บางแห่งในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นราวกับไม่เห็นด้วยที่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าฆ่าคนอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่อยากออกหน้ามาถกเถียงด้วย
ข้างกายคนที่ถอนหายใจมีเสียงแก่ชราดังขึ้นตามมา “ก็แค่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินชิงตูลงมือเพราะมีเหตุผล เจ้าก็อดทนไว้หน่อยเถอะ”
คนที่ถอนหายใจถอนหายใจซ้ำอีกรอบ
เสียงแก่ชราหัวเราะอย่างอ่อนใจ พยายามอธิบายเต็มที่ “อธิบายกฎของลัทธิขงจื๊อพวกเจ้ากับเฉินชิงตู ก็เหมือนไก่พูดกับเป็ด จะมีความหมายอะไร? อีกอย่างความรู้ลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าก็กล่าวไว้ว่าให้ ‘เรียนรู้จากคนใกล้ตัว’ ไม่หวังเป็นศาสดา ไม่หวังเป็นอมตะ มหามรรคาใต้ฝ่าเท้าไม่สูงและไม่ไกล แล้วจะต้องตำหนิคนอย่างเฉินชิงตูที่มีคุณธรรมน้ำมิตร ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบมาตลอดเวลาไปทำไม? ขอแค่เจ้าไม่ใช้มาตรฐานของอริยะไปวัดเฉินชิงตู ทุกอย่างก็ง่ายมากแล้ว”
คนผู้นั้นเอ่ยเสียงเฉยชา “ไม่ว่าครั้งใดก็ตามที่เฉินชิงตูไม่ใช้เหตุผล ผลกระทบที่เขาสร้างขึ้น เกรงว่าต่อให้คนธรรมดาไม่ใช้เหตุผลหนึ่งหมื่นครั้งก็ยังเทียบไม่ได้”
ผู้เฒ่าหัวเราะ “เฉินชิงตูเป็นผู้ฝึกกระบี่ เจ้าคือปัญญาชนขงจื๊อ เหมือนกันซะที่ไหน”
ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นเงียบไปนาน สุดท้ายพึมพำเบาๆ ว่า “จอมปราชญ์ขงจื๊อวิ่งเต้นเหนื่อยยากเพื่อสิ่งใด? เดินทางท่องไปทั่วหล้า โลกก็ยังชั่วร้ายและเสื่อมทราม”
ผู้เฒ่าที่โน้มน้าวไม่ได้ผลถอนหายใจหนึ่งที
กลางนครที่อยู่ทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีคนแผดเสียงดังก้อง “เฉินชิงตู!”
รุ้งยาวเส้นหนึ่งพุ่งจากพื้นที่ราบ หอบหุ้มพลังอำนาจรุนแรงอย่างที่ใครก็ไม่อาจขัดขวางพุ่งตรงไปยังหัวกำแพงเมือง
ผู้เฒ่าหลังค่อมที่กระโดดลงจากหัวกำแพงเมืองไปแล้วขมวดคิ้ว สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ กระชากเอาเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงให้มาอยู่ด้านหลังตัวเอง ส่วนตัวเขาก็มายืนแทนตำแหน่งที่เฉินผิงอันยืนอยู่ก่อนหน้านี้พอดี ปะทะกับผู้ฝึกกระบี่ที่พุ่งมาอย่างดุดันผู้นั้นซึ่งๆ หน้า ผู้เฒ่าหรี่ตากล่าวว่า “ทำไม ลูกหลานในตระกูลเจ้าเป็นหนอนบ่อนไส้ให้เผ่าปีศาจ ยังคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกอีกรึ?”
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นลอยตัวอยู่ห่างจากนอกหัวกำแพงไปสี่ห้าจั้ง คือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่หนวดเคราเป็นสีขาวหิมะ มีบารมีน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสที่อายุมากที่สุดและมีวิชากระบี่สูงที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้เฒ่าท่านนี้ก็ยังไร้ความยำเกรง ซักไซ้เอาความด้วยสีหน้าโกรธเคือง “ตระกูลต่งของข้าย่อมมีกฎบ้าน มีวิธีจัดการกับคนทรยศเป็นของตัวเอง ถอยไปพูดหมื่นก้าว อิ่นกวานยังไม่ได้ตัดสินว่าความผิดของหลานข้าหนักหรือเบา เจ้าเฉินชิงตูมีสิทธิ์อะไรมาจัดการต่งกวานพู่?!”
ผู้เฒ่าที่ตั้งแต่หนวดเคราไปจนถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างก็เป็นสีขาวหิมะมีท่าทีบีบคั้นเอาเรื่อง เขาเพิ่มระดับน้ำเสียงให้สูงขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าต่งซานเกิงตายไปแล้วหรือไง?!”
ใบหน้าของเฉินชิงตูเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน “ก่อนหน้าที่ต่งกวานพู่จะตายภายใต้คมกระบี่ของข้า ข้าคิดว่าเจ้าต่งซานเกิงตายไปแล้วจริงๆ เส้นสายของเผ่าปีศาจที่อยู่ในตระกูลให้เห็นทนโท่ ตระกูลต่งของเจ้ายังต้องใช้เวลาตรวจสอบถึงหนึ่งเดือน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากเปลี่ยนเป็นสกุลอื่น ยกตัวอย่างเช่นสกุลเฉิน ให้เวลาวันหนึ่งยังรังเกียจว่ามากไปเลย!”
ไฟโทสะของผู้เฒ่าแซ่ต่งที่บุกมาจากในเมืองพุ่งสูงเสียดฟ้า “เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่ยินดีจะปรับปรุงตัว ทำความดีไถ่โทษไม่เป็นประโยชน์ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่มากกว่าศพศพหนึ่งหรอกหรือ?”
แม้แต่จะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ เฉินชิงตูยังคร้านจะพูด เขาเพียงหัวเราะหยันกล่าวว่า “ใต้คมกระบี่ของข้ายังจะเหลือศพด้วยรึ? หรือว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยคนนี้แอบเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว?”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าต่งซานเกิงถลึงตาปูดโปน ปณิธานกระบี่ทั่วร่างไหลเชี่ยวกรากประหนึ่งคลื่นลูกยักษ์ที่โถมกระทบกำแพงเมือง ส่งเสียงดังครืนครั่น
เฉินชิงตูเลิกคิ้วสูง “ทำไม จะลงมืองั้นรึ?”
ต่งซานเกิงเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว โมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “คนอื่นต่างก็กลัวเจ้าเฉินชิงตู แต่ข้าไม่กลัว! ลงมือก็ลงมือสิ มีอะไรให้ต้องไม่กล้ากัน?!”
น้ำเสียงไร้เดียงสาดังขึ้นมาจากหัวกำแพงที่ห่างไปไกล ถ้อยคำที่กล่าวค่อนไปทางเศร้าสร้อยและน้อยเนื้อต่ำใจ “พอเถอะ ต้องโทษข้า ข้าตัดใจให้ต่งกวานพู่ตายเร็วขนาดนั้นไม่ลง ถึงอย่างไรเสี่ยวต่งก็คือหนึ่งในคนไม่กี่คนที่ข้าชอบมากที่สุด ตอนนี้ข้าชอบเฉาสือมากเท่าไหร่ ในอดีตก็ชอบเสี่ยวต่งขี้มูกยืดมากเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้เขาตายไปแล้ว…ก็ให้แล้วกันไปเถอะ”
คนที่ส่งเสียงก็คือแม่นางน้อยผมแกละที่สวมชุดคลุมสีดำตัวใหญ่ ใต้เท้าอิ่นกวานในรุ่นนี้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
โดยที่ไม่ทันมีใครรู้ตัว บริเวณโดยรอบหัวกำแพงก็มีผู้ฝึกกระบี่ชั้นบนสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่สิบกว่าท่านปรากฎตัวอยู่ไกลๆ บ้างก็เป็นเจ้าประมุขตระกูลใหญ่ บ้างก็เป็นเซียนกระบี่ที่มีพลังการต่อสู้เป็นเอก
มีเพียงอริยะสองท่านที่มีคุณสมบัตินั่งในตำแหน่งทัดเทียมกับเฉินชิงตูเท่านั้นที่ไม่ได้มา
บุรุษหน้าตาหล่อเหลาลักษณะเหมือนชายวัยกลางคนตวาดกร้าว “ต่งซานเกิง เรื่องนี้เจ้าทำไม่ถูก ผิดมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย! ตลอดหลายปีมานี้เจ้าฝากความหวังไว้ที่ต่งกวานพู่มากเกินไป ถึงได้ทำให้จิตแห่งกระบี่ของต่งกวานพู่เปลี่ยนไปเป็นสุดโต่งขนาดนั้น เขาดึงดันจะไปหาประสบการณ์ในใจกลางถิ่นของเผ่าปีศาจเพียงลำพัง ถึงได้ก่อหายนะครั้งนี้ขึ้นมา เขารู้สึกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่งซานเกิง มีอาเหลียงแล้วก็ยังสามารถมีต่งกวานพู่เพิ่มขึ้นมาได้อีกคน ข้ารู้สึกว่าไม่ใช่ แต่เขาไม่ฟังก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อน แต่เจ้าล่ะ? เจ้าจะไม่รู้ถึงความอันตรายที่ซ่อนอยู่บ้างเลยหรือ?”
ต่งซานเกิงสีหน้าเย็นชา “ลูกหลานตระกูลต่งของข้าสมควรต้องมีใจทะเยอทะยานอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องห้ามเขาด้วย? ข้าอยากจะให้ลูกหลานตระกูลต่งของข้าทุกคนมีวิถีกระบี่สูงกว่าข้าต่งซานเกิงด้วยซ้ำ!”
กล่าวถึงตรงนี้ต่งซานเกิงก็หลุดหัวเราะพรืด “ถึงอย่างไรตระกูลต่งของพวกเราก็ไม่ได้เป็นอย่างตระกูลเฉิน ฉี และตระกูลน่า ไม่ได้มีแผนการในใจที่แยบยลมากมายขนาดนั้น”
ไม้นี้ที่ชายชราผู้กำเริบเสิบสานฟาดออกไป เรียกได้ว่าตีหน้าคนเกือบครึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่
บุรุษหล่อเหลาผู้นั้นแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้งแล้วไม่พูดอะไรอีก
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าผู้เฒ่าแซ่ฉีก็รวมอยู่ในคนเหล่านี้ด้วย เวลานี้เขาเปิดปากพูดเนิบช้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะยังทำอะไรได้อีก? ศัตรูตัวฉกาจมาอยู่ตรงหน้า พวกเรายังจะขัดแย้งกันเองภายในอีกรึ?”
ผู้เฒ่าแบกกระบี่ใบหน้าแห้งตอบสวมคลุมตัวยาวคนหนึ่งพยักหน้ารับเบาๆ “ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำก็คือรับมือกับการโจมตีจากเผ่าปีศาจเสียก่อน จะมาทะเลาะกันเองไม่ได้ จะทำให้พวกเดรัจฉานที่อยู่ทางทิศใต้พวกนั้นได้เปรียบซะเปล่าๆ”
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าไม่สนใจทั้งสองท่านที่หวังดีทำตัวเป็นกาวประสานใจ ยิ่งไม่มีท่าทีจะไกลี่เกลี่ยปัญหายุติความขัดแย้ง เขาจ้องต่งซานเกิงเขม็งพลางยิ้มพูดว่า “หากสร้างความชอบสามารถไถ่โทษได้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าก็สามารถฆ่าเจ้าต่งซานเกิง จากนั้นให้อิ่นกวานฉีกหน้าบันทึกคุณความชอบไม่กี่หน้าของเจ้าทิ้ง ก็เท่ากับว่าจบเรื่องกันแล้วใช่ไหม?”
ต่งซานเกิงพูดไม่ออกทันที
บรรยากาศพลันกระอักกระอ่วน แข็งค้างและหนักอึ้ง
เฉินผิงอันที่มองเห็นภาพนี้จากด้านหลังเซียนกระบี่ผู้เฒ่ารู้สึกเพียงว่าหลังจากคนเหล่านี้ปรากฏตัว ปราณกระบี่บนหัวกำแพงเมืองก็เริ่มหนักมากขึ้น กดทับจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก
ต่งซานเกิงพลันหันหน้าไปมองรอบด้านแล้วตวาดว่า “มาดูเรื่องสนุกหามารดาเจ้า มาร่วมความครึกครื้นหามารดาเจ้ารึ ไสหัวไป!”
เสาหลักของกำแพงเมืองปราณกระบี่สิบกว่าท่านรู้ว่าผู้เฒ่าต่งกำลังหาบันไดลงให้กับตัวเอง วันนี้เขาที่หวังว่าจะมาชวนทะเลาะลงไม้ลงมือก็คงไม่ได้ทำอย่างใจหวังแล้ว ทุกคนจึงพากันหายตัวไป กลับไปยังนครทางทิศเหนือ
เมื่อทุกคนพากันกลับไป เฉินผิงอันถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าหนิงเหยาก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย นางขี่กระบี่ขยับเข้าใกล้หัวกำแพงช้าๆ ต่งซานเกิงชำเลืองตามองแม่นางน้อยแล้วพูดเสียงขุ่น “นังหนูหนิง อย่าได้ทำตัวเหมือนพ่อแม่ที่ไร้ค่าของเจ้า ข้ายังคงชอบเจ้ามาก”
หนิงเหยาสีหน้าไร้อารมณ์
ต่งซานเกิงก็ไม่ถือสา หมุนตัวก้าวยาวๆ เหยียบลมกลับเมืองไป
ใต้เท้าอิ่นกวานที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงคือคนที่ไม่สนใจใยดีอะไรมากที่สุด เพราะเอาแต่แอบหาวอยู่ตลอดเวลา เวลานี้นางพลันขมวดคิ้ว ทำท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็อ้าปากกว้าง ยื่นนิ้วโป้งไปดันฟันซี่ที่อยู่ไม่เป็นสุขแล้วโยกเบาๆ สุดท้ายก็ยังตัดใจดึงมันออกมาไม่ได้จึงหุบปาก หมุนตัวกลับแล้วเดินพึมพำจากไปไกล
ดูเหมือนเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินชิงตูจะเคยชินกับเหตุการณ์อย่างค่ำคืนนี้มานานแล้ว จึงหันไปส่งยิ้มให้หนิงเหยา แล้วกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินไปยังกระท่อมของตัวเอง
เฉินผิงอันกระโดดกลับขึ้นไปหัวกำแพง ไปยืนเคียงไหล่กับหนิงเหยา
หนิงเหยาไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหรนัก “กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ยังดีที่กฎข้อที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
เฉินผิงอันหันมามองหนิงเหยาด้วยความใคร่รู้
หนิงเหยาจึงตอบช้าๆ ว่า “ปลายกระบี่ชี้ไปทางใต้”
คำง่ายๆ แค่สี่คำก็ทำให้จิตใจของเฉินผิงอันเริ่มแกว่งไกว สั่นสะเทือนไม่หยุด
เฉินผิงอันอดหันหน้าไปมองทางทิศใต้ไม่ได้
หนิงเหยาเอื้อมมือไปปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเฉินผิงอันมาด้วยตัวเองแล้วเริ่มดื่มเหล้า
เฉินผิงอันถอนสายตากลับ ถามเบาๆ ว่า “ต่งกวานพู่ที่เป็นคนทรยศ ใช่คนประเภทเดียวกับที่เจ้าพูดถึงไหม? คนที่เคยเป็นวีรบุรุษในสนามรบ แต่พออยู่ในเมืองกลับไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ท่านปู่เสี่ยวต่งเป็นคนที่ไม่เลวเลย แต่ไหนแต่ไรมาเขาที่อยู่อาศัยทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่มักจะเก็บตัวสันโดษ ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร บางครั้งที่ข้าเจอเขาตอนยังเป็นเด็ก ท่านปู่เสี่ยวต่งจะเป็นคนที่มีมารยาทมาก แม้ว่าจะไม่ชอบพูด แต่ทุกครั้งจะต้องส่งยิ้มให้ข้าราวกับเป็นผู้อาวุโสในตระกูล”
หนิงเหยานั่งขัดสมาธิ กล่าวอย่างจนใจว่า “ไม่มีใครรู้ว่าทำไมท่านปู่เสี่ยวต่งถึงได้ไปสวามิภักดิ์กับเผ่าปีศาจ อาจเป็นเพราะปีนั้นตอนที่ไปหาประสบการณ์พาตัวไปเสี่ยงอันตราย ได้เกิดปัญหาใหญ่กับตัวเขากระมัง อันที่จริงเซียนกระบี่ที่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อไปขัดเกลาวิถีกระบี่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพังมีมากมาย เพราะปีศาจห้าขอบเขตกลางของที่นั่นชอบเห็นว่าการฝึกตนจนมีร่างเป็นมนุษย์คือเกียรติยศอย่างหนึ่ง เวลาปกติหน้าตาของพวกมันจึงไม่ต่างอะไรจากพวกเรา มีเพียงเจอกับอันตรายคับขันบนสนามรบเท่านั้นถึงจะเผยร่างจริง อาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่งแต่กำเนิดมาต้านทานกระบี่บิน ดังนั้นขอแค่เซียนกระบี่อำพรางตัวเองอย่างระมัดระวังก็ไม่ง่ายนักที่จะถูกจับได้”
การที่มนุษย์คือผู้นำแห่งหมื่นสรรพสิ่งก็เพราะว่า เดิมทีช่องโพรงลมปราณในร่างมนุษย์ก็คือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก ดังนั้นเผ่าปีศาจถึงพยายามฝึกตนให้ได้มีร่างกายเป็นมนุษย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะเมื่อทำสำเร็จ การฝึกตนหลังจากนั้นจะเหนื่อยแค่ครึ่งเดียวแต่ได้ผลประโยชน์เป็นเท่าตัว เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูบนภูเขาลั่วพั่วก็เป็นเช่นนี้
หนิงเหยากล่าวต่อว่า “แน่นอนบุคคลพิเศษบางส่วนของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะถูกปีศาจใหญ่ระดับสูงสุดแอบจดจำไว้และนำไปลงบันทึกด้วยวิธีการลับ จึงยากที่บุคคลพิเศษเหล่านั้นจะสามารถไปท่องอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ แต่ได้ยินมาว่ารายชื่อที่เขียนลงไปในสมุดบันทึกนั้นมีจำกัด เซียนกระบี่ที่ถูกเขียนชื่อลงไปมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่มักจะให้เซียนกระบี่คนหนึ่งที่อยู่ในบ้านเกิดของข้ารบตายไปก่อน แล้วค่อยเพิ่มเข้าไปอีกคน ตามหลักแล้วตอนที่ท่านปู่เสี่ยวต่งออกจากบ้านเดินทางไกลก็เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดธรรมดาเท่านั้น ไม่ควรจะถูกบันทึกลงในสมุดเล่มนั้น อีกอย่างตระกูลต่งก็มีรากฐานลึกล้ำ พวกเขาจึงมีวิชาลับเฉพาะที่ช่วยอำพรางลมปราณ ยากมากที่จะถูกจับได้”
—–