บทที่ 279 ขยันทำงานเก็บเงิน
ท่านแม่โจวอยากไปอย่างเห็นได้ชัด นางเอ่ยพลางยิ้มกริ่ม “รอจนกว่าเธอจะตั้งตัวได้แล้วเราค่อยมาคุยกันนะ ดูว่าผู้เฒ่าสองคนอย่างเราจะช่วยเธอได้ไหม ถ้าช่วยได้เราก็จะไป”
พวกเขาไม่อาจไปอยู่ที่นั่นเพื่อเป็นตัวปัญหาได้หรอก
หลินชิงเหอไม่ได้เอ่ยอะไร ตอนนี้ยังเร็วเกินไปหน่อยที่จะพูดเรื่องนี้ รอหลังจากนั้นค่อยตัดสินใจดีกว่า
โจวชิงไป๋กลับมาในตอนเย็นพร้อมกับเจ้ารอง ทั้งพ่อลูกนำกระต่าย 2 ตัวและไก่ฟ้า 5 ตัวกลับมาด้วย
หลินชิงเหอเห็นว่าน้องชายสามตระกูลหลินไม่ได้มาด้วยจึงเอ่ยปากถาม “คุณน้าเดินไปไกลแล้วหรือยัง?”
“ยังครับ เราเพิ่งแยกทางกัน” เจ้ารองยืนยัน
“เอาเป็ดย่างตัวนี้ไปให้คุณน้าสิ” หลินชิงเหอยื่นเป็ดย่างในห่อกระดาษไขให้เขาและออกคำสั่ง
ส่วนของพี่สาวใหญ่กับพี่สาวรอง เธอค่อยส่งให้พรุ่งนี้
“ครับ” เจ้ารองรับคำและกระโดดขี่จักรยานปั่นตามคุณน้าไป
จากนั้นหลินชิงเหอก็หันมามองโจวชิงไป๋ ส่วนโจวชิงไป๋เองก็มองสำรวจภรรยาอยู่เช่นกัน
“พ่อ ยังมองไม่พออีกเหรอครับ? พ่อมองแม่ตั้งแต่ตอนที่กลับมาถึงบ้านแล้วนะ” เจ้าสามเอ่ยเย้า
“แม่คิดว่าลูกคงจะอิ่มแล้ว แล้วก็อยากชิมรสไม้เรียวกระทบเนื้อแล้วสินะ” หลินชิงเหอกวาดสายตาเหลือบมองเขา
เจ้าสามหัวเราะคิกคักก่อนจะต้มน้ำเพื่อซักผ้าขนสัตว์
หลินชิงเหอชงน้ำผสมน้ำผึ้งถ้วยหนึ่งให้โจวชิงไป๋ดื่มก่อน ในมิติของเธอยังมีน้ำผึ้งอยู่จำนวนหนึ่ง ทั้งหมดนี้เธอเก็บไว้เพื่อดื่มในฤดูหนาว อากาศฤดูนี้แห้งเกินไป พวกเขาจึงต้องได้รับน้ำให้เพียงพอเข้าไว้
หลังดื่มน้ำผสมน้ำผึ้งเสร็จ โจวชิงไป๋ก็มองเธอพลางเอ่ยขึ้น “ผมรอคุณแล้วแต่คุณก็ยังไม่กลับมา”
“ค่ะ ฉันได้ยินจากคุณแม่แล้ว ตอนที่คุณออกไป ฉันก็กลับมาพอดี ตั้งใจจะทำให้คุณประหลาดใจน่ะค่ะ” หลินชิงเหอหัวเราะ
มุมปากของโจวชิงไป๋โค้งขึ้นเล็กน้อย หลินชิงเหอดึงตัวเข้าไปในห้องและยื่นใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ให้เขาดู “ฉันได้ที่แล้วนะคะ เมื่อไหร่ที่ปีนี้ผ่านไป เราจะย้ายครอบครัวกัน พรุ่งนี้คุณไปหาคุณครูใหญ่ขอจดหมายรับรองการย้ายโรงเรียนให้เด็กทั้งสองคนด้วยนะคะ”
“ย้ายทันทีหลังปีใหม่นี้เหรอ?” โจวชิงไป๋อึ้งไปขณะจ้องมองใบรับรองอสังหาริมทรัพย์และหันไปมองภรรยา
“ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเรียนจบเร็วก่อนกำหนดน่ะค่ะ แผนเดิมก็เลยต้องปรับเปลี่ยนไป แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีอยู่นะคะ” หลินชิงเหอตอบ “ฉันกับลูกชายคนโตของเราได้ทำความสะอาดบ้านที่เราจะไปอยู่เรียบร้อยแล้วนะคะ หลังผ่านปีนี้ไปเราย้ายไปอยู่ที่นั่นเลยไหมคะ?”
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปทำเรื่องขอเอกสารทั้งหมดให้นะ” โจวชิงไป๋เอ่ยหลังได้ยินดังนี้
หลินชิงเหอยิ้มขณะมองเขา “คุณไม่กังวลตอนต้องไปอยู่ที่นั่นเหรอ”
“ไม่เลย ผมจะอยู่เฝ้าร้านนี้ให้คุณนะ” โจวชิงไป๋ให้สัญญาอย่างจริงจัง
“ฉันวางแผนจะให้คุณขายเกี๊ยว ดังนั้นช่วงปีใหม่คุณฝึกทำอยู่ที่บ้านไปนะคะ” หลินชิงเหอบอก
“ได้ครับ” โจวชิงไป๋ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ถ้าให้ขายเกี๊ยวเขายังมีความสามารถที่จะทำได้ ดังนั้นภายในปีนี้เขาต้องฝึกทำแล้ว
นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป โจวชิงไป๋จึงเริ่มทำอาหารหลังทำเรื่องขอเอกสารที่ต้องการแล้ว
การทำเกี๊ยวไม่ยากอะไรนัก แค่รีดแป้งให้เป็นแผ่น สับไส้เกี๊ยว ห่อเกี๊ยว จากนั้นก็ทำให้สุก
เขาทำสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่นานเท่าไรนักทั้งครอบครัวก็มากินเกี๊ยว
หลินชิงเหอกินเกี๊ยวจนเบื่อขยาดไปแล้ว แต่เมื่อเห็นชิงไป๋ของเธอมีท่าทางจริงจังมาก เธอก็ยอมหยวน ๆ ให้เขา
ความจริงแล้วมันเป็นแค่ร้านเกี๊ยวเท่านั้น แต่เหตุผลที่เธอเปิดร้านนี้เพราะกลัวว่าเขาจะเบื่อมากในทันทีที่ย้ายไปอยู่ที่นั่น
ชายคนนี้รู้สึกเหนื่อยได้ แต่รู้สึกว่างงานไม่ได้ เพราะถ้าว่างงานเกินไป เขาจะสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเปิดร้านนี้ขึ้นมา
หลายวันมานี้โจวชิงไป๋ลองหัดทำเกี๊ยวหลายไส้มาก เช่น ไส้กะหล่ำปลี ไส้เห็ด และอื่น ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่น่ากินทั้งนั้น
ไส้เนื้อสับ แกะสับ และหมูสับก็มีเหมือนกัน
แต่ที่นี่หาวัตถุดิบได้ยากนัก เนื้อวัวกับเนื้อแกะไม่ค่อยมีให้เห็น ดังนั้นเกี๊ยวไส้เนื้อส่วนใหญ่ที่กินกันจึงเป็นไส้หมูสับ
เดิมทีหลินชิงเหอรู้สึกนิ่งนอนใจอยู่ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นความพากเพียรของโจวชิงไป๋แล้ว เธอก็ไม่กล้าประมาท
นี่นับว่าเป็นอาชีพแรกของเขาหลังปลดประจำการออกจากกองทัพถูกไหม?
หลินชิงเหอรู้สึกว่าเขาควรจะได้รับกำลังใจ
เธอจึงพูดเยินยอกรอกหูโจวชิงไป๋อย่างหนักจนดวงตาของชายหนุ่มฉายแววสนุกสนานขึ้นมา
ตอนนี้ใกล้ถึงปีใหม่แล้ว โจวชิงไป๋จึงไม่ได้ทำเกี๊ยวต่อ เป็นเพราะในช่วงนี้เขาได้รับกำลังใจอย่างล้นเหลือจากภรรยา
ยิ่งกว่านั้นพ่อแม่ของเขากับลูกชายอีก 2 คนก็บอกว่ามันอร่อย ดังนั้นคงไม่มีอะไรเลวร้ายแล้ว
ทุกคนต่างรู้สึกวางใจ
แม้เกี๊ยวจะมีไส้หลากหลายชนิด แต่พวกเขาก็ไม่อาจทนกินทุกวันได้ ทุกคนต่างเบื่อที่จะกินพวกมันแล้ว
หลินชิงเหอจึงทำหมั่นโถวข้าวโพด จากนั้นสับต้นหอมลงไปผัดกับไก่ฟ้า 2 ตัวและต้มน้ำแกงกระดูกหมูกับหัวไชเท้า เป็นอาหารอันโอชาที่รวมกันได้อย่างกลมกล่อม
เมื่อถึงตอนกลางคืน แสงไฟภายในห้องของหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ยังคงส่องสว่าง
หลินชิงเหอกำลังอ่านหนังสือขณะกินมะเขือเทศไปด้วย โจวชิงไป๋เองก็ถือมะเขือเทศในมือเช่นกัน
“ทันทีที่คุณเปิดร้านในวันข้างหน้าแล้ว เรามาเก็บผักผลไม้ตอนที่อยู่ในฤดูของมันไว้เป็นไส้เกี๊ยวในฤดูหนาวเถอะค่ะ มันคงจะสดใหม่มาก” หลินชิงเหอบอก
“ไม่จำเป็นหรอก แค่ทำตามคนอื่นก็พอ” โจวชิงไป๋พูด
หลินชิงเหอยิ้มขณะมองหน้าเขา “ถึงตอนที่การขนส่งจากทางใต้มาถึงและสามารถปลูกพืชผักในเรือนกระจกได้ ถึงตอนนั้นเราคงไม่ต้องกังวล แล้วฉันก็ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มิติของฉันแล้วค่ะ”
“งั้นเก็บไว้ใช้ในครอบครัวเราเถอะ” โจวชิงไป๋ตอบ
เขาพูดเช่นนี้ก็เพราะเหตุผลที่ว่าไม่อยากเปิดเผยลับลมคมในเรื่องที่ภรรยามีของวิเศษแบบนี้ให้กับใคร
“ก็ได้ค่ะ” หลินชิงเหอเห็นด้วยโดยดี
เห็นว่าโจวชิงไป๋กินหมดแล้ว หญิงสาวก็ยื่นมะเขือเทศให้เขากินอีกผล “วันนี้อากาศแห้งมากเลยนะคะ คุณกินอีกลูกเถอะค่ะ”
โจวชิงไป๋ชอบกินมะเขือเทศอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าเธอยังเก็บไว้อีกเป็นจำนวนมาก เขาก็ไม่เกรงใจ
หลังกินมะเขือเทศแล้ว ตัวเขาเองก็หยิบสมุดมาจดความคิดของตัวเองลงไป เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วทั้งคู่ก็เข้านอน
“เสี่ยวเหมยคลอดลูกสาวอีกคนแล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างมีอารมณ์ขณะนอนลง
ชีวิตช่างคาดเดาไม่ได้จริง ๆ โจวเสี่ยวเหมยน้องสามีคนนี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก หล่อนเคยเป็นหญิงสาวแสนอ่อนหวาน แต่ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโจวเสี่ยวเหมยถึงเต็มใจให้กำเนิดบุตรมากมายขนาดนั้น เป็นเพราะซูต้าหลินช่างเอาใจใส่เธอได้อย่างไร้ที่ตินี่เอง
“อืม ต้าหลินมาบอกข่าวดีเรื่องนี้แล้วล่ะ” โจวชิงไป๋ตอบ
“เจ้าใหญ่เด็กตัวเหม็นคนนั้นไม่ได้กลับมาในปีนี้ เมื่อเราไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้วก็มาเจอกับเขาหน่อยแล้วกันค่ะ” หลินชิงเหอบอก
โจวชิงไป๋ไม่ได้คัดค้านเช่นกัน เขาลูบเอวภรรยา ทำให้หลินชิงเหอรู้สึกสบายและเอ่ยขึ้นมา “ชิงไป๋ ฉันดีใจมากเลยค่ะที่ซื้อร้านค้าร้านนี้ได้”
“อนาคตคุณก็ซื้อเพิ่มอีกสิ” โจวชิงไป๋ตอบ
เขาได้ยินที่เธอบอกแล้วว่าในอนาคตอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวงจะมีราคาแพงอย่างน่ากลัว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น ไม่อาจจินตนาการได้เลย
ดังนั้นถือโอกาสที่มันยังมีราคาถูก พวกเขาต้องซื้อเก็บไว้จำนวนหนึ่งก่อน
หลินชิงเหอยิ้มกริ่มพลางเอ่ยตอบ “ฉันอยากจะซื้อมากกว่านี้อยู่แล้วค่ะ นี่ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องหาเงินเยอะ ๆ อย่างไรล่ะคะ”
หลังกลับมาจากไห่หนานแล้ว เธอก็ทำกำไรได้ราวหลักพันเลยทีเดียว
เมื่อพูดถึงเรื่องหาเงิน มันก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะหาเงินได้ดีกว่าการนำของมาขายต่อแล้ว ความเสี่ยงมีมากก็จริง แต่ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน การกล้าพุ่งตัวเข้าหาความเสี่ยงก็หมายถึงผลตอบแทนที่สูงกว่าหากว่าประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นเธอยังมีตัวช่วยโกงอย่างมิติเก็บของอยู่ด้วย
“อืม” โจวชิงไป๋เห็นด้วยอย่างจริงจัง
เขาอยากทำงานเพื่อเก็บเงินเหมือนกัน ไม่อาจปล่อยให้ภรรยาเป็นผู้แบกภาระเพียงคนเดียวได้หรอก
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พ่อเตรียมฝึกเป็นคนขายเกี๊ยวแล้วค่ะ ขอให้ร้านเกี๊ยวของพ่อกับแม่เฮงๆ ร่ำรวยไวๆ นะคะ
ไหหม่า (海馬)