เรื่องน่าอับอายของวัดป๋ายเหอแพร่สะพัดไปไม่ถึงสิบวันก็ปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว ราชสำนักให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแล้ว พระสงฆ์ในวัดป๋ายเหอแทบไม่หลงเหลืออยู่เลย นอกจากกำจัดตัวการชั่วร้ายไม่กี่คนไปแล้ว คนที่ถูกขังคุกก็ขังคุก ถูกขับไล่ก็ขับไล่ ทรัพย์สินทั้งหมดของวัดป๋ายเหอถูกยึด ส่วนข้อที่ว่าใครจะมารับเผือกร้อนลวกมือลูกนี้ต่อ บางคนก็บอกว่าเป็นพระสมณศักดิ์สูงของวัดอีกสามแห่งที่เหลือ แต่ก็มีบางคนบอกว่าเป็นเจ้าอาวาสจากวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงบางหลายแห่งของท้องที่
เห็นได้ชัดว่ามียอดฝีมือคอยวางแผนให้กับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน ถึงใช้วิธีตัดฉับขาดกลางคันกับเรื่องน่าอับอายของวัดป๋ายเหอ และการที่เรื่องหยุดลงพร้อมเงียบหายไปอย่างรวดเร็วก็ยังเป็นเพราะความสนใจของคนทั้งราชสำนักถูกย้ายไปที่เรื่องน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคืออวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูซานหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของใต้หล้าปิดด่านสิบปี ตอนนี้ฝ่าด่านประสบความสำเร็จจึงเรียกประชุมใหญ่แห่งยุทธภพ เรียกเหล่าผู้กล้ามารวมตัวกันเพื่อร่วมปรึกษาเรื่องการปราบปรามสามลัทธิมาร
จ้งชิวราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยนที่ได้รับการขนานนามว่า ‘อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า’ ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน ลู่ฝ่างเจ้าขุนเขาของยอดเขาเหนี่ยวคั่นซึ่งเล่าลือกันว่าสามารถบำรุงปราณกระบี่อยู่ท่ามกลางไอหมอกทะเลเมฆเหนือขุนเขา ล้วนปรากฎตัวกันหมด สี่ปรมาจารย์ใหญ่จะมารวมตัวกันที่ภูเขากู่หนิวซึ่งอยู่ติดกับเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นี่คือภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ที่ร้อยปีไม่เคยปรากฎมาก่อนในยุทธภพ
คนทั้งสี่นี้ล้วนเป็นผู้นำแห่งยุทธภพในแคว้นของตัวเอง แค่กระทืบเท้าก็สามารถทำให้ลูกคลื่นในยุทธภพของแคว้นหนึ่งถาโถม โดยเฉพาะระหว่างจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนกับอวี๋เจินอี้แห่งแคว้นซงไล่ที่ผูกบุญคุณความแค้นมาร่วมกันถึงหกสิบปีเต็ม คนทั้งสองต่างก็ถือกำเนิดในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดของแคว้นซงไล่ เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโชควาสนาอำนวย พี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาคู่หนึ่งก็เริ่มเดินทางท่องไปในยุทธภพด้วยกัน ต่างคนต่างได้พบเจอกับเรื่องอัศจรรย์ กลายมาเป็นคู่ผู้มากพรสวรรค์บนวิถีวรยุทธ์ที่ถูกจับตามองจากคนในยุทธภพมากที่สุด สุดท้ายไม่รู้ว่าเหตุใดถึงกลับกลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาต หลังจากศึกตัดสินเป็นตายที่มีคนเพียงสี่ห้าคนร่วมชม คนทั้งสองต่างก็บาดเจ็บสาหัส จ้งชิวถึงได้มาที่แคว้นหนันเยวี่ยน หลังจากนั้นมาคนทั้งสองก็ไม่เคยไปมาหาสู่กันอีก ไม่พูดถึงเรื่องบุญคุณ แล้วก็ไม่เอ่ยถึงความแค้น
ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันกลับมาถึงเรือนพักที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน ก่อนหน้านี้ตรงหัวมุมถนนยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งนั่งเล่นหมากล้อม ปู่หลานสองคนก็กำลังดูคนอื่นเล่น เห็นร่างของเฉินผิง เด็กชายพลันหน้าซีดขาว รีบลุกขึ้นยืน กวักมือให้เฉินผิงอันมาดูคนเล่นหมากล้อม พอเฉินผิงอันเดินเข้าไปใกล้ ดูกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง เด็กชายบอกว่ามีธุระต้องกลับบ้านก่อนแล้วก็เผ่นแน่บไปทันที เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย เขาที่ไม่ได้มีความสนใจอยากจะดูคนเล่นหมากล้อมอยู่แล้วยืนดูได้หนึ่งก้านธูป ก็ค่อยๆ เดินกลับเข้าไปที่บ้าน
พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นว่าตรงห้องฝั่งตรงข้าม เด็กชายกำลังเหยียบม้านั่งตัวเล็ก มองลอดหน้าต่างมายังเฉินผิงอันแล้วผ่อนลมหายใจเบาๆ
เฉินผิงอันปิดประตู ปลดห่อสัมภาระวางลงบนเตียง คนจิ๋วดอกบัวรีบกระโดดออกมาจากพื้นดิน ส่งเสียงอือๆ อาๆ ชี้ไม้ชี้มือราวกับว่าโมโหมาก
เฉินผิงอันชำเลืองตามองตำราที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะ รอยยับย่นเล็กน้อยที่ยากจะสังเกตเห็นเพิ่มมากขึ้นจากตอนที่ตัวเองออกจากห้องอย่างเห็นได้ชัด ในใจก็เข้าใจได้ทันที จึงย่อตัวลงนั่งยอง ยื่นฝ่ามือให้เจ้าตัวน้อยเดินขึ้นมา จากนั้นถึงลุกขึ้นมานั่งข้างโต๊ะ คนจิ๋วดอกบัวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ เจ้าตัวน้อยที่ตัวไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นผงสักเสี้ยวกระโดดขึ้นไปบนภูเขาหนังสือเบาๆ คุกเข่าลงบนปกในของตำราอริยะเล่มหนึ่ง ใช้แขนเล็กๆ ตั้งใจรีดรอยยับย่นให้เรียบ
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอก หนังสือมีไว้ให้คนอ่าน นี่คนเขาก็เอากลับมาคืนแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องโกรธหรอก”
เจ้าตัวน้อยที่กำลังตั้งใจทำงานหันหน้ากลับมา กะพริบตาปริบๆ แววตามีความสงสัยไม่เข้าใจ
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของมัน หยิบแผ่นไม้ไผ่และมีดแกะสลักออกมาวางบนโต๊ะเบาๆ
ราตรีนี้เฉินผิงอันแอบไปที่วัดป๋ายเหอ ก่อนหน้านี้เขาเคยมาจุดธูปไหว้พระที่นี่มาก่อน ที่นี่จึงไม่ใช่สถานที่แปลกใหม่สำหรับเขา วัดป๋ายเหอมีตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งที่พิเศษมาก ด้านในบูชาพระพุทธรูปไว้สามองค์ องค์หนึ่งถลึงตาดุดัน องค์หนึ่งหลุบตามองต่ำ และยังมีองค์หนึ่งที่นั่งหันหลัง ตลอดพันปีที่ผ่านมา ไม่ว่าควันธูปจะหนาแค่ไหน พระพุทธรูปองค์นี้ก็เอาแต่นั่งหันหลังให้ประตูบานใหญ่และผู้แสวงบุญตลอดเวลา
ช่วงที่ผ่านมาวัดป๋ายเหอค่อนข้างจะซบเซา ตอนกลางวันว่าเงียบเหงาไร้ผู้คนแล้ว ตอนกลางคืนกลับเงียบสงัดวังเวงยิ่งกว่า บวกกับข่าวลือน่ากลัวที่ผู้คนเล่ากันไปปากต่อปากก็ยิ่งขับดันให้เทวรูปพระโพธิสัตว์องค์เทพสวรรค์ที่ส่องรัศมีเรืองรองน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็กลายมาเป็นดุร้ายน่าสะพรึงกลัว เมื่อหลายวันก่อนมีโจรกลุ่มหนึ่งเข้ามาลักขโมย ผลกลับกลายเป็นว่าต้องร้องโหยหวนเผ่นหนีออกไป ทุกคนกลายเหมือนคนวิปลาสเสียสติ จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในคุกแล้วถึงจะสงบลงได้ พูดแค่ว่าในวัดป๋ายเหอมีผี ห้ามเข้าไปเด็ดขาด
ก่อนจะเข้าไปยังตำหนักข้างที่ยังไม่ปิดประตูแห่งนี้ เฉินผิงอันยังจงใจเผายันต์ปราณหยางส่องไฟหนึ่งแผ่น ไม่มีความผิดปกติใดเกิดขึ้น เขาลองเคลื่อนย้ายไปตามสถานที่ต่างๆ ในวัดอย่างเงียบเชียบ ยันต์ก็แค่ค่อยๆ เผาไหม้ด้วยความเร็วที่เท่าเทียมกันเท่านั้น
เฉินผิงอันกำลังจะออกไปจากวัดป๋ายเหอ เพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ประตูก็พลันถอยหลังกรูด ดีดปลายเท้าขึ้น นาทีถัดมาก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนเสาคานของตำหนักใหญ่ เอนตัวนอนตะแคง กลั้นลมหายใจ
มีคนสามคนเดินอาดๆ เข้ามาในตำหนัก ลักษณะไม่เหมือนโจรขโมย กลับเหมือนขุนนางหรือผู้สูงศักดิ์ที่ออกมาชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนเสียมากกว่า
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว ไม่นึกว่าสองคนในกลุ่มนี้เขาจะเคยเจอมาก่อน เขาก็คือคนฝึกยุทธ์ที่พักอยู่ในเรือนหนึ่งที่เงียบสงบของตรอกจ้วงหยวน ผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่ แต่ใบหน้ากลับผอมตอบ แม้จะไม่ใช่นักพรต ทว่าบนศีรษะกลับสวมกวานดอกบัวสีเงินที่มีลักษณะโบราณเรียบง่าย เมื่อเทียบกับคราวก่อนที่เฉินผิงอันมองเห็นเขาบนถนนแถวตลาดไกลๆ แล้ว คืนนี้ผู้เฒ่าไม่ได้จงใจปกปิดพลังอำนาจ เมื่อเขาก้ามข้ามธรณีประตูเข้ามาจึงเหมือนขุนเขาตั้งตระหง่านที่พุ่งชนตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหอแห่งนี้เข้าอย่างจัง
หญิงสาวปลดหมวกที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองลง ดวงหน้าของนางงดงามดึงดูดใจคน สลัดเสื้อคลุมกันลมที่อยู่บนกายออก เผยให้เห็นชุดสีสันสดใสชวนมอง ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือนางกลับสวมรองเท้าไม้เกี๊ยะคู่หนึ่ง เท้าที่เปิดเปลือยขาวปลั่งประหนึ่งหิมะน้ำค้างแข็ง
คุณชายหล่อเหลาอีกท่านหนึ่งกลับไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เรือนกายของเขาสูงเพรียว สวมชุดคลุมตัวใหญ่ชายแขนเสื้อกว้างสีน้ำเงินเข้ม บนข้อมือพันลูกประคำปะการังไว้หนึ่งเส้น ขณะที่ก้าวเดินก็ขยับลูกประคำไปด้วย
น้ำเสียงของหญิงสาวกระจ่างใส ไม่ใช่สำเนียงของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นางชำเลืองตามองคุณชายคนนั้นอย่างชดช้อย เอ่ยสัพยอกว่า “จานฮวาหลางของข้า ในเมื่อเจ้าเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เหตุใดถึงไม่คุกเข่าโขกหัวคำนับเล่า? ถึงเวลานั้นข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูป เอาเปรียบคุณชายโจวถึงขนาดนี้ ชื่อเสียงจะไม่เลื่องลือไปทั่วหล้าภายในค่ำคืนเดียวเลยหรอกหรือ? ต่อให้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว”
คุณชายหนุ่มยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยตอบ เพียงแหงนหน้ามองพระพุทธรูปทั้งสามองค์
ฟ้าดินเงียบสงัด ในตำหนักที่กว้างใหญ่มีเพียงเสียงเบาๆ ของลูกประคำที่กลิ้งขยับเท่านั้น
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ยาเอ๋อร์ เลิกล้อเลียนโจวซื่อได้แล้ว คนเขานิสัยดีถึงได้ไม่ถือสาเจ้า ไม่อย่างนั้นหากเขาฉีกหน้าจะเอาเรื่องขึ้นมา ถึงเวลานั้นใครจะออกเงินค่าโลงศพของโจวซื่อเล่า?”
‘ยาเอ๋อร์’ ที่ใบหน้าเหมือนเด็กสาว ทว่าบุคลิกท่วงท่ากลับเหมือนสตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะคิก ดวงตามีประกายน้ำไหวระริก ถึงกับทำให้ตำหนักใหญ่ที่เดิมทีอึมครึมน่าสะพรึงกลัวมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้
คนหนุ่มที่มีชื่อว่าโจวซื่อ ฉายาว่า ‘จานฮวาหลาง’ (บุรุษปักดอกไม้) ยิ้มอย่างจนใจ “เจ้าลัทธิผู้เฒ่าติงอย่าได้รังแกผู้น้อยอย่างข้าเลย”
“อวี๋เจินอี้แห่งพรรคหูซาน จ้งชิวแห่งแคว้นหนันเยวี่ยน ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน ลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่น ล้วนเป็นเทพเซียนที่ร้ายกาจกันทุกคน หญิงชราอย่างถงชิงชิงก็ยิ่งเป็นคนรุ่นเดียวกับท่านอาจารย์ปู่ หันกลับมามองพวกเขา หัวเดียวกระเทียมลีบ จะหยิบเกาลัดออกจากกองไฟ (เปรียบเปรยว่าเสี่ยงอันตรายช่วยเหลือคนอื่น) จริงๆ หรือ? ต่อให้ได้อรหันต์ร่างทองหรือคัมภีร์เล่มนั้นมา แต่จะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยนหรือไม่?”
หญิงสาวยกนิ้วไล่นับชื่อแซ่ต่างๆ พูดเรื่องความลับที่สำคัญที่สุดในยุทธภพแถบนี้ “แม้จะบอกว่าท่านอาจารย์ปู่ถึงจะเป็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าที่แท้จริง ทว่าชายชาตรีมีสองหมัดยากจะต่อกรกับศัตรูที่มีสี่มือ ศิษย์ลูกศิษย์หลานของอวี๋เจินอี้มีมากมายขนาดนั้น แถมจ้งชิวแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนยังเป็นเจ้าถิ่น นังปีศาจแก่อย่างถงชิงชิงชอบล่อลวงใจคนมากที่สุด ไม่แน่ว่าคราวก่อนที่จานฮวาหลางบาดเจ็บกลับมา ปากบอกว่าถูกนางเล่นงานเกือบตาย อันที่จริงอาจถูกความงามของนังปีศาจเฒ่ามัวเมาจิตวิญญาณ แล้วมาใช้แผนทรมานสังขารให้พวกเราดูก็เป็นได้ ยิ่งลู่ฝ่างผู้นั้น หลายสิบปีมานี้ เขาลงมือนับครั้งได้ ในยุทธภพต่างก็พูดกันว่าเขาคือท่านอาจารย์ปู่ในแบบที่เดินทางถูก นี่จึงแสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์ของเขาน่าจะดีเยี่ยม ผ่านการตั้งใจฝึกวิชากระบี่มานานหลายปีขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีฝีมือเหนือล้ำอวี๋เจินอี้กับจ้งชิวไปแล้วกระมัง?”
ผู้เฒ่าไม่พูดไม่จา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เอาสองมือไพล่หลัง มองไปยังพระพุทธรูปที่นั่งหันหลังให้กับสรรพชีวิต
หญิงสาวกระทืบเท้าอย่างขุ่นเคืองหนึ่งที
รองเท้าเกี๊ยะที่กระทบลงบนพื้นหินส่งเสียงใสกังวาน
โจวซื่อเอ่ยปลอบใจหญิงสาว “คนทั้งสี่นี้ไม่ใช่กระดานเหล็กแผ่นเดียวกัน หากถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตายขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าคงไม่มีใครเต็มใจสละชีวิตเพื่อผดุงความเป็นธรรมหรอก”
หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ “แล้วในบรรดาพวกเรามีคนที่เต็มใจงั้นหรือ?”
โจวซื่อเอ่ยเนิบช้าด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “อันที่จริงลำพังเพียงแค่บิดาของข้า บวกกับปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานและหลิวจงคนลับมีด แค่พูดถึงด้านพลังการต่อสู้สูงสุดก็ไม่เป็นรองปรมาจารย์ใหญ่สี่ท่านนี้ร่วมมือกันแล้ว ครั้งนี้พวกเราลงมืออย่างเป็นความลับ แถมยังไม่ใช่การคุมเชิงประจัญบานของสองกองทัพในสนามรบ ไม่ต้องพิถีพิถันว่ากองกำลังมีมากหรือน้อย ยาเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
อันที่จริงสี่ปรมาจารย์ใหญ่เป็นเพียงคำเรียกขานกันเองของฝ่ายธรรมะในยุทธภพที่จงใจแยกตัวออกจากคนลัทธิมารและเหล่าผู้กล้ากลุ่มอิทธิพลมืดอย่างโจ่งแจ้ง ถือเป็นการปิดประตูมีความสุขอยู่กับตัวเอง เพราะคำเรียกขานที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนและมีน้ำหนักมากยิ่งกว่ากลับเป็นคำว่า สิบยอดฝีมือใหญ่
ซึ่งแบ่งฝ่ายธรรมะและอธรรมเป็นคนละครึ่งพอดี
แน่นอนว่าปรมาจารย์ใหญ่ทั้งสี่ต่างก็ต้องมีที่ทางเป็นของตัวเอง
ป๋ายเต้าที่เปลี่ยนจากวิถีวรยุทธ์มาสู่การฝึกมรรคกถาของตระกูลเซียนคืออันดับหนึ่ง อวี๋เจินอี้อยู่อันดับสอง
จ้งชิวอันดับหนึ่งแห่งวิชาหมัดนอกของโลก อยู่อันดับสาม
ถงชิงชิงที่เล่าลือกันว่าอายุมากถึงเก้าสิบปี แต่ความเยาว์วัยกลับไม่เคยจางหาย ว่ากันว่าหากมายืนอยู่ด้านหลังนาง สาวงามอันดับหนึ่งทั้งหลายที่ไม่เคยยอมน้อยหน้ากัน ไม่ว่าจะหน้าตาหรือบุคลิกท่าทาง พอเอามารวมกันแล้วก็ยังสู้นางคนเดียวไม่ได้ อยู่อันดับที่เก้า
มือกระบี่ลู่ฝ่างที่แยกตัวอยู่อย่างสันโดษบนยอดเขาเหนี่ยวคั่นคือคนที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาสี่ปรมาจารย์ใหญ่ ตอนนี้ยังอายุไม่ถึงห้าสิบปี อยู่อันดับที่สิบ แต่เมื่อเวลาเลยผ่าน แทบทุกคนล้วนเชื่อมั่นว่า ลู่ฝ่างที่เมื่อยี่สิบปีก่อนอยู่อันดับท้ายสุดต่างหากถึงจะเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติว่าจะท้าทายและเอาชนะท่านที่อยู่ในอันดับหนึ่งได้
ถึงขั้นมีคนรู้สึกว่าลู่ฝ่างในเวลานี้ได้เหนือกว่าจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยี่ยน เลื่อนขั้นสู่ห้าอันดับแรกไปแล้ว
ส่วนปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่โจวซื่อจานฮวาหลางพูดถึงนั้นมีวิชายุทธ์สูงส่งมาก ไม่ว่าจะปะทะกับใครล้วนต้องมีคนตาย ดังนั้นจึงไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายธรรมะ ด้วยรู้สึกว่าคุณธรรมของเขาย่ำแย่เกินไป ไม่คู่ควรกับตำแหน่งปรมาจารย์ คนผู้นี้อยู่อันดับแปด
—–