สิ่งของวางเต็มบนโต๊ะ มองแล้วละลานตา
นี่เป็นทั้งผลเก็บเกี่ยวของเฉินผิงอัน แล้วก็เป็นทั้งยุทธภพของเขา
หินดีงูชั้นเยี่ยมหนึ่งก้อน เฮ้อเสี่ยวเหลียงนักพรตหญิงแห่งสำนักโองการเทพคืนให้เฉินผิงอันตอนอยู่บนเรือคุน และยังมีหินดีงูธรรมดาอีกส่วนหนึ่งที่สีซีดแล้ว
หัวใจบุ๋นสีทองที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อีมอบให้ นอกจากนี้ด้านข้างยังวางเศษชิ้นส่วนร่างทองสีเงินและสีทองไว้อีกกองเล็กๆ เศษชิ้นส่วนสีเงินของขุนนางผู้ช่วยฝ่ายบุ๋นและบู๊ แล้วก็มีเศษร่างทองของเทพภูเขาเถื่อนของเมืองแยนจือ
ตราประทับชิ้นหนึ่งที่มาจากฝีมือเทียนซือใหญ่รุ่นหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ ตามคำบอกของเสิ่นเวิน จำเป็นต้องใช้คู่กับวิชาห้าอสนีของลัทธิเต๋าถึงจะสามารถสำแดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ แต่ที่ทำให้เฉินผิงอันจดจำได้แม่นยำที่สุดก็ยังคงเป็นประโยค ‘มีเพียงผู้มีคุณธรรมถึงจะได้ครอบครอง’
เหรียญทองแดงที่กองกันเป็นภูเขาลูกย่อม เงินฝนธัญพืช เงินร้อนน้อย เงินเกล็ดหิมะ
แผ่นไม้ไผ่เล็กๆ หนึ่งกอง มีทั้งที่มาจากไม้ไผ่ธรรมดา แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นไม้ไผ่จากภูเขาชิงเสินที่เหลือมาจากตอนเว่ยป้อสร้างเรือนไม้ไผ่ ด้านบนสลักคำเตือนหรือไม่ก็คำกลอนที่ไพเราะไว้จนเต็ม มีวลีจากอริยะปราชญ์ที่ชุยฉานท่องออกมาเวลาฝึกหมัดกับเขา มีตัวอักษรยันต์ที่หลี่ซีเซิ่งเขียนไว้นอกผนังของเรือนไม้ไผ่ มีที่เฉินผิงอันคัดลอกมาจากบันทึกแห่งภูเขาและแม่น้ำ มีคำพูดที่เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจซึ่งได้ยินมาจากเรื่องเล่าในยุทธภพ…
มีถ้วยไก่ชนหนึ่งใบที่ซื้อมาจากท่าเรือแคว้นซูสุ่ย ไม่มีมูลค่าอะไร แต่นี่คือค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่เฉินผิงอันยอมควักเงินจ่ายอย่างที่หาได้ยาก
หนวดมังกรสีทองสองเส้นที่ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วมอบให้ รวมถึงชุดคลุมอาคมสีทองชุดหนึ่งที่เจียวเฒ่าตัวการหายนะทิ้งไว้หลังจากตายไป และไข่มุกเก่าแก่ที่เหมือนยาสีเหลืองหนึ่งเม็ด
อ่างล้างพู่กันกระเบื้องขาวหนึ่งใบ ได้มาจากฮูหยินอสรพิษนักฆ่าจากแคว้นกู่อวี๋ สุดท้ายไม่ได้ขายไปตอนอยู่หอชิงฝูก็เพราะเฉินผิงอันชอบตัวอักษรเป็นวงที่มีชีวิตชีวาพวกนั้น
‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ หนึ่งเล่ม ป้ายหยกที่เป็นวัตถุจื่อฉื่อหนึ่งแผ่น ล้วนเป็นเจิ้งต้าเฟิงที่อยู่นครมังกรเฒ่ามอบให้
คัมภีร์ลัทธิขงจื๊อหนึ่งเล่มที่ซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งมอบให้ บันทึกภูเขาและแม่น้ำและผลงานวรรณกรรมที่ได้มาจากจวนเจ้าเมืองแยนจืออีกหลายเล่ม
ตราประทับชิ้นหนึ่งที่สลักคำว่า ‘สงบใจสมปรารถนา’
ตราประทับแม่น้ำหนึ่งชิ้นที่ไม่มีตราประทับภูเขาเคียงคู่ ซึ่งดูโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
มันถูกเฉินผิงอันวางไว้ใกล้มือมากที่สุด
แน่นอนว่ายังมีตำราหมัดเขย่าขุนเขาที่อยู่กับเฉินผิงอันมานานที่สุด
หนิงเหยาพลิกๆ หยิบๆ สำรวจไปทีละชิ้น สุดท้ายถึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ให้ข้าทั้งหมดเลยหรือ? ไม่คิดจะเก็บไว้เป็นเงินส่วนตัวหน่อยรึ?”
ในใจหนิงเหยาหงุดหงิดตัวเองเล็กน้อย
แค่เงินส่วนตัวจะนับเป็นอะไรได้ วันหน้าเวลาพูดคุยกับเฉินผิงอันจะใจจืดใจดำแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
จำไว้ว่านี่ไม่ใช่การฝึกตนบนวิถีกระบี่
เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันสัมผัสไม่ได้ถึงความนัยลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของหนิงเหยา เขาชี้ไปที่ของหลายชิ้นแล้วพูดด้วยสีหน้าขึงขังว่า “ตำราหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนี้ เจ้าก็รู้ว่าไม่ใช่ของข้า ข้าแค่ช่วยเก็บรักษาไว้ให้กู้ช่านเท่านั้น ตราประทับที่อาจารย์ฉีมอบให้ข้าก็ไม่ได้เหมือนกัน และยังมีตราประทับเทียนซือของเทพอภิบาลเมืองชิ้นนั้นที่ข้าคิดว่ามอบให้เจ้าคงไม่เหมาะเท่าไหร่ ของชิ้นอื่นๆ หากเจ้าต้องการก็เอาไปเถอะ”
หนิงเหยาเบ้ปาก “ไม่เห็นจะอยากได้ เจ้าเก็บไว้เถอะ”
เฉินผิงอันตบศีรษะตัวเอง ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘เจียงหู’ ที่อยู่ตรงเอวตัวเองออกมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นค่อยดึงยันต์ที่ผีสาวโครงกระดูกไปพักผิงออกมาจากกล่องกระบี่ พูดอธิบายว่า “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ ข้าได้มาเป็นของแถมตอนที่ซื้อภูเขาหลายลูกพวกนั้น เว่ยป้อช่วยขอจากต้าหลีมาให้ข้า ในยันต์แผ่นนี้มีผีสาวตนหนึ่งที่ดุร้ายมาก ภายใต้ความช่วยเหลือจากเกาะกุ้ยฮวา นางจึงลงนามในสัญญากับข้าหกสิบปี ตอนนี้อาศัยอยู่ในกล่องกระบี่ กุ้ยฮูหยินบอกว่านี่ก็คือเรือนไหว เมื่อพวกวัตถุหยินมาอาศัยอยู่ภายในจะสามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ช่วยให้ตบะเพิ่มพูน น่าจะเป็นเหมือนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลสำหรับพวกมันกระมัง”
หนิงเหยาถาม “ผีสาวโครงกระดูก สวยไหม?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็งั้นๆ แหละ ไม่สวยเหมือนผีชุดเจ้าสาวของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และผีชุดเจ้าสาวก็สวยสู้เจ้าไม่ได้”
หนิงเหยาพูดอย่างดุดัน “เฉินผิงอัน เจ้ากลายมาเป็นคนกะล่อนแบบนี้เพราะเลียนแบบมาจากอาเหลียงใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “เปล่าสักหน่อย นี่เป็นคำพูดจากใจของข้า คำพูดที่น่าฟังกับคำพูดที่กะล่อนปลิ้นปล้อนก็ไม่เหมือนกันสักหน่อย”
หนิงเหยาหัวเราะคิก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยไปหลอกให้แม่นางหลายคนหลงรักด้วยใช่หรือเปล่า?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หนิงเหยาก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หันหน้ามองเฉินผิงอันที่ตัวสูงขึ้นเยอะมาก และผิวก็ขาวขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ดูเหมือนนางจะห่อเหี่ยวนิดๆ “ตอนนี้ข้าไม่สามารถตบเฉินผิงอันห้าร้อยคนด้วยฝ่ามือเดียวได้อีกแล้ว เจ้าเดินทางมาเกินครึ่งของแจกันสมบัติทวีปแล้ว ไม่แน่ว่าแม่นางในสถานที่เล็กๆ มากมายหลายแห่งอาจจะมองเจ้าเป็นเทพเซียน แล้วก็ชอบเจ้า”
เฉินผิงอันรีบโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่มีแม่นางคนไหนชอบข้าหรอก ตลอดทางที่ผ่านมาถ้าไม่ใช่พวกศัตรูคู่แค้นที่เข่นฆ่ากันก็เป็นพวกคนที่ได้พบกันเพียงผิวเผิน”
กล่าวมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะเช่นกัน เขาใช้นิ้วจิ้มไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ “ตอนนั้นที่ออกจากบ้านเกิด ข้าโดยสารเรือคุนลำหนึ่งของภูเขาต่าเจี้ยวจากกุรุทวีป อยู่บนเรือเจอกับพี่น้องคู่หนึ่ง คนหนึ่งชื่อชุนสุ่ย อีกคนชื่อชิวสือ อายุพอๆ กับข้า ภายหลังเรือคุนร่วงจากฟ้า คงไม่ได้พบพวกนางอีกแล้วกระมัง”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองอ่างล้างพู่กันที่ไม่สะดุดตาใบนั้น
เขาอยู่ห่างจากมันแค่หนึ่งฉื่อกว่า
แต่อยู่ห่างไกลกับพวกนางยิ่งนัก
หนิงเหยาไม่เพียงแต่ไม่คิดว่าเฉินผิงอันเกิดใจโลเล กลับกันยังเอ่ยปลอบใจเขาเบาๆ ด้วยว่า “การจากลาชั่วนิรันดร์ ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้”
นางยังคงเอาแก้มข้างหนึ่งแนบผิวโต๊ะ “คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ ผู้ชายหรือผู้หญิง ขอแค่ลงสนามรบ ทุกครั้งจะต้องมีคนตายเยอะมาก บางคนเจ้าไม่รู้จัก บางคนเจ้ารู้จัก เจ้าไม่ทันมีเวลาได้เสียใจ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่ตายอาจเป็นตัวเจ้าเอง มีเพียงรอให้ศึกใหญ่ปิดฉากลง คนที่มีชีวิตรอดถึงจะมีเวลาให้เสียใจ แต่จะเสียใจมากก็ไม่ได้ เพราะสำหรับทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว อย่างมากก็ได้แค่ส่งพวกเขาเหล่านั้นด้วยเหล้าจอกหนึ่งอยู่ไกลๆ ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้”
สายตาของหนิงเหยาลึกล้ำ ทั้งมืดทั้งเย็นเหมือนบ่อโซ่เหล็กที่บ้านเกิดของเฉินผิงอัน “ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนที่ดื่มเหล้าลืมทุกข์ในร้าน แล้วข้าเล่าเรื่องเล็กเรื่องนั้นให้เจ้าฟัง เวลาข้าดื่มเหล้าอำลากับสหายก็จะมีคนชอบเอาเรื่องของพ่อแม่ข้ามาพูดเหน็บแนม เจ้าถามว่าข้าโกรธหรือไม่ ข้าต้องโกรธแน่อยู่แล้ว แต่ไม่ได้มากมายอย่างที่คนนอกคิด เพราะอะไร? เจ้ารู้ไหม?”
เฉินผิงอันที่นอนฟุบจ้องมองนางเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ
หนิงเหยาให้คำตอบ “เพราะสักวันหนึ่งคนที่พูดจาระคายหูผู้นั้นก็ต้องตายบนสนามรบ อีกทั้งเขายังต้องกระโจนเข้าหาความตายอย่างไม่เกรงกลัวเหมือนกับที่บรรพบุรุษแต่ละรุ่นของเขาทำ พอคิดถึงข้อนี้ ข้าก็รู้สึกว่าไม่เห็นต้องโกรธให้มากมาย แค่คำพูดไม่กี่คำที่บางเบาล่องลอย ยังหนักได้ไม่เท่าปราณกระบี่บนร่างด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าวันใดข้าอาจจะต้องสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนพวกนี้ อาจจะเป็นใครที่ช่วยใคร หรือไม่ก็เป็นใครที่ได้แต่มองใครตายไปต่อหน้าต่อตา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จากนั้นลุกขึ้นนั่งตัวตรง แล้วส่ายหน้า “แม่นางหนิง เจ้าคิดแบบนี้…”
หนิงเหยากลอกตา “ข้าไม่อยากฟังหลักการอะไรทั้งนั้น ห้ามพูดให้ข้ารำคาญ”
หลักการของคนอื่น นางจะไม่ฟังก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษหรือผู้อาวุโสในตระกูล เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าบนหัวกำแพง อาเหลียงที่เคยมาส่งตนออกจากภูเขาห้อยหัว หรือสหายวัยเดียวกันที่อยู่ข้างกาย แต่หากเฉินผิงอันเป็นคนพูด นางก็ได้ต้องทนฟังเขาให้รำคาญหูเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นไม่สู้ห้ามไม่ให้เขาพูดตั้งแต่แรกเลยยังดีกว่า
เฉินผิงอันอ้อรับหนึ่งที ฟุบตัวลงบนโต๊ะต่ออีกครั้ง แล้วก็ไม่พูดหลักการที่ยากนักกว่าตนจะอ่านเจอมาจากหนังสือตามที่หนิงเหยาต้องการจริงๆ
หนิงเหยาพลันลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรง “เจ้าจะไปกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันจึงยืดตัวขึ้นตรงตาม พยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสที่สอนวิชาหมัดข้าบอกว่า ขอแค่ขึ้นไปบนหัวกำแพงก็จะช่วยหล่อหลอมจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ ขอแค่ไม่ตายอยู่ที่นั่นก็จะได้ผลประโยชน์มหาศาล อีกอย่างไม่รู้ว่าทำไม หลังจากคราวก่อนที่ดื่มเหล้าลืมทุกข์กับคู่สามีภรรยา ข้าถึงได้มีความรู้สึกลวงตาว่าหากจะให้ขอบเขตสี่ในเวลานี้เลื่อนเป็นขอบเขตหกก็เหมือนน้ำมาคลองเสร็จ ขอแค่ข้าอยากเลื่อนขั้นก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย แต่แน่นอนว่าข้าไม่ได้โง่ถึงขนาดปล่อยให้ตัวเองฝ่าทะลุขอบเขตไปรวดเดียวแบบนั้น เพราะหากก้าวหนึ่งเดินได้ไม่มั่นคง วันหน้าก็อย่าได้หวัง แต่ข้ามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า เมื่อดื่มสุราเลิศรสของพื้นที่มงคลหวงเหลียงไปแล้ว วันหน้าก่อนที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด สี่ถึงห้าและห้าถึงหก การฝ่าทะลุขอบเขตสองครั้งนี้จะต้องง่ายดายอย่างมาก”
หนิงเหยาหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้นมาแกว่งเล่น ขนตาของนางกระพือเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องขอบคุณพวกเขาที่อุตส่าห์มอบโชควาสนาครั้งนี้ให้ให้ดีล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ดังนั้นไปกำแพงเมืองปราณกระบี่คราวนี้ ข้าก็อยากจะลองดูว่าจะได้พบกับพวกเขาอีกครั้งหรือไม่”
หนิงเหยาคิดแล้วก็ไม่พูดอะไรให้มากความ
เฉินผิงอันรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย “แต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ถูกคนจับไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้ารู้สึกไม่ดีเอาซะเลย ข้ากลัวว่าแม้แต่จะยืนก็คงยืนไม่อยู่ แล้วจะขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้อย่างไร?”
หนิงเหยาอธิบาย “อันที่จริงก็ไม่ได้น่ากลัวมากอย่างที่เจ้าคิด เดิมทีบนหัวกำแพงก็คือจุดที่ปราณกระบี่รุนแรงมากที่สุด หากเจ้าเดินเข้าด่านจากภูเขาห้อยหัว ค่อยๆ เดินทีละก้าวไปบนหัวกำแพง ปรับตัวไปตามลำดับช้าๆ ก็คงจะรู้สึกดีขึ้นมาก กำแพงเมืองปราณกระบี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับฟ้านอกฟ้าของใต้หล้ามืดสลัว เป็นสถานที่ที่ไร้กฎเกณฑ์ แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสามบินทะยานก็ไม่ถูกห้ามไม่ให้บิน ใครก็ไม่สนใจว่าพวกเราจะเป็นหรือตาย แม้แต่วิถีสวรรค์ก็ยังไม่สนใจที่แห่งนี้ ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นหลายคนจึงชอบมาฝึกประสบการณ์ มาร่วมสงครามของที่นี่ กลุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่เจ้าเห็นเหนือท้องฟ้าของถ้ำสวรรค์หลีจูคราวก่อนก็คือผู้ฝึกลมปราณของกุรุทวีป ครั้งนี้มีพวกเขามาช่วยรบ ภายนอกมองดูเหมือนการโจมตีสามครั้งของเผ่าปีศาจล้วนต้องกลับไปมือเปล่า ต้องทิ้งศพหลายหมื่นไว้ใต้กำแพง และทั้งหมดนั้นล้วนกลายมาเป็นต้นทุนให้พวกเราซื้อทรัพยากรจากเรือนข้ามฟากภูเขาห้อยหัว แต่ข้ากลับคิดว่าไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เชื่อว่าท่านปู่เฉินที่จับเจ้าไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ และอริยะอีกสองท่านที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ยิ่งต้องมองออก”
หนิงเหยาคลี่ยิ้ม “ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตยิ่งสูงเท่าไหร่ โดยเฉพาะห้าขอบเขตบน ไม่ว่าจะเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ เมื่อเข้าไปในถิ่นของคนอื่นก็ยิ่งรู้สึกไม่คุ้นชินมากเท่านั้น นี่ก็คือกุญแจสำคัญที่ทำให้พื้นที่หนึ่งซึ่งอริยะเป็นผู้พิทักษ์เกิดสภาวะที่ฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคี ยกตัวอย่างเช่นลู่เฉินเจ้าลัทธิเต๋าแห่งใต้หล้ามืดสลัวที่ก่อนหน้านี้ไปเยือนใต้หล้าไพศาล ขอบเขตที่สูงที่สุดของเขาน่าจะใช้ได้แค่ขอบเขตสิบสาม นี่คือกฎที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้เมื่อแรกเริ่ม และหากอริยะลัทธิขงจื๊อเข้าไปยังใต้หล้ามืดสลัวก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเหมือนกัน ระหว่างอริยะด้วยกัน แม้จะมีการช่วงชิงบนมหามรรคา แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่เคารพซึ่งกันและกัน พูดไปแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ ในบรรดาเผ่าปีศาจก็มีบุคคลที่ควรค่าให้ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราเคารพนับถืออยู่เช่นกัน ต่อให้พวกมันจะเป็นศัตรูที่ต้องฆ่าให้ตายยามอยู่บนสนามรบก็ตาม และในเผ่าปีศาจก็มีปีศาจใหญ่มากมายที่เคารพเซียนกระบี่ที่ร้ายกาจของทางฝั่งพวกเราเช่นเดียวกัน”
“ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ อย่างเช่นเจ้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ และยังมีผู้ฝึกลมปราณจากเมธีร้อยสำนัก เมื่อมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา ต่างก็รู้สึกต้องอึดอัดทรมาน เพราะการไปอยู่ที่นั่นอาจเป็นโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้า หรืออาจจะถูกปณิธานกระบี่ของที่นั่นทำลายรากฐานมหามรรคาลงอย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้ มีตัวอย่างอยู่สองกรณี หนึ่งคือในประวัติศาสตร์มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งของกุรุทวีปที่ได้เดินทีละก้าวจนเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินอยู่ที่นี่ แล้วก็มีคนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินของทวีปฝูเหยา เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถหาโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตได้จากที่นี่ กลับกันคือลำดับยังถดถอยไปเป็นขอบเขตก่อกำเนิดด้วย”
จู่ๆ เฉินผิงอันก็พูดขึ้นมาว่า “อาเหลียงสอนวิธีโคจรลมปราณสิบแปดหยุดให้ข้า”
หนิงเหยาตะลึงไปชั่วขณะ “หมอนั่นดีต่อเจ้าไม่น้อยเลย ทางฝั่งของพวกเรามีแค่ผู้ฝึกกระบี่ที่สร้างคุณความชอบครั้งใหญ่เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติได้รับการถ่ายทอดวิธีโคจรลมปราณนี้มาจากคนบางคน และแทบทุกคนที่ได้รับการสืบทอดล้วนเป็นลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจมากที่สุด หรือไม่ก็เป็นผู้สืบทอดของตระกูล แต่เจ้าก็อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนัก สิบแปดหยุดให้ความรู้สึกเหมือนพิธีกรรมอย่างหนึ่งมากกว่า เหมือนเป็นการบอกให้รู้ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย มีเด็กรุ่นหลังคอยสืบทอดปณิธานกระบี่ของเซียนกระบี่ยุคบรรพกาลรุ่นแรกสุดอยู่เสมอ อันที่จริงตัวสิบแปดหยุดเองไม่ถือว่าเป็นคาถากระบี่ที่สูงส่งเท่าใดนัก”
“ตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ในเมืองทางทิศเหนือ ทุกตระกูลจะต้องมีวิชากระบี่ชั้นเยี่ยมที่แท้จริงอยู่ วิชากระบี่ของตระกูลเฉินสามารถเพิ่มกระดูก วิชากระบี่ตระกูลต่งสามารถชะล้างไขกระดูก ตระกูลฉีเชี่ยวชาญการหล่อหลอมวิญญาณ ตระกูลหนิงขัดเกลาความคมของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ส่วนตระกูลเหยาให้ความสำคัญกับความจริงเท็จของปราณกระบี่ วิชากระบี่ของตระกูลน่าหลันเน้นการชดเชยกันและกันระหว่างปราณกับปณิธานกระบี่ เหล่านี้ล้วนเป็นวิชาที่ดีเยี่ยมอย่างที่ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าไม่อาจจินตนาการได้ถึง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเจ้าเรียนสิบแปดหยุดไปแล้ว เจ้าไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะปรับตัวได้เร็วขึ้น นี่คือเรื่องดี”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง
หนิงเหยาถามชวนคุย “คำนวณตามเวลาแล้ว เจ้าน่าจะเรียนมาเกือบสองปีแล้วกระมัง? ฝึกสิบแปดหยุดได้ถึงหยุดที่เท่าไหร่แล้ว? สิบห้าหยุด สิบหกหยุด? อย่างน้อยก็น่าจะผ่านสิบสองหยุดมาแล้วกระมัง หลังจากสิบสองหยุดมาก็จะไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว เพราะแต่ละหยุดจะค่อนข้างข้ามผ่านไปได้ยาก ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่คนที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากจะฝึกได้ช้าหน่อยก็ปกติมาก สหายข้างกายข้า เจ้าอ้วนใช้เวลาแปดเดือนถึงจะฝึกครบสิบแปดหยุด เสี่ยวต่งมีพรสวรรค์ดีกว่าเล็กน้อย แค่ครึ่งปีก็ผ่านได้ครบแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ก็ประมาณเก้าเดือนถึงหนึ่งปี แต่พี่สาวของเสี่ยวต่งค่อนข้างจะร้ายกาจ นางใช้เวลาแค่สามเดือนเท่านั้น เพียงแต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ตระกูลต่งปกปิดเอาไว้ ไม่ยอมเปิดเผยความจริงข้อนี้แก่คนนอก คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้าที่ฝึกสิบแปดหยุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้สำเร็จมีประมาณสามสิบคน ดังนั้นคนในรุ่นของพวกเราจึงถูกมองว่าเป็นรุ่นที่ดีที่สุดตลอดสามพันปีที่ผ่านมาของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เหล่าผู้อาวุโสต่างก็พูดว่า ขอแค่ให้เวลาพวกเราอีกสักห้าสิบหกสิบปี หนึ่งพันปีหลังจากนั้น เผ่าปีศาจจะไม่มีทางได้เห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย”
สีหน้าเฉินผิงอันอึ้งค้าง
—–