เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เกี่ยวกับมรสุมครั้งนี้ ก่อนหน้านั้นเจ้าเคยทำนายและรู้คำตอบมาก่อนล่วงหน้าแล้วหรือเปล่า?”
ลู่ไถยกมือขึ้น หยุดชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็ลูบไปที่เส้นผมข้างหู ดวงตามีประกายน้ำเปล่งวิบวับ ทำมือชดช้อย พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าทำนายดวงอยู่ทุกวัน นี่คือการบ้านที่ลูกศิษย์สำนักหยินหยางต้องทำเป็นประจำ ไม่อย่างนั้นคราวนี้ก็คงบอกให้เจ้าเผ่นหนีไปก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่อาจบอกเจ้าได้ บอกแล้วจะไม่ศักดิ์สิทธิ์”
เฉินผิงอันใช้สายตามองประเมินลู่ไถ “คราวหน้าอย่าให้เกิดขึ้นอีก”
ลู่ไถเบ้ปาก กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “คล้อยไปตามสถานการณ์ มีอะไรที่ไม่ดี ผลประโยชน์มาอยู่ตรงหน้าไม่คว้าไว้ คงต้องถูกฟ้าผ่า”
กล่าวมาถึงตรงนี้ลู่ไถก็บิดข้อมือ แผ่นหยกสีเขียวชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ “วัตถุฟางชุ่นของหม่าว่านฝ่า สมบัติของเขาล้วนอยู่ในนี้แล้ว เมื่อเทียบกับโต้วจื่อจือที่ฝึกวรยุทธ์ หม่าว่านฝ่าถือว่ามีชีวิตอยู่ได้ไม่เลว เป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณประตูมังกรคนหนึ่งกลับได้ครอบครองวัตถุฟางชุ่น แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของคนผู้นี้อยู่ตรงไหน?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ลู่ไถหัวเราะหึหึ “หม่าว่านฝ่าคือคนเลี้ยงไหมที่หาได้ยาก เชี่ยวชาญการสาวเส้นไหม ดังนั้นถึงปรารถนาอยากได้ตัวพวกเราสองคนขนาดนี้ไงล่ะ การที่เขาหาพรรคพวกกลุ่มใหญ่มาล้อมโจมตีพวกเราก็เพราะหม่าว่านฝ่ามั่นใจว่าเมื่อพวกเราตายไปแล้วจะสามารถเอาวัตถุฟางชุ่นของพวกเราออกมาได้ คาดว่าหม่าว่านฝ่าคงคิดไม่ถึงว่าพวกเราสองคนจะเป็น ‘เซียนกระบี่’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของข้าไม่ต้องคิดให้มากความ แต่กระบี่สองเล่มของเจ้ากลับบอกได้ยาก หากถูกคนแย่งเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไปได้…”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ต่อคำ
สำหรับการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตและสมบัติอาคมอาวุธวิเศษให้เป็นภาพมายา เนื่องจากเคยหลอมชุดคลุมอาคมจินหลี่และเชือกพันธนาการปีศาจที่ภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันจึงพอจะเข้าใจคร่าวๆ วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็เหมือนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ คนตายก็หายสาบสูญ แม้แต่เทพเซียนก็ยากจะรั้งไว้ได้อยู่
แต่วัตถุทั่วไปที่ถูกหล่อหลอม แม้ว่าจะถูกซ่อนไว้ในช่องโพรงลมปราณอย่างเป็นความลับ แต่เมื่อคนตายไปก็มีความเป็นไปได้ว่าจะไปล่องลอยอยู่ในจิตวิญญาณ ไม่สลายหายไปได้เร็วขนาดนั้น
หากเป็นวัตถุที่มีระดับขั้นสูงมาก ต่อให้จิตวิญญาณของร่างที่สิงสู่แตกสลายก็มีความเป็นไปได้ว่าจะ ‘กระโดดออกมา’ กลับสู่โลกมนุษย์ บนโลกมีพื้นที่ลับมากมายที่เกิดจากถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลปริแตก หลังจากที่จวนตระกูลเซียนถูกคลายผนึกพันธนาการ เหตุใดบริเวณใกล้เคียงกับศพของเซียนที่ตายในสนามรบมักจะมีสมบัติอาคมชั้นเยี่ยมถูกทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ ก็คือเหตุผลข้อนี้
สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว วัตถุชะตาแห่งชีวิตถูกกำหนดมาแล้วว่ามีน้อยมาก แต่วัตถุที่ถูกหล่อหลอมกลับมีจำนวนมากกว่า แต่ถึงกระนั้นก็ยังน้อยจนนับนิ้วได้
ยิ่งเป็นวัตถุวิเศษและสมบัติอาคมที่ระดับขั้นยิ่งสูงก็ยิ่งหล่อหลอมได้ยากมากเท่านั้น วัตถุดิบวิเศษ เวลาและกำลังที่ต้องเผาผลาญไป มากพอจะทำให้ผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ที่ระดับขั้นต่ำกว่าเซียนดินยอมแพ้
และอย่างกระบี่เซียนของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ต่อให้คนที่ถือกระบี่คือเทียนซือใหญ่ที่มีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้าก็ยังยากที่จะหลอมมันให้กลายมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้
กระบี่เซียนของเต๋าเหล่าเอ้อร์ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เก้าทวีปมีเซียนกระบี่จำนวนมาก แน่นอนว่ากระบี่เซียนก็ต้องมากตามไปด้วย แต่กระบี่เซียนที่ตรงตามความหมายแท้จริง ต่อให้เอาหลายใต้หล้ามารวมกัน อันที่จริงก็ยังมีแค่สี่เล่มเท่านั้น
แค่สี่เล่มเท่านั้น
เป็นอย่างนี้มานานนับหมื่นปีแล้ว
ดังนั้นหร่วนฉงแห่งศาลลมหิมะถึงได้สาบานว่าจะต้องหลอมกระบี่เซียนเล่มใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และจะไม่มีปรากฏอีกในอนาคต
หากคนในปัจจุบันไม่มีอะไรสู้คนในสมัยก่อนได้เลยก็คงน่าเบื่อไร้รสชาติ
ส่วนเรื่องที่ผู้ฝึกตนใหญ่สำนักการทหารถูกขนานนามให้เป็นคลังยุทโธปกรณ์ที่เดินได้
ก็เพราะว่าพวกเขาสามารถหล่อหลอมสมบัติอาคมไว้ติดกายได้มากกว่า
ลองจินตนาการดู ผู้ฝึกตนสำนักการทหารมีเวทลับที่ทำให้คนเหมือนมีสามเศียรหกกรคอยช่วยเหลือ ในมือถืออาวุธเทพหลายชิ้น บนร่างห่มเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างชั้นเยี่ยมหนึ่งตัว บวกกับร่างกายที่ถูกหล่อหลอมมาให้แข็งแกร่ง ใครยังจะกล้าเป็นศัตรูกับพวกเขา?
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารมีชื่อเสียงว่าฆ่าไม่ตาย แต่ยิ่งเลื่องลือด้านฆ่าคนอื่นให้ตายอย่างง่ายดายมากกว่า
ลู่ไถอารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด ช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟังว่าอะไรคือคนเลี้ยงไหม “วัตถุฟางชุ่นค่อนข้างพิเศษ เพราะไม่ค่อยเหมือนกับวัตถุแห่งชะตาชีวิตและวัตถุที่ถูกหล่อหลอม ไม่เหมือนกับอาวุธอาคมหรือกระบี่บิน พวกมันคล้ายคลึงกับถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ไม่สามารถทำลายได้ในทันทีทันใด อีกทั้งยังยากมากที่จะหลอมวัตถุฟางชุ่นให้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ดังนั้นทำอย่างไรถึงจะดึงวัตถุฟางชุ่นออกมาจากร่างของผู้ฝึกลมปราณจึงกลายเป็นความรู้ใหญ่อย่างหนึ่ง เพราะหากทำได้สำเร็จก็ถือเป็นการค้าที่ได้กำไรมหาศาลอย่างที่เรียกว่าสามปีไม่เปิดกิจการ เปิดกิจการทีกินได้นานสามปี คนบนภูเขามีคนประเภทหนึ่งที่ถูกเรียกว่าคนเลี้ยงไหมโดยเฉพาะ พวกเขาจะมีวิธีลับที่ได้รับการสืบทอดมาจากตระกูลหรือไม่ก็สืบทอดจากอาจารย์ สามารถดึงเอาวัตถุฟางชุ่นออกมาจากวิญญาณของผู้ฝึกลมปราณได้”
ลู่ไถจุ๊ปากพูด “หากหม่าว่านฝ่าสังหารพวกเราได้สำเร็จก็คงรวยเป็นเศรษฐี น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเจ้าบวกกับวัตถุฟางชุ่นของข้า ไม่แน่ว่าแค่เขาทุ่มเงินก็อาจกลายเป็นเทพเซียนพสุธาได้เลย”
จู่ๆ ลู่ไถก็หรี่ตาลง ยิ้มถามว่า “เจ้าจะไม่ถามหน่อยหรือว่าข้าสังหารผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรอย่างไร?”
เฉินผิงอันถอยหลังไปหนึ่งก้าว ชูอีกับสืออู่พุ่งออกมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ลอยประกบซ้ายขวาคุ้มกันเฉินผิงอัน
ลู่ไถถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันชี้ไปที่มือด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ข้อมือของลู่ไถไม่มีเชือกห้าสีพันอยู่
อีกอย่างถึงแม้ลู่ไถที่อยู่ตรงหน้าจะจงใจทำท่ามีจริตจะก้านเหมือนสตรี แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าดูไม่เป็นธรรมชาติเหมือนก่อนหน้านี้
บวกกับการที่ลู่ไถจงใจเปิดเผยตัวตนคนเลี้ยงไหมของหม่าว่านฝ่าซึ่งเหมือนต้องการบอกว่าที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง (เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึงการกระทำที่อยากปกปิดความจริง แต่กลับเป็นการเปิดเผยเสียมากกว่า)
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันถามเรื่องทำนายดวง ลู่ไถกลับตอบได้อย่างไม่มีพิรุธ นี่ถึงเป็นจุดที่น่าแปลกใจ หรือว่าหม่าว่านฝ่าก็เป็นผู้ฝึกตนลัทธิมารที่ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญเวทอำพรางตา แต่ยังเชี่ยวชาญการกักวิญญาณเหมือนกัน?
สีหน้าของลู่ไถเยียบเย็นก่อน จากนั้นก็กลั้นยิ้ม สุดท้ายอดไม่ไหวกุมท้องหัวเราะก๊าก ชี้หน้าเฉินผิงอัน “หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ข้าแสร้งออกอุบายเช่นนี้ ทั้งเก็บเชือกห้าสี ทั้งแสร้งทำสีหน้าท่าทางผิดปกติ แถมยังปล่อยปราณสังหารออกมาเล็กน้อย ก็คงไม่ต่างจากการชม้อยชม้ายชายตาให้คนตาบอดดู แต่เมื่อใช้กับเจ้าเฉินผิงอันกลับพอเหมาะพอดี เอาล่ะๆ บาดแผลตรงหัวใจที่โดนกระบี่ของโต้วจื่อจือแทง เจ้าก็รีบกระอักเลือดออกมาซะ ไม่อย่างนั้นจะทิ้งต้นตอโรคร้ายไว้เบื้องหลัง”
ลู่ไถเห็นว่าเฉินผิงอันยังไม่ยอมเชื่อทั้งหมดก็หัวเราะจนน้ำตาแทบเล็ด เอ่ยเบาๆ ว่า “เจินเจียน ม่ายกวาง ออกมา”
กระบี่ใหญ่ยักษ์เล่มหนึ่งหยุดลอยอยู่กลางอากาศ และยังมี ‘รัศมีแสงปลายรวงข้าว’ สีทองอร่ามอีกเส้นหนึ่งด้วย
เฉินผิงอันโล่งอก หลังจากแน่ใจในตัวตนของลู่ไถแล้วถึงได้รีบหันไปถ่มเลือดหนึ่งคำลงบนพื้น ก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคือง “ลู่ไถ!”
ลู่ไถดีดนิ้วหนึ่งครั้ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่างเจินเจียน ม่ายกวางถึงกลับเข้าไปพักในช่องโพรงลมปราณอีกครั้ง
ในมือของลู่ไถก็มีพัดไม้ไผ่ด้ามนั้นปรากฏขึ้นมา เขาพัดโบกเอาลมเย็นใส่ตัว หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ใครใช้ให้เจ้าปล่อยพวกปลาและ…”
เฉินผิงอันโมโหจนอยากจะถีบอีกฝ่าย
แต่จู่ๆ ลู่ไถกลับงอตัว ยื่นมือมาอุดปาก เลือดสดไหลเล็ดรอดมาจากร่องนิ้ว
ไล่ฆ่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่เป็นดั่งจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ อีกทั้งยังได้ครอบครองวัตถุฟางชุ่น ไม่ถือว่ายากนัก แต่คิดจะสังหารเขาให้ได้อย่างสิ้นซาก เกรงว่าคงมีแต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองเท่านั้นถึงจะทำได้
ดังนั้นค่าตอบแทนที่ลู่ไถจ่ายไปต้องไม่น้อยอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบจับชายด้านหนึ่งของชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่อยู่บนร่าง กระตุกเบาๆ จินหลี่ทั้งชุดก็ ‘หลุด’ ออกมา เขาโยนมันไปให้ลู่ไถที่ร่างสั่นสะท้านน้อยๆ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ลองสวมดู ข้าถอนตราผนึกที่อยู่บนชุดคลุมออกแล้ว”
ลู่ไถยื่นมือไปคว้าชุดคลุมอาคมสีทองตัวนั้น เขาไม่ได้หยิบมาสวมใส่ จินหลี่กลับสวมลงไปบนร่างของเขาเองในชั่วพริบตา
เขานั่งแปะลงไปบนพื้น สูดลมหายใจหนึ่งครั้ง ขยับขานั่งขัดสมาธิ ใช้นิ้วข้างหนึ่งปาดเลือดแดงฉานบนริมฝีปากทิ้ง ปากก็สบถด่าหยาบคายไปด้วย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่ทำให้คนมองรู้สึกว่าเขาหยาบกระด้าง “หากไม่เพราะต้องการแน่ใจว่าจะรักษาพลังการต่อสู้ขั้นสูงสุดไว้ได้ตลอดเวลา เลยกินยาและยอดสุราไม่ต่างจากหมั่นโถวและน้ำชา ไหนเลยจะมีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ การค้าครั้งนี้ หากพวกเราสองคนแบ่งวัตถุฟางชุ่นของหม่าว่านฝ่ากันคนละครึ่ง เจ้าได้กำไรก้อนโต แต่ข้านี่สิขาดทุนย่อยยับ”
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างกายเขา ปักกระบี่ชือซินลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ พูดเสียงขุ่น “กระบี่เล่มนี้ของโต้วจื่อจือเป็นของข้า ของที่เหลือเจ้าก็เอาไปให้หมดแล้วกัน”
ลู่ไถเบิกตากว้าง พูดอย่างมีโทสะ “กระบี่เล่มนี้ต่างหากที่มีค่ามากที่สุด ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหลอมจิตวิญญาณก็ยังใช้ได้! เพื่อให้ได้สมบัติอาคมชิ้นนี้มาครอบครอง ตอนนั้นโต้วจื่อจื่อต้องยอมทุบหม้อขายเหล็กแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวเลยก็ได้ ครั้งนี้ถึงได้ยอมให้หม่าว่านฝ่าเรียกตัวมาช่วยดักปล้นกลางทาง”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “เรื่องนี้ข้าไม่สนหรอก”
หลังจากได้สวมจินหลี่ ลมหายใจของลู่ไถก็สงบขึ้นเยอะมาก “เอาล่ะ พวกเรามาแบ่งของกันเถอะ”
“ค่ายกลที่อาจารย์คุมทัพจัดวางไว้เรียกว่าค่ายกลย้ายภูเขา สามารถทำให้การไหลเวียนของจิตวิญญาณคนที่ตกอยู่กลางค่ายกลติดขัด เหมือนกับแบกภูเขาลูกหนึ่งไว้บนหลัง ใช้ได้ผลดีกับผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตต่ำกว่าโอสถทอง ธงผืนเล็กๆ พวกนั้นระดับขั้นไม่สูงมาก เพียงแต่ว่ามีเยอะ จึงถือว่ามีมูลค่า”
“ระหว่างทางที่เดินกลับ ข้าเจอกับนักพรตเฒ่าพรรคมหายันต์ที่โชคร้ายคนนั้นพอดี ตาเฒ่าเกือบจะถูกเจินเจียนผ่าครึ่งเป็นสองท่อน ตกใจจนรีบลงไปคุกเข่าอ้อนวอน ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะหน้า ข้าเลยบอกให้เขามอบสมบัติทุกชิ้นที่มีมาให้ ไหนเลยที่ตาเฒ่าจะยินยอม จึงสู้ตายกับข้าเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้าย ข้าเลยได้แต่จบชีวิตของเขาซะ บวกกับที่ต้องตรวจสอบว่าในดวงวิญญาณของนักพรตเฒ่ามีวัตถุฟางชุ่นหรือสมบัติอาคมที่ถูกชุบหลอมอยู่หรือไม่ จึงทำให้อาการบาดเจ็บสาหัสขึ้น”
“น่าเสียดายที่ได้มาแค่ ‘ยันต์ปลาผ้า’ ยันต์ที่เดิมทีกักกระบี่บินสองเล่มของเจ้าก็คือแก่นสำคัญของตำราวาดยันต์เล่มนี้ มีชื่อว่า ‘ยันต์บ่อแห้ง’ ระดับขั้นของยันต์ชนิดนี้เทียบกับยันต์ ‘ยันต์ฝักกระบี่’ และ ‘ยันต์ผนึกภูเขา’ ที่ข้าเล่าให้ฟังไม่ได้ แต่ก็ถือว่าน่าสนใจมากแล้ว หากข้าเอากลับไปไว้ในชั้นหนังสือที่ตระกูลก็ถือว่าได้ทำความดีความชอบครั้งหนึ่ง”
“หากเจ้าสังหารนักพรตเฒ่า พวกเราแบ่งของกันคนละครึ่ง อาการบาดเจ็บข้าก็คงไม่หนักขึ้นไปอีก ข้าทุ่มชีวิตครึ่งหนึ่งสังหารนักพรตเฒ่า แต่ยังต้องมาแบ่งของกับเจ้าคนละครึ่งอีก เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าวว่า “ผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นทุบหม้อดินเผาของตัวเองจนแตก ก่อนหน้านี้ปราณหยินจึงพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า ควันดำซัดตลบอบอวล หากไม่เป็นเพราะชุดคลุมอาคมชุดนี้ก็คงขัดขวางมันไว้ไม่อยู่ และคฤหาสน์แห่งนั้นก็จะถูกพวกเราทำร้ายไปด้วย แบบนี้ไม่เท่ากับว่าทำให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาเดือดร้อนไปเปล่าๆ หรอกหรือ”
ลู่ไถชูแผ่นหยกที่อยู่ในมือขึ้น “แผ่นหยกสีเขียวเข้มชิ้นนี้ทำมาจากวัสดุที่หายากยิ่งกว่าเงินเกล็ดหิมะซะอีก ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครอง ดังนั้นเมื่อเทียบกับวัตถุฟางชุ่นทั่วไป มูลค่าจึงสูงกว่าไม่น้อย อันที่จริงของที่อยู่ด้านในไม่ได้แปลกประหลาดมากนัก เงินทองของมีค่า ของเล่นโบราณหายากบนโลกมีเป็นตั้งๆ แต่เจ้าของสายตาแย่มาก ของปลอมถึงได้ปะปนอยู่นับไม่ถ้วน ยาไม่กี่ขวดในนี้ก็ไม่ได้ดีเด่อะไร หากไม่นับรวมกับแผ่นหยก รวมๆ กันแล้วก็มีมูลค่าประมาณหนึ่งหมื่นเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น เป็นสมบัติของขอบเขตประตูมังกรเหมือนกัน แต่คนของใบถงทวีปเทียบกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ได้จริงๆ”
ในถ้อยคำของลู่ไถเปี่ยมไปด้วยความเสียดาย
รวมไปถึงความภาคภูมิใจที่ตัวเองเป็นคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ก็เหมือนท่าทีของเซียนกระบี่บางคนที่ปฏิบัติต่อผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ
เหมือนคนบางคนที่มาจากอุตรกุรุทวีปปฏิบัติต่อคนที่มาจากแจกันสมบัติทวีป
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันเองที่ตอนนั้นอยู่ตรงด่านชายแดนท่ามกลางลมหิมะ หลังจากได้เห็นหทารม้าเหล็กต้าหลีแสดงความเป็นมิตร และได้ยินว่ากองทัพของแคว้นหวงถิงใกล้เคียงกับคำว่าเละเทะแตกซ่านเต็มที เฉินผิงอันก็ยังแอบดีใจอยู่กับตัวเอง
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แค่หนึ่งหมื่นเหรียญเงินเกล็ดหิมะเองหรือ?!”
ลู่ไถถามกลับ “แล้วจะให้มีมูลค่าเท่าไหร่ล่ะ?”
—–