แนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า แท้จริงแล้วส่วนใหญ่บนภูเขามักจะเป็นผู้ตัดสิน
บนท้องฟ้าที่ห่างไกลไปจากป้อมอินทรีบิน
ทั้งสองฝ่ายกำลังคุมเชิงกัน
ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของพวกเขาคล้ายจะเป็นตัวตัดสินว่าป้อมอินทรีบินจะดำรงอยู่หรือล่มสลาย
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่มบวกกับคนหนุ่มอีกสองคน ซ้ำร้ายยังมีเชือกพันธนาการปีศาจและเข็มขัดห้าสีรัดพันกาย
เรียกได้ว่าผู้เฒ่ากวานสูงตกอยู่ในวงล้อมที่แน่นหนาของศัตรู หาใช่เพราะฝ่ายตรงข้ามมีกองกำลังมาก แค่เพราะอีกฝ่ายมีสมบัติอาคมให้ใช้ไม่หมดหมดสิ้น
เผชิญหน้ากับตัวประหลาดที่อายุยังน้อยสองคนตรงหน้า ราวกับรู้ว่าตัวเองต้องตาย ผู้เฒ่าจึงมีสีหน้าหดหู่ เต็มไปด้วยความจนใจ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “หากไม่เป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ตอนที่เด็กหนุ่มชุดทองแทงข้าหนึ่งกระบี่ ข้าย่อมระเบิดโอสถทองของตัวเองไปแล้ว จากนั้นค่อยใช้จิตหยินที่หลงเหลืออยู่ระเบิดร่างเจ้าให้ตายตกไปตามกัน ถึงอย่างไรในยุคสมัยที่ข้าผู้อาวุโสรุ่งเรืองก็เคยเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองที่ได้สัมผัสธรณีของขอบเขตก่อกำเนิดมาก่อน ต่อให้เจ้าหลบพ้นก็ไม่มีทางดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าเปลือกนอกที่งดงามนี้ก็อาจจะไม่เหลือแล้วก็ได้”
ลู่ไถพยักหน้ารับ ไม่ได้ปฏิเสธ
แต่หางตากลับแอบจับจ้องแขนทั้งสองข้างของผู้เฒ่าผู้กวานสูงตลอดเวลา นั่นต่างหากถึงจะเป็นไม้ตายที่แท้จริงของผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์และฉลาดถึงเพียงนั้น จึงก้มหน้าลงมองตามสายตาของเขาไป จุ๊ปากพูด “ล้วนแต่เป็นของดีทั้งนั้น”
ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านด้วยความรู้สึกหงอยเหงาเล็กน้อย “ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะลูกศิษย์คนสำคัญของบุรพาจารย์ท่านหนึ่งแห่งภูเขาไท่ผิงปรารถนาอยากได้กวานห้าขุนเขาของข้า แต่ข้าไม่ยอมมอบให้เขา ต่อให้ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างทุกวันนี้ก็ตาม เขาที่ไม่ได้สมใจจึงแอบไปติดต่อกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างลับๆ ออกเงินให้พวกเขาเปิดฉากสังหาร สังหารเพื่อนสนิทของข้าจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็หัวเราะหึหึ “ข้าผู้อาวุโสก็ไม่ได้กินหญ้า จึงหาโอกาสปลิดชีพผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรของพวกเขาสองคน พวกเขาต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง แทบไม่ต่างจากพวกเจ้าเลย หากโชคดีก็มีหวังว่าจะเลื่อนขอบเขตสู่ก่อกำเนิด ขอบเขตโอสถทองก็ยิ่งเป็นเรื่องที่แน่นอน ดังนั้นภูเขาไท่ผิงจึงโมโหเจียนคลั่ง ไม่คิดจะรักษามาดอะไรอีกทั้งนั้น ภายนอกป่าวประกาศว่าเป็นโอสถทองหนุ่มคนหนึ่งที่ประมือกับข้า สุดท้ายเล่นงานจนขอบเขตของข้าถดถอย แต่ความจริงล่ะเป็นเช่นไร? ฮ่าๆ ภูเขาไท่ผิงตัวดี เบื้องหลังโอสถทองหนุ่มคนนั้นมีเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งคอยช่วยหนุนหลังต่างหาก เพื่อให้ข้าฝึกปรือฝีมือของโอสถทองหนุ่ม พร้อมกับสร้างชื่อเสียงให้โอสถทองหนุ่มว่าสังหารขอบเขตโอสถทองแก่ๆ คนหนึ่งได้ แถมยังมีประโยชน์ทำให้ขอบเขตของเขามั่นคงยิ่งกว่าเดิม ได้ทั้งสร้างชื่อเสียงที่ดีงาม ได้ทั้งมอบผลประโยชน์ให้แก่เขา พวกเจ้าว่าสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ร้ายกาจหรือไม่ล่ะ?”
สายตาของลู่ไถมองผ่านเบาะรองนั่งของผู้เฒ่าไปยังเฉินผิงอันที่อยู่ห่างออกไป
เขาสามารถพูดในทะเลสาบหัวใจกับเฉินผิงอันได้โดยที่แน่ใจว่าจะไม่ถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทุกคนลอบฟัง แต่เฉินผิงอันดันตอบกลับมาไม่ได้ วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพ พวกชาวบ้านอาจจะรู้สึกว่ามหัศจรรย์ แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา นี่กลับเป็นวิธีแย่ๆ ที่มีระดับขั้นต่ำมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ลู่ไถที่อยากรู้การตัดสินใจของเฉินผิงอันจึงได้แต่แลกเปลี่ยนความคิดกันทางสายตาเท่านั้น
ทั้งๆ ที่เห็นอยู่คาตาว่าคนหนุ่มสองคน ‘เล่นหูเล่นตา’ กันไปมา ทว่าผู้เฒ่ากวานสูงที่กำลังจะเดินไปพบจุดจบของชีวิตกลับไม่ได้สนใจ เขายกแขนขึ้นอย่างยากลำบาก ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาดีดปลายกระบี่แหลมคมที่แทงทะลุหัวใจออกเบาๆ ท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยมาดของวีรบุรุษนี้ทำให้ผู้เฒ่ากระอักเลือดไม่หยุด เพียงแต่ว่าสีหน้าของผู้เฒ่ายังคงเป็นปกติเหมือนไม่รู้สึกรู้สา “หากจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็นกระบี่ประจำกายของมือกระบี่อันดับหนึ่งแคว้นเฉินเซียงที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากสำนักฝูจีกระมัง เดิมทีก็ถือว่าเป็นสมบัติอาคมกึ่งเซียนบนภูเขาอยู่แล้ว พอกินเลือดหัวใจของข้าผู้อาวุโสเข้าไป ในที่สุดก็มีพัฒนาการขึ้นไปอีกขั้น ได้นั่งตำแหน่งของสมบัติอาคมอย่างมั่นคงแล้ว”
ผู้เฒ่ากวานสูงหัวเราะฮ่าๆ หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มชุดทองที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่ ยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว “ไอ้หนู เจ้านี่มันมีเงินจริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ชักกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังออกจากฝัก แต่มันคงไม่ได้เป็นสมบัติอาคมเหมือนกันหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้สักคำ
ผู้เฒ่าดึงสายตากลับมามองท้องฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลมบนนภาพัดแรงจนชายแขนเสื้อสองข้างของผู้เฒ่าที่สภาพสะบักสะบอมพัดดังพึ่บพั่บ
“สมบัติที่มีอยู่ติดกายของข้า เด็กเปรตสองคนอย่างพวกเจ้าที่ทำลายมหามรรคาของข้า อย่าได้หวังว่าจะได้พวกมันไปครอง!”
ทันใดนั้นผู้เฒ่าก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “การตายของข้าในครั้งนี้นับว่าคุ้มค่าแล้ว กระบี่ยาวตรงหัวใจ เข็มขัดหลากสีและเชือกพันธนาการปีศาจบนแขนสองข้าง บวกกับกวานห้าขุนเขาบนศีรษะ เบาะรองนั่งใต้ก้นก็พอจะถือว่าเป็นสมบัติได้หนึ่งชิ้น มีสมบัติอาคมห้าชิ้นถูกฝังไปพร้อมกันด้วย แทบไม่ต่างอะไรจากเซียนดินก่อกำเนิด! หากบวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกสามเล่ม เซียนบนยอดเขาของห้าขอบเขตบนก็เท่านี้เองมิใช่หรือ?”
ร่างของผู้เฒ่าเริ่มเน่าเปื่อย เถ้าธุลีเป็นกลุ่มร่วงเผลาะๆ ลงมา แต่ตรงจุดตันเถียนกลับส่องประกายแสงจ้าแสบตาที่สาดยิงออกไปสี่ด้านแปดทิศ
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น ชูอีสืออู่และม่ายกวางล้วนพากันถอยกรูดไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ออกห่างจากผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่กำลังจะระเบิดจุดตันเถียนของตัวเองผู้นี้
รวมไปถึงชือซินกระบี่ยาวที่ดื่มเลือดผู้เฒ่าจนอิ่มก็ถูกเฉินผิงอันใช้เวทบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่ดึงออกมาจากหัวใจเขาเช่นกัน เพียงแต่ว่าก่อนจะดึงออกมายังไม่ลืมคว้านหนักๆ อีกที ปั่นขยี้หัวใจของผู้เฒ่าจนเละ เห็นได้ชัดว่าต่อให้จะเสี่ยงที่กระบี่ยาวต้องระเบิดไปด้วย แต่เฉินผิงอันก็ต้องการทำให้แน่ใจว่าผู้เฒ่าต้องตายอย่างแน่นอน
ผู้เฒ่าหลุบตาลงต่ำ เมื่อเข็มขัดห้าสีที่สำคัญอย่างถึงที่สุดสำหรับลู่ไถหลุดออกไปจากแขน ผู้เฒ่ากวานสูงก็พลันรู้สึกว่าร่างโล่งสบาย ไม่มีความรู้สึกเหมือนคนถูกรังแกที่ตกอยู่ในสภาพอับจนอีก ผู้เฒ่าหรี่ตาลง แค่รอให้เชือกพันธนาการปีศาจบนแขนอีกข้างถูกเด็กหนุ่มชุดทองดึงกลับไปเท่านั้น
แต่ผู้เฒ่ากลับต้องอึ้งงันราวไก่ไม้
เชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ระดับขั้นสูงมากเส้นนั้นไม่เพียงแต่ไม่หนีหายไป กลับกันยังรัดแขนของเขาแน่นขึ้นอีก แสดงออกชัดเจนว่าพร้อมยอมเป็นสิ่งของที่ถูกฝังไปพร้อมกับร่างเขา
จนกระทั่งถึงบัดนี้ที่ใช้ครบทุกวิธีการที่มีแล้ว แต่สุดท้ายกลับยังไม่อาจพลิกกลับมาเป็นฝ่ายกระทำ ผู้เฒ่าถึงได้ระเบิดความดุร้ายที่สะกดกลั้นเอาไว้และความหวาดกลัวลนลานที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจออกมา
ความกระวนกระวายหวาดหวั่นอย่างที่ห้ามไม่อยู่นี้ ไม่เป็นรองปีนั้นที่ถูกโอสถทองหนุ่มของภูเขาไท่ผิงไล่ฆ่าเลยสักนิดเดียว
ไอ้คำพูดที่บอกว่าอีกฝ่ายมีเซียนดินก่อกำเนิดให้การปกป้องคุ้มครองอย่างไร้ยางอาย บีบให้ผู้เฒ่าต้องกลายมาเป็นตัวขัดเกลาฝีมือของโอสถทองหนุ่มอะไรพวกนั้น แน่นอนว่าเป็นเพียงคำโกหกพกลมของผู้เฒ่ากวานสูง
นี่ก็เพื่อสร้างบรรยากาศจอมปลอมว่าตัวเองยินดีกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างกล้าหาญ หลังจากที่เชือกพันธนาการปีศาจและเข็มขัดหลากสีคลายตัวออก เขาก็จะแบ่งแก่นของจิตหยินกลุ่มหนึ่ง สละทิ้งเลือดเนื้อและตบะเผ่นหนีไปให้ไกล แม้ว่ารากฐานมหามรรคาจะเสียหาย แต่ก็ยังดีกว่าสิ้นชีวิต วันหน้าค่อยไปหาต้นกล้าดีๆ ในหมู่ชาวบ้านสักต้น แต่งเรื่องน่ารันทดหดหู่ให้อีกฝ่ายฟัง หลังจากนั้นก็ช่วยเหลือด้านการฝึกตนให้กับอีกฝ่าย พอถึงโอกาสเหมาะๆ ค่อยช่วงชิงร่างของอีกฝ่ายมา
ไม่สนแล้ว ไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากมายอีกแล้ว!
ต่อให้บนแขนยังมีเชือกพันธนาการปีศาจอยู่ แต่หากยังไม่ลอกคราบออกไปก็เท่ากับว่าอยู่เฉยๆ รอความตายอย่างแท้จริงแล้ว
มหาสมุทรลมปราณและห้องโอสถของผู้เฒ่ากวานสูงระเบิดแตกพร้อมกัน แรงระเบิดสาดกระเซ็นไปแปดทิศรอบด้าน ปราณวิญญาณแตกกระจายประหนึ่งสะเก็ดไฟที่แตกลั่นยามชายฉกรรจ์ตีเหล็กในห้องหลอมกระบี่
เนื่องจากลู่ไถคือผู้ฝึกลมปราณจึงทนรับแรงระเบิดได้ยากลำบากยิ่งกว่า ต่อให้อยู่ห่างมาตั้งห้าสิบจั้งแล้ว เขาก็ยังต้องถอยแล้วถอยอีก แม้สถานการณ์จะสุ่มเสี่ยงเต็มที ลู่ไถก็ยังพยายามใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่าให้เลือกหาตำแหน่งที่ตัวเองปลอดภัยให้เจอ แล้วใช้สถานการณ์นี้เป็นดั่งโอกาสในการหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ นี่ย่อมมีประโยชน์ต่อเขามาก
มีภาพลมปราณซัดตลบยุ่งเหยิงกั้นขวางอยู่ ลู่ไถมองเห็นท่าทางของเฉินผิงอันได้ไม่ชัด แต่เชื่อว่าด้วยนิสัยรอบคอบระมัดระวังตัวแจของเฉินผิงอัน เขาต้องเลือกใช้แผนการที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน
โดยไม่ทันรู้ตัวลู่ไถก็มองเฉินผิงอันเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันไปแล้ว ในสถานการณ์คับขันบางครั้งที่ต้องตัดสินใจเลือก เขาก็ยินดีที่จะเชื่อหรืออาจถึงขั้นพึ่งพาเฉินผิงอันในระดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
สำหรับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่แสวงหาความเป็นอมตะ สำหรับลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีหวังว่าจะพิสูจน์มหามรรคาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
ผู้เฒ่ากวานสูงไม่กล้าวาดหวังถึงความดีงามพร้อมสรรพ แม้จะสัมผัสได้อย่างเฉียบคมว่ามีกระบี่บินหลบซ่อนอยู่หลายจุด แต่ก็อาศัยเสี้ยววินาทีที่ห้องโอสถระเบิดทำให้แสงเจิดจ้า แสงแสบตาพุ่งทะยานสู่ชั้นฟ้า เล็งหาช่องว่างเหมาะๆ แล้วพาแก่นของจิตหยินกลุ่มหนึ่งเผ่นหนีไปไกลอย่างเด็ดเดี่ยว
แม้ว่าบนจิตหยินจะมีด้ายสีทองเส้นหนึ่งรัดพันแน่นอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางแรงสะเทือนเลือนลั่นที่แม้แต่ผีและเทพยังหลั่งน้ำตานี้ย่อมมองข้ามไปได้โดยสิ้นเชิง
คิดไม่ถึงว่าถึงแม้เด็กหนุ่มชุดทองจะไม่หลงกล ไม่ได้ยื่นมือไปรับกวานห้าขุนเขามา แต่ปล่อยให้มันร่วงลงสู่พื้นดิน แต่จิตหยินของผู้เฒ่ากวานสูงมั่นใจมากว่าเด็กหนุ่มชุดทองที่เหยียบอยู่บนกระบี่บินไม่มีทางตามตนได้ทัน เว้นเสียจากเขาจะขี่กระบี่พลางใช้ยันต์ย่อพื้นที่ไปด้วย อีกทั้งก่อนหน้านั้นต้องรู้ทิศทางที่แน่ชัดที่ตนหนีไป ทั้งสามอย่างนี้จะขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาศที่ว่านี้ยังมีแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว เพราะเพียงไม่นานจิตหยินก็จะสลัดเชือกพันธนาการปีศาจหลุด ก่อนหน้านี้ตอนที่ห้องโอสถและมหาสมุทรลมปราณระเบิดพร้อมกัน ปราณวิญญาณบนเชือกพันธนาการปีศาจแทบไม่เหลืออยู่แล้ว จึงยากที่จะพันธนาการจิตหยินไว้ได้อีก
หาไม่แล้วเหตุใดผู้ฝึกตนบนภูเขาถึงกลัวคำว่า ‘เหตุไม่คาดฝัน’ มากที่สุด?
บนท้องฟ้า เฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมสีทองใช้ยันต์ย่อพื้นที่สองครั้งติด ครั้งแรกคือออกไปจากกระบี่บินเจินเจียน ครั้งที่สองก็คือหลังจากที่แก่นจิตหยินกลุ่มนั้นโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า เฉินผิงอันชัก ‘ปราณยาว’ ที่ยืมมาจากผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ออกจากฝักเป็นครั้งแรกด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นไม่วอกแวก ในสมองมีแต่ภาพในวัดร้างที่อาจารย์ฉีปล่อยหนึ่งกระบี่ใส่หลิ่วชื่อเฉิงบุรุษชุดเต๋าสีชมพู
หนึ่งกระบี่ฟันฉับลงไป!
—–