?”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ดื่มเหล้าอย่างรวดเร็วหนึ่งอึก เช็ดปากแล้วยิ้มกว้างตอบว่า “งั้นก็มีเรื่องให้พูดมากเลยล่ะ ข้าจะค่อยๆ พูดให้เจ้าฟัง ไม่ว่าอย่างไร แม่นางหนิงเจ้าต้องฟังข้าพูดให้จบก่อน ต่อให้จะโกรธแค่ไหนก็อย่าขัดจังหวะข้า ข้ากลัวว่าถ้าถูกขัดจังหวะจะไม่กล้าพูดอีกตลอดชีวิต แม่นางหนิง เจ้าสวยมากจริงๆ ก่อนหน้าที่ข้าจะพบเจอเจ้า อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูข้าไม่เคยเจอใครที่สวยกว่าเจ้ามาก่อน ภายหลังเจ้ามาพักรักษาตัวที่ตรอกหนีผิงก็ไม่เคยรังเกียจที่บ้านข้ายากจน เจ้ายังสอนข้าให้รู้จักตัวหนังสือ เพราะเจ้าช่วยอธิบายตำราหมัดเขย่าขุนเขาให้ข้าฟัง ข้าถึงได้เริ่มฝึกหมัด ถึงได้เดินมาถึงทุกวันนี้ เดินมาถึงที่ภูเขาห้อยหัว

ตอนอยู่บนสะพาน เจ้าให้ข้ายืมมีดทับกระโปรง จากนั้นพวกเราก็ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน เล่นงานวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงด้วยกัน พวกเราเกือบตายแล้ว แต่สุดท้ายพวกเราก็ไม่ตาย ดีมากเลย ตอนอยู่ที่สุสานเทพเซียน ข้ายังเกือบจะฆ่าหม่าขู่เสวียนผู้นั้นได้ พวกเราไปที่ภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกด้วยกัน ไปช่วยหญิงสาวสกุลเฉินจากนาตยทวีปตามหาต้นอบเชยต้นนั้น ภายหลังมีครั้งหนึ่งที่เจ้าโกรธ ไม่ยอมให้ข้าช่วย จะต้มยาเองให้ได้จนหน้าดำมอมแมมไปหมด ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่ารักมาก เจ้าเคยพูดประโยคหนึ่งว่ามหามรรคาไม่ควรเล็กแค่นี้ ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ แต่ออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งนี้ ข้าถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ตอนที่เจ้าเกลี้ยกล่อมไม่ให้ข้าเป็นคนดีเกินเหตุและกุมารแจกทรัพย์สิน อันที่จริงข้าดีใจมาก ตอนนั้นที่เจ้าไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ติดตามพวกเทพเซียนไปไกลขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ยังเต็มใจขี่กระบี่กลับมาบอกลาข้า พอเจ้าจากไป ข้ากินถังหูลู่ที่ตอนเด็กแค่คิดถึงก็น้ำลายไหลเพียงลำพัง มันกลับไม่มีรสชาติอีกต่อไป อาจารย์ฉีจากไปแล้ว ข้าพาพวกเป่าผิงน้อยไปที่ต้าสุย ทุกครั้งที่ได้เห็นภูเขาสวยๆ ก็มักจะคิดถึงคิ้วของแม่นางหนิง เห็นน้ำใส ก็มักจะคิดถึงดวงตาของแม่นางหนิง พบเจอกับแม่นางหน้าตาดีมากมายระหว่างที่เดินทางก็จะคิดถึงแม่นางหนิง จากนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกนางไม่สวยอีกต่อไปแล้ว”

หลังจากพูดประโยคเหล่านี้รวดเดียวหมดเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ เฉินผิงอันก็เริ่มคอแห้ง ใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกเพียงว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ในมือหนักหลายหมื่นชั่ง

แต่เฉินผิงอันไม่เสียใจที่ตัวเองพูดออกไปมากมายขนาดนี้

เฉินผิงอันพูดเสียงสั่น “แม่นางหนิง ข้าชอบเจ้าเป็นเรื่องของข้า เจ้าไม่ชอบข้าก็ไม่เป็นไร”

หนิงเหยาเอนหลังพิงกำแพง ดอกหวายม่วงเหล่านั้นก็ยังไม่งดงามน่าหลงใหลเท่านาง

นางถามว่า “หากข้าไม่ชอบเจ้า เจ้าก็จะไปชอบผู้หญิงคนอื่นใช่ไหม? อย่างเช่น…”

นางคิดแล้วก็พูดต่อว่า “หร่วนซิ่ว?”

เฉินผิงอันมองนาง เพิ่งจะค้นพบว่าที่แท้การชอบแม่นางที่ดีมากคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่านางจะไม่ค่อยชอบตนสักเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากก็จริง แต่ก็คล้ายว่าจะไม่น่าเสียใจมากนัก “ถ้าหากข้าไปชอบผู้หญิงคนอื่นแล้วจะไม่ได้พบเจอเจ้าอีก ถ้าอย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าก็จะไม่ชอบผู้หญิงคนอื่นอีกแล้ว ข้าอยู่ห่างไกลไปหนึ่งพันหนึ่งหมื่นลี้ อยู่ในสถานที่ที่เจ้ามองไม่เห็นข้า ข้าฝึกหมัดหนึ่งพันหนึ่งหมื่นหนึ่งล้านหมัด ก็ยังชอบแค่เจ้าคนเดียว”

หนิงเหยามองค้อน “ข้าไร้เหตุผลขนาดนั้นเลยหรือ?”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง

จากนั้นนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “ใช่ ข้าไร้เหตุผลขนาดนั้นแหละ!”

แต่แล้วนางก็พลันคลี่ยิ้ม เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจเหมือนเด็กๆ พอนางยิ้ม คิ้วตาก็ยิ่งงดงามมีชีวิตชีวาดุจสาวงามที่หลุดมาจากภาพวาด นางยกแขนสองข้างขึ้นกอดอก “ใครใช้ให้มีคนโง่มาชอบข้าเล่า?”

จากนั้นนางก็เดินออกมาข้างหน้าสองก้าว ยื่นแขนโอบกอดเด็กหนุ่มจากต้าหลีคนนั้นพลางพึมพำว่า “เฉินผิงอัน! ข้าชอบเจ้าไม่น้อยไปกว่าที่เจ้าชอบข้าเลยสักนิด!”

ครั้งแรกที่ได้พบกันอีกครั้ง อันที่จริงนางอยากพูดกับเขาว่า

ข้าไม่ชอบเจ้า

แต่มันกลับยากเหลือเกิน

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset