เฉิงหยวนซานกล่าว “โจวเฝยผู้นี้ทำอะไรไร้ความยำเกรงมาโดยตลอด ช่างเหมือนพวกเจ๋อเซียนในประวัติศาสตร์ยิ่งนัก ครั้งนี้ก็หันมาพึ่งพาติงอิงอีก จะเป็นโชคดีหรือเคราะห์ร้าย เจ้าลองบอกข้าหน่อยสิ หลิวจง คนอื่นข้าเชื่อไม่ได้ แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น”
หลิวจงเอ่ยยิ้มๆ “อาศัยอะไรถึงเชื่อข้า”
เฉิงหยวนซานกล่าวอย่างจริงจัง “คนที่ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ล่มหลงในวรยุทธ์มีมากมายดุจขนวัว แต่สำหรับในใจของข้า ผู้ล่มหลงในวรยุทธ์ที่แท้จริงมีเพียงเจ้าหลิวจงคนเดียวเท่านั้น เจ้าเองก็เหมือนกับติงอิง จ้งชิว อวี๋เจินอี้ คือคนไม่กี่คนที่มีชีวิตรอดมาได้จากศึกของปีนั้น สิบคนนั้น ไอ้ที่ตายก็ตาย ที่หายตัวไปก็หายตัวไป มีเพียงคนวงนอกของสถานการณ์อย่างพวกเจ้าที่กลับกลายเป็นว่าได้รับโชควาสนาของใครของมัน ติงอิงได้กวานเต๋าของเซียนผู้หนึ่งไป อวี๋เจินอี้ได้ตำราลับของตระกูลเซียนเล่มหนึ่ง จ้งชิวได้อะไร ข้าไม่แน่ใจนัก แต่ตอนนั้นเจ้าหลิวจงเป็นฝ่ายเสียสละไม่ต้องการมีดปีศาจเพียงเพราะว่าตัวเองมีมีดอยู่ข้างกายแล้ว การเลือกแบบนี้ ใต้หล้าก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้”
หลิวจงลูบหนวดอันเบาบางของตัวเอง ยิ้มตาหยีพูดว่า “ความลับเรื่องนี้ เจ้าที่เป็นคนนอกซึ่งไม่ได้เข้าร่วมเหตุการณ์หายนะครั้งนั้น รู้ได้อย่างไร?”
เรื่องนี้เป็นจุดที่คันคะเยอที่สุดในชีวิตของหลิวจง เขาไม่เคยพูดใครให้ฟัง แต่ในเมื่อวันนี้ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานพูดขึ้นมาเอง คนลับมีดอย่างหลิวจงก็ยังคงรู้สึกลำพองใจในตัวเองอยู่ดี
เฉิงหยวนซานตอบตามสัตย์จริง “เจ้าของคนใหม่ที่มีดปีศาจ ‘เลี่ยนซือ’ (เป็นคำเรียกขานอย่างให้ความเคารพนักพรตเต๋าที่เชี่ยวชาญด้านการหล่อเลี้ยงชีวิต การหลอมโอสถเป็นต้น) เลือก ข้าเป็นคนสังหารเองกับมือ เพียงแต่ข้าไม่อาจเก็บมันไว้ได้”
แต่ไหนแต่ไรมาปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานก็เป็นคนหยิ่งทระนงในตัวเองอยู่แล้ว สำหรับคนอย่างถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินที่อยู่ในรายชื่อ เขาดูแคลนอย่างยิ่ง ส่วนอีกสิบอันดับล่างที่พวกสอดรู้สอดเห็นเพิ่มขึ้นมาจากสิบอันดับแรก เฉิงหยวนซานเคยป่าวประกาศออกไปว่า คนเหล่านี้มีใครๆๆ บ้างที่สามารถยกชาส่งน้ำให้แก่เขาได้ แล้วก็ใครๆๆ ที่ควรช่วยถอดรองเท้าให้เขา ใครๆๆ ที่สามารถเฝ้าบ้านให้เขา ยอดฝีมือขั้นสูงสุดสิบท่านที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้ากลับไม่มีสักคนที่เข้าตาปี้เซิ่งเฉิงหยวนซาน
แต่วันนี้เขามาพบหลิวจงกลับมีท่าทางเกรงอกเกรงใจอย่างยิ่ง หรืออาจถึงขั้นยินดียอมก้มหัวให้ระดับหนึ่ง
นี่จึงแสดงให้เห็นว่าการเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนี้ เฉิงหยวนซานไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
หลิวจงยื่นนิ้วเข้าปาก แคะเศษเนื้อที่ติดซอกฟันออกมาดีดทิ้ง “ฝีมือของนักฆ่าคนหนึ่งดีหรือไม่ ต้องดูที่มีดเล่มที่เขาใช้ถนัดมือมากที่สุด แร่หนังคว้านเนื้อเลาะกระดูก สามารถใช้ได้กี่ปี อย่างแย่ที่สุดสองสามปีก็ต้องเปลี่ยนมีดเล่มใหม่ ดีขึ้นมาหน่อยคือเจ็ดแปดปี มีดเล่มนั้นของข้าใช้มาตั้งแต่ตอนที่เริ่มท่องยุทธภพ จนมาถึงวันนี้ก็เกือบสี่สิบปีแล้ว”
หลิวจงหัวเราะร่า “สังหารพวกเจ๋อเซียนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นถึงจะสาแก่ใจ มีดที่ลับมาหลายสิบปี อย่าให้กลายเป็นเคล็ดสังหารมังกรผายลมสุนัขอย่างในตำราอะไรนั่นเลย มาก็ดี มาแล้วก็ดี”
……
บัณฑิตยากจนคนหนึ่งที่มาสอบในเมืองหลวงยังรอภรรยาคนงามของเขากลับมา เพื่อนาง แม้แต่คำสอนของอริยะที่บอกว่าบุรุษไม่เข้าใกล้ห้องครัว เขาก็ยังยอมละทิ้งไม่สนใจ
พวกเขาพบเจอกันในยุทธภพโดยบังเอิญ แม้ว่านางจะอายุมากกว่าเขาหกปี แต่ยังชอบพูดล้อเล่น บอกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่เป็นไร
สามารถดีดผีผาได้ยอดเยี่ยมปานนั้น บทเพลงแห่งสนามรบดีดได้อย่างฮึกเหิม หรือระบายความคับแค้นใจของหญิงสาวในห้องหอก็ยังถ่ายทอดได้อย่างลึกซึ้ง จะเลวได้ถึงขนาดไหนกัน
มีคนประหลาดคนหนึ่งมาหาเขาที่นี่แล้วเล่าเรื่องของหญิงสาวในยุทธภพคนหนึ่งให้ฟัง
บัณฑิตรู้สึกว่าหากผู้หญิงอย่างที่คนผู้นั้นเล่าให้ฟังมีอยู่จริง ถ้าอย่างนั้นนางก็มีจิตใจชั่วช้าสามานย์ยิ่งนัก
แต่บัณฑิตยังรู้สึกว่านางที่เขารู้จักไม่เหมือนกัน รู้สึกว่านางเป็นผู้หญิงที่ดี มีความรู้เฉลียวฉลาด อ่อนโยนมีคุณธรรม แถมยังงดงามถึงเพียงนั้น เขาจะแต่งนางมาเป็นภรรยา อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า
เขากำลังรอนางกลับบ้าน
คิดไว้ว่าเมื่อนางกลับมาจะบอกความในใจเหล่านี้ให้นางฟัง
…..
วัดจินกังคือสือฟางฉงหลิน (คือระบบการดูแลวัดอย่างหนึ่ง สือฟางหมายถึงสิบทิศได้แก่ออก ตก เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ บนและล่าง ฉงหลินเป็นคำเรียกขานวัดวาอารามหมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์มารวมตัวกัน สถานที่ที่ใช้ฝึกบำเพ็ญตน) อันดับหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดและมีพระสงฆ์มากที่สุดของใต้หล้าแห่งนี้
ในกระท่อมมุงจากเรียบง่ายหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างเงียบสงบและห่างไกลของวัด ประตูใหญ่เปิดอ้า ในกระท่อมที่ว่างเปล่านอกจากพระสงฆ์รูปหนึ่งและเบาะรองนั่งหนึ่งใบแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
คุณชายหน้าตาหล่อเหลาร่างผอมเพรียวบางคนหนึ่งถูกห้อมล้อมด้วยสาวงามสิบกว่าคนดุจดวงเดือนที่ถูกล้อมด้วยหมู่ดาว เขาเดินเข้าไปยังกระท่อมหลังเล็กไม่สะดุดตาหลังนี้ช้าๆ อายุของหญิงสาวมีตั้งแต่สิบสามสิบสี่ไปจนถึงสี่สิบกว่าปี ทุกคนล้วนเป็นหญิงงาม หากมีคนของหอจิ้งหย่างอยู่ที่นี่ด้วยก็จะค้นพบว่าในบรรดาหญิงสาวเหล่านี้มีทั้งจอมยุทธ์หญิงเทพธิดาที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า แล้วก็มีสตรีแต่งงานแล้วของตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย ซึ่งทุกคนล้วนเป็นโฉมสะคราญของพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น
บริเวณรอบกระท่อมมุงจากมีธงปลายแหลมรายล้อม
คนหนุ่มเหมือนลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่พาสาวงามมาท่องเที่ยว ตลอดทางที่เดินมาก็คอยอธิบายที่มาของคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาอย่างคำว่าสือฟาง ฉงหลิน ช่าน่า (ภาษาสันสกฤตคือคำว่า kṣaṇa หมายถึงชั่วขณะ ทันทีทันใด) ธงปลายแหลม ฯลฯ ให้หญิงสาวเหล่านั้นฟัง หญิงสาวส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดที่ดี ไม่ขาดความรู้ความสามารถ บางคนจึงหัวเราะคิกคักพลางชี้ให้เห็นช่องโหว่ในคำอธิบายของคนหนุ่ม เขาก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร แค่บอกว่าธรรมเนียมของแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน คำกล่าวของบ้านเกิดเขาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของศาสนาพุทธมากกว่า
ภิกษุเฒ่าที่นั่งทำสมาธิลืมตาขึ้นถามยิ้มๆ “ประสกโจว ในเมื่อได้รับคำยืนยันจากติงอิง มีที่หยัดยืนอย่างมั่นคงแล้ว เหตุใดถึงยังต้องมาที่นี่เล่า?”
คนหนุ่มแซ่โจวยกมือขึ้นบอกเป็นนัยไม่ให้หญิงสาวทั้งหลายติดตามมา เขาเดินเข้าไปในกระท่อมเพียงลำพัง ยิ้มถามว่า “มาขอร่างอรหันต์ทองคำจากไต้ซือให้ลูกชายที่ไม่เอาไหนคนนั้นของข้า”
เขาขยับเข้าใกล้ธรณีประตูแล้วยกเท้าขึ้น ถามอย่างเกรงใจ “ต้องถอดรองเท้าออกหรือไม่ ข้ากลัวว่าจะทำให้กุฏิที่สะอาดเอี่ยมของไต้ซือสกปรก”
ภิกษุเฒ่าเอ่ยยิ้ม “รองเท้าเปื้อนดินโคลนแล้ว สำหรับในใจประสกโจว จะถอดหรือไม่ถอด ต่างกันด้วยหรือ?”
คนหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “คนหัวโล้นอยากพวกเจ้า อยู่ที่ไหนก็ชอบพูดจาเหลวไหลแล้วเรียกให้ฟังดูดีว่าเป็นปริศนาธรรมแบบนี้เสมอ ข้าชอบไม่ลงจริงๆ”
เขาชี้ไปยังกระท่อมที่ว่างเปล่า “มองดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เจ้าก็ยังอยู่ในนี้ไม่ใช่หรือ”
ภิกษุชราถอนหายใจ “ประสกโจวเป็นคนฉลาด ไม่ว่าหลักการไหนก็เข้าใจหมด น่าเสียดายก็แต่ตัวเองไม่ยอมกลับใจ”
คนหนุ่มยังคงถอดรองเท้า ก้าวข้ามธรณีประตูมาแล้วก็นั่งแปะลงบนขอบประตู ยกแขนข้างหนึ่งชี้ไปยังสาวงามที่มีความงามเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไปซึ่งรออยู่ด้านหลัง “หากพวกนางก็คือพระธรรมที่ข้าปรารถนา พระสงฆ์อย่างเจ้าจะโน้มน้าวข้าอย่างไร?”
ภิกษุชราสีหน้าขมฝาด “ใช้ปริศนาธรรมกับเจ๋อเซียนอย่างพวกเจ้าช่างเหนื่อยจริงๆ”
คนหนุ่มแสร้งพนมมือก้มหน้า ยิ้มตาหยีท่องคำว่าอมิตาภพุทธ
ใบหน้าที่เดิมทีก็แห้งเหี่ยวอยู่แล้วของภิกษุชรายิ่งยับย่น หัวคิ้วขมวดเป็นปม
หากเป็นพวกอันธพาลทั่วไปย่อมเข้ามาในวัดจินกังแห่งนี้ไม่ได้ ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางของแคว้นหนันเยวี่ยนก็ยังหากระท่อมหลังนี้ไม่เจอ แต่คนหนุ่มที่มองดูเหมือนคนอายุสามสิบผู้นี้ ชื่อโจวเฝย
เขาคือปรมาจารย์ใหญ่ที่อยู่อันดับสี่ของใต้หล้า มีวรยุทธ์สูงส่งลึกล้ำ หากจะบอกว่าบรรลุสู่จุดสุดยอดแล้วก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญความรู้ทุกแขนงไม่ว่าจะเป็นพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด
หญิงสาวและสตรีแต่งงานแล้วพวกนั้นชื่นชอบเขา เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน อาจจะมีบางคนที่แรกเริ่มจำใจด้วยถูกบีบบังคับ มีชายในดวงใจอยู่ก่อนแล้ว หรืออาจถึงขึ้นแต่งงานแล้ว กลายเป็นสตรีผู้ซื่อสัตย์ภักดีที่ให้ความช่วยเหลือสามีอบรมสั่งสอนบุตร ทว่ากลับถูกโจวเฝยหรือไม่ก็พวกลูกสมุนของตำหนักคลื่นวสันต์ลักพาตัวไปบนภูเขา แต่พออยู่ด้วยกัน บ้างก็เวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือน หรือยาวถึงสามห้าปี หรืออาจถึงหลายสิบปี สุดท้ายก็ไม่มีใครที่ไม่หวั่นไหวต่อความจริงใจของโจวเฝย
เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องประหลาดในยุทธภพที่ไม่มีเหตุผลมาอธิบายอยู่แล้ว
ยุทธภพระดับล่างมักจะชอบกล่าวถึง ‘ราชันย์บนภูเขา’ ของตำหนักคลื่นวสันต์ท่านนี้ว่าเป็นคนอัปลักษณ์ที่อ้วนฉุเหมือนหมู บ้างก็บอกว่าเขาเป็นพวกอำมหิตที่ฆ่าคนเป็นว่าเล่น แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่พูดถึงศัตรูคู่แค้นในยุทธภพ พูดถึงแค่หญิงสาวที่ถูกใจเขา โจวเฝยไม่เพียงแต่หล่อเหลาสง่างาม อีกทั้งหน้าตายังเป็นหนุ่มอยู่ตลอดเวลา
โจวเฝยเอ่ยยิ้มๆ “พ่อลูกสองคนจับมือกันบินทะยาน คุ้มค่าให้รอคอยมากเลยใช่หรือไม่?”
ภิกษุชราถอนหายใจ “ร่างทองที่วัดป๋ายเหอนั้น อันที่จริงก่อนหน้านี้อาตมาเอามาซ่อนไว้ที่นี่จริง เพียงแต่ว่าเมื่อประสกติงเผยกายในเมืองหลวงหลังจากผ่านไปหกสิบปี ก็รีบย้ายไปไว้ที่เมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยนทันที ประสกโจว เจ้ามาช้าไปแล้ว”
โจวเฝยจ้องนิ่งไปที่ดวงตาทั้งคู่ของภิกษุเฒ่า ครู่หนึ่งต่อมาก็เปลี่ยนหัวข้อถามว่า “ได้ยินว่าเมืองหลวงมีชุดสีเขียวชุดหนึ่งล่องลอยไปทั่ว คนตาเปล่ามองไม่เห็น ไต้ซือเฒ่า เจ้าเห็นหรือไม่?”
ไม่รอให้ภิกษุชราตอบคำถาม โจวเฝยก็หรี่ตาลง เพิ่มน้ำหนักเสียง “ข้าหวังว่าเจ้าจะเห็น!”
ไอสังหารแผ่อบอวล
ภิกษุชราเหมือนกำลังฝึกวิชาห้ามพูด แต่ก็อาจจะเป็นเพราะกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
โจวเฝยผู้นี้ หากเปิดปากบอกว่าจะสังหารทุกคนในวัดจินกังให้เกลี้ยงย่อมต้องทำได้อย่างที่พูดแน่นอน ไม่มีทางเหลือเณรน้อยหรือพระกวาดพื้นไว้สักคนแน่ๆ
โจวเฝยหัวเราะเสียงดังกังวาน เก็บปราณสังหารเข้มข้นที่เหมือนจับต้องได้จริงกลับมาด้วยตัวเอง “อรหันต์ร่างทองและอาภรณ์บินทะยานของแคว้นหนันเยวี่ยน ชุดวิเศษคุ้มกันกายของแคว้นซงไล่ มีดปีศาจที่สามารถทำลายทุกคาถาอาคมของนอกด่าน หกสิบปีมานี้ บนโลกมีสมบัติปรากฏทั้งหมดสี่ชิ้น หากคนที่ได้มันไปครองเป็นหนึ่งในสิบคนอยู่แล้ว ฐานะก็ย่อมมั่นคงมากยิ่งขึ้น หากเป็นยอดฝีมือที่ขยับเข้าใกล้สิบอันดับก็จะเหมือนพยัคฆ์ติดปีก มีหวังว่าจะกำจัดคนน่าสงสารที่โชคร้ายบางคนออกจากสิบลำดับได้”
ดูเหมือนว่าภิกษุชราจะตัดสินใจได้แล้วจึงวางภาระทั้งหมดลง สีหน้าผ่อนคลายขึ้นเยอะมาก ถามโจวเฝยเหมือนชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป “ประสกโจว ที่บ้านเกิดของเจ้า ศาสนาพุทธได้รับความนิยมหรือไม่?”
โจวเฝยกระตุกมุมปาก “หากเป็นที่นั่นก็บอกได้ยาก”
ภิกษุชราถามอีกว่า “มีตำราบางเล่มบันทึกถ้อยคำบางส่วนที่เจ๋อเซียนอย่างพวกเจ้าเคยเอ่ยถึง บอกว่าผู้ที่บรรลุมรรคา สามารถเผาบึงใหญ่ให้มอดไหม้ หนึ่งหมัดต่อยให้ขุนเขาทลาย พ่นลมหายใจหนึ่งทีก็สามารถกลายเป็นกระบี่คนที่ตัดหัวคนซึ่งอยู่ห่างไกลเป็นพันลี้ ทะยานลมผ่านแม่น้ำและมหาสมุทรก็สามารถใช้มือข้างเดียวจับตัวเจียวหลง จริงหรือไม่?”
โจวเฝยกำลังจะตอบ
หญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งพลันพลิ้วกายมาถึงด้านนอกของกระท่อม เอ่ยด้วยใบหน้าหวาดหวั่น “คุณชายได้รับบาดเจ็บที่ตรอกจ้วงหยวน”
โจวเฝยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ว่าไงนะ?”
หญิงสาวหน้าตางดงามแต่เย็นชาขยับปากจะพูดแต่ไม่ได้พูด นางทรุดตัวคุกเข่าดังตุ้บ สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
มุมปากโจวเฝยกระตุก ยื่นมือออกมากุมขมับช้าๆ “ลู่ฝ่างหนอลู่ฝ่าง เจ้าไม่เพียงแต่เป็นคนโง่เขลา ยังเป็นเศษสวะด้วย แม้แต่บุตรชายของข้าก็ปกป้องไม่ได้…”
ห้านิ้วของมือขาวนวลดุจหยกตรงหน้าผากจิกงอคล้ายตะขอ ราวกับอยากจะแหวกเปิดกะโหลกของตัวเอง
โจวเฝยเก็บมือมาตบลงบนหัวเข่าเบาๆ แล้วพลันสะบัดชายแขนเสื้อไปด้านหลัง
สตรีหน้าตางามเลิศล้ำที่คุกเข่าอยู่นอกกระท่อมเหมือนถุงขาดๆ ใบหนึ่งที่ปลิวกระเด็นออกไป ไม่รอให้ร่างสัมผัสพื้นก็ระเบิดย่อยยับอยู่กลางอากาศ หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังนางรีบเบี่ยงหลบ แต่หลายคนก็ยังถูกเลือดเนื้อกระเด็นมาโดนเต็มร่าง ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา
“อาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายเสมอไป” โจวเฝยพ่นลมหายใจหนักๆ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไต้ซือเฒ่า พวกเรามาคุยกันต่อ คุยกันจบแล้วข้าค่อยกลับไปจัดการปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในบ้าน”
ภิกษุชราบื้อใบ้พูดไม่ออก
โจวเฝยเองก็ไม่ทำให้คนอื่นลำบากใจ ถามว่า “ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?”
เพิ่งตระหนักได้ว่าหญิงสาวคนนั้นตายไปแล้ว โจวเฝยจึงยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ทำมุทราอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นลัทธิพุทธหรือลัทธิเต๋าในโลกก็ไม่เคยมีการบันทึกถึงท่ามุทรานี้มาก่อน
นอกห้องมีเรือนกายล่องลอยของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏอย่างเรือนราง แม้จะตายแล้วก็ยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางลอยเข้ามาใกล้โจวเฝยอย่างขลาดๆ ริมฝีปากขยับ แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
ทว่ากลับเห็นได้ชัดว่าโจวเฝยเป็นคนเดียวที่ ‘ได้ยิน’
ภิกษุชราถอนหายใจ
เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า
—–