ตอนที่ 315.1 พลัดหลงเข้าไปในจุดลึกของดอกบัว

บทที่ 315.1 พลัดหลงเข้าไปในจุดลึกของดอกบัว
เฝิงชิงป๋ายไม่เพียงแต่ถูกแย่งชิงอาวุธ ยังเกือบจะโดนอีกฝ่ายที่ใช้วิชาบังคับกระบี่แทงกระบี่ทะลุหัวใจ ทว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงจนต้องบันดาลโทสะอย่างแค้นเคือง กลับกันดวงตายังมีประกายแวววาว รู้สึกว่าในที่สุดก็ ‘น่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว’

ถึงอย่างไรก็ยังต้องรักษากฎเกณฑ์ของยุทธภพ เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากลู่ฝ่าง เฝิงชิงป๋ายที่ยืนอยู่ด้านหลัง ‘เซียนกระบี่ครึ่งตัว’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือท่านนี้จึงเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ

มองแผ่นหลังสง่างามที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณกระบี่ เฝิงชิงป๋ายรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ตนก็แค่อาศัยตระกูลและสำนักถึงได้มีหน้ามีตาอย่างในทุกวันนี้ แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาเองก็ไม่ได้ธรรมดา แต่กลับไม่ถึงขึ้นได้รับการขนานนามด้วยถ้อยคำอย่างเช่นว่า ‘หาไม่ได้ง่ายๆ’ หรือ ‘ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง’

ส่วนลู่ฝ่างนั้นไม่เหมือนกัน

คนอย่างลู่ฝ่างนี้ ไม่ว่าจะไปอยู่ในใต้หล้าแห่งใดก็ล้วนเป็นคนที่ใช้กระบี่ได้โดดเด่นที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด

ลู่ฝ่างที่หันหลังให้เฝิงชิงป๋ายคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจ หากเจ้ายินดี ข้าสามารถช่วยเจ้าระวังหลังต่อได้ แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นเจ้าต้องมีความกล้าไปช่วงชิงกระบี่เล่มนั้นกลับคืนมาเสียก่อน”

เฝิงชิงป๋ายนวดไหล่ฝั่งซ้าย ส่ายหน้าพูดด้วยความจนใจเล็กน้อย “หากอยู่ข้างบนย่อมไม่ยาก น่าเสียดายเมื่ออยู่ที่นี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าข้าไม่อาจแย่งชิงกระบี่เล่มนั้นกลับคืนมาได้”

ลู่ฝ่างพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นอันดับต่อไปเจ้าก็สามารถชมศึกในระยะใกล้ได้เลย”

เฝิงชิงป๋ายยิ้มอย่างเข้าใจ “ภูเขาสูงสายน้ำไหลยาว วันหน้าย่อมต้องได้ตอบแทน”

การลงมาครั้งนี้ของเฝิงชิงป๋าย ทางสำนักต้องติดค้างหนี้น้ำใจของผู้อื่นใหญ่เทียมฟ้า เพื่อช่วยให้เรือลำน้อยของตนล่องผ่านขุนเขานับหมื่นมาได้ เป็นเจ๋อเซียนที่สติปัญญาเปิดกว้างรู้สิ่งที่ตัวเองต้องการมาสิบปี เขาได้ละทิ้งตัวตนผู้ฝึกกระบี่ ช่วงชิงเนื้อหนังมังสาของร่างหนึ่งที่รากฐานพอใช้ได้ จากนั้นก็ใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวและมือกระบี่ในยุทธภพเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ท้าทายยอดฝีมือของสถานที่ต่างๆ ผลประโยชน์ที่ได้รับย่อมมี แต่ยังไม่มากพอให้เฝิงชิงป๋ายบรรลุถึงคำว่า ‘จากไกลมาใกล้’ อย่างที่อาจารย์เคยกล่าวไว้

ก่อนจะลงมา เฝิงชิงป๋ายเคยจับเข่าพูดคุยกับอาจารย์เป็นระยะเวลานานครั้งหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่นอกจากกระบี่ที่พกติดกายแล้ว ยังต้องมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็เพื่อคำว่าไกล ต่อให้อยู่ห่างไปหลายสิบจั้ง หลายร้อยหลายพันจั้งก็ยังสามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย ส่วนมือกระบี่ในยุทธภพนั้นแสวงหาคำว่า ‘ข้าไร้ศัตรูในสามฉื่อ’ นั่นคือคำว่าใกล้

ดังนั้นเฝิงชิงป๋ายจึงต้องบรรลุวิถีกระบี่จากจุดที่ใกล้

ยังดีที่การดูมือกระบี่ชุดขาวและลู่ฝ่างออกกระบี่ก็คือการฝึกตนอย่างหนึ่ง

ดวงตาของเฝิงชิงป๋ายยังพอมีแวว แล้วก็เป็นคนที่พอมีสติปัญญาอยู่บ้าง

ส่วนข้อที่ว่าวันนี้จะแพ้หรือชนะ เฝิงชิงป๋ายไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ เพราะในความเป็นจริงแล้วเจ๋อเซียนส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้มาเยือนโลกมนุษย์เพียงเพื่อคำว่า ‘ไร้ศัตรู’ หรือ ‘กุมชัยชนะทุกครั้ง’ แต่ที่มากกว่านั้นยังคงเป็นการผ่านด่านทางจิตใจของแต่ละคนมากกว่า

ยาเอ๋อร์นั่งพิงกำแพงอย่างอ่อนแรง เหงื่อแตกโซมกาย ตอนนี้นางทำได้แค่หยุดสภาพน่าเวทนาที่เลือดไหลดั่งน้ำพุไว้เท่านั้น นางถึงขั้นไม่กล้าก้มหน้าลงมองบาดแผลด้วยซ้ำ

ใบหน้าของสตรีอุ้มผีผาที่ถูกฝังเลื่อมอยู่ในกำแพงเต็มไปด้วยคราบเลือด ดิ้นรนอยู่พักหนึ่งกว่าจะร่วงลงมาบนพื้นได้ นางเอนหลังพิงกำแพง ค่อยๆ ใช้แรงพยุงตัวลุกขึ้นยืน มองผีผาอันเป็นที่รักของตัวเองซึ่งท่องอยู่ในยุทธภพร่วมกับนางมานานหลายปีแวบหนึ่ง มันพังเละไปแล้ว และนางก็ไม่มีแรงไปเก็บมันขึ้นมา นางไม่แม้แต่จะมองการสู้รบบนถนน ใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนกำแพง เดินโซซัดโซเซไปเบื้องหน้า หญิงสาวที่น่าสงสารหน้าซีดขาวจนน่ากลัว ดูเหมือนนางต้องการไปยังสถานที่หนึ่งให้ได้

หม่าเซวียนยังไม่ฟื้นขึ้นมา และบางทีอาจจะไม่มีโอกาสฟื้นขึ้นมาอีกแล้วชั่วชีวิต

หน้าผากของโจวซื่อมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาหนึ่งชั้น เพียงแค่หางตาเหลือบเห็นการควบคุมกระบี่ของมือกระบี่ชุดขาวผู้นั้น หัวใจของโจวซื่อก็เหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับจนเขาแทบหายใจไม่ออก

การเร่งให้ลูกประคำที่กลิ้งไปตามพื้นเหล่านั้นหยั่งรากลงไปไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องสกัดดึงลมปราณกลุ่มหนึ่งมาจากในร่างกายก่อน แล้วค่อยๆ กรอกเข้าไปในลูกประคำอย่างระมัดระวัง

หลังจากนั้นก็ใช้วิชาที่มีชื่อว่า ‘สังหารมังกร’ ซึ่งเป็นวิชาค่ายกลตระกูลเซียนที่บิดาโจวเฝยได้รับสืบทอดมา เอามาจัดวางเม็ดลูกประคำให้เป็นเหมือนกระดานหมากล้อม และเมื่อวางเม็ดหมากจัดเรียงบนกระดานเสร็จแล้วก็ถึงจะถือว่าทำสำเร็จ ระหว่างนี้ไม่อาจทำพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ลูกประคำทุกลูกต่างก็มี ‘ปราณเซียน’ ที่โจวเฝยไปขูดรีดรวบรวมมาจากทั่วสารทิศ โจวเฝยเคยบอกกับเขาว่าจะเอาอาวุธอะไรออกมาใช้ก็ได้ แต่ห้ามโจวซื่อทำลูกประคำพวกนี้เสียหายเด็ดขาด

การเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนพร้อมกับบิดาในครั้งนี้ เขาคิดว่ากุมชัยชนะอยู่มือแล้ว และความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือแค่อยากมาร่วมความครึกครื้นเสียมากกว่า แค่คอยหลบอยู่ใต้เงาของบิดา ของมารเฒ่าติง นั่งภูดูเสือกัดกัน ดูคนอื่นเข่นฆ่ากันแทบเป็นแทบตายก็พอแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าติงอิงทำอะไรตามอำเภอใจ บีบให้เขาจำต้องพาตัวมาเสี่ยงอันตรายร่วมกับยาเอ๋อร์

บิดาตายไปก็ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ แต่หากเขาโจวซื่อตายไปก็อย่าหวังว่าวิญญาณจะกลับเข้าร่างได้อีกครั้ง คิดจะให้โจวซื่อคนเดิมกลับคืนมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง นั่นต้องเรียกว่ายากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์อย่างแท้จริง

อีกทั้งด้วยนิสัยของบิดา ขอแค่เขาโจวซื่อตายไปก่อนวัยอันควร แม้แต่ศพของตนบิดาก็อาจคร้านที่จะมองให้นานด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่จะคิดทำอะไรเพื่อเขาอีกแน่นอน

การที่เฉินผิงอันไม่ได้ฉวยโอกาสไล่ตามไปโจมตีต่อ นอกจากเป็นเพราะลู่ฝ่างสอดมือเข้าแทรกแล้ว ยังเป็นเพราะต้องทำความคุ้นเคยกับน้ำหนักของกระบี่ยาว รวมไปถึงน้ำหนักของปราณแท้จริงที่มันจำเป็นต้องใช้ในการบินไปยังวงโคจรต่างๆ ยิ่งแม่นยำเท่าไหร่ก็ยิ่งดี คำว่าเหมือนชี้นิ้วสั่งของอาจารย์กระบี่ที่ควบคุมกระบี่ ถือว่าเพิ่งจะข้ามผ่านธรณีประตูมาเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือต้องเลื่อนสู่ขอบเขตที่เรียกว่า ‘จิตเชื่อมโยงถึงกัน’ นี่คือการเลียนแบบการควบคุมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่อย่างหนึ่ง ก็เหมือนการคัดลอกลายแบบหยาบๆ ที่แม้จะเป็นของปลอม แต่ก็มีความตั้งใจจริง เป็นความรู้อย่างหนึ่งที่ใหญ่มากเช่นกัน

ส่วนลู่ฝ่างนั้นอันที่จริงเขายังสองจิตสองใจ

เพราะมารเฒ่าติงอยู่ใกล้ๆ

หากเขาเลือกลงมือเล่นงานมือกระบี่ชุดขาวอย่างเต็มกำลัง ก็ง่ายที่จะถูกติงอิงซึ่งมีนิสัยประหลาดลอบฆ่า การลงมือของติงอิงไม่เคยสนกฎเกณฑ์หรือสถานะใดๆ ทั้งสิ้น บางครั้งคิดเล่นงานผู้ฝึกยุทธ์ปลายแถวที่เกลียดขี้หน้าคนหนึ่งก็ถึงขั้นปล่อยหมัดอย่างเต็มกำลัง อีกอย่างคือลู่ฝ่างเป็นห่วงความปลอดภัยของหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ

และเวลานี้เองทั้งลู่ฝ่างและเฉินผิงอันต่างก็มองไปยังจุดเดียวกันแทบจะเวลาเดียวกัน

นั่นคือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียว เรือนกายสูงผอมคนหนึ่ง ระหว่างที่ก้าวเดินเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความเข้มงวดจริงจัง เห็นได้ชัดว่าเป็นปรมาจารย์บนยอดเขาที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของใต้หล้าแห่งนี้ ทว่าเขากลับไม่ได้สอดมือเข้ายุ่งการคุมเชิงระหว่างเฉินผิงอันกับลู่ฝ่าง แต่เดินเลี้ยวเข้าไปในตรอก ไปยังบ้านที่เฉินผิงอันมาพักอาศัยอยู่ชั่วคราว

ราชครูจ้งชิวหมายหัวติงอิง

หากจะบอกว่าบนโลกนี้ใครกล้าใช้สองหมัดเขย่าคลอนมารเฒ่า อีกทั้งยังสามารถต่อสู้กันอย่างสะท้านสะเทือนอารมณ์ ยินดีต่อสู้จนตัวตายโดยไม่ถอยหนี ไม่ใช่อวี๋เจินอี้เทพเซียนที่เหมือนจะอยู่เหนือขอบเขตวรยุทธ์ไปหนึ่งระดับ ยิ่งไม่ใช่เขาลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่น มีเพียงจ้งชิวเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่ฝ่างก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกแล้ว

ลู่ฝ่างชักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ ทุกครั้งที่ต้าชุนโผล่พ้นฝักมาหนึ่งชุ่น บนโลกก็จะมีประกายแสงสดใสเพิ่มมาอีกหนึ่งชุ่น เจิดจ้าพร่าตา ขนาดใบหน้ายิ้มยังต้องหรี่ตาลง

เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่ภาวนาอยู่ตลอดเวลาว่าขออย่าให้ทุกคนเห็นตนนั่งห่อตัวอยู่บนม้านั่ง ในขณะที่แม้แต่ใบหน้ายิ้มยังต้องหรี่ตา นางกลับเบิกตากว้าง จ้องมองแสงกระบี่ที่ยาวจากหนึ่งชุ่นลามเป็นสองชุ่นตาไม่กะพริบ แม้ว่าน้ำตาจะอาบเต็มใบหน้าก็ไม่คิดถอนสายตากลับ รอจนต้าชุนออกจากฝักมาครึ่งหนึ่ง นางถึงรีบหันหน้าหนี รู้สึกเหมือนตัวเองจะตาบอด ต่อให้หลับตาลงแล้วก็ราวกับว่า ‘เบื้องหน้า’ ยังมีแต่สีขาวโพลน นางยื่นมือน้อยที่ผอมแห้งราวกับตีนไก่ออกมาเช็ดใบหน้าเบาๆ

การที่นางจ้องมองคนผู้นั้นชักดาบ นางแค่รู้สึกว่าภาพนั้นช่างงดงามจนนึกอยากจะคว้ามาไว้ในฝ่ามือ

ทุกๆ เช้าที่นางเดินไปตามร้านที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล น้ำลายสอมองอาหารอร่อยหลากหลายชนิดที่ออกจากเตา ใจก็คิดอยากจะไปชิงมาแล้ววิ่งหนีไป หาสถานที่แห่งหนึ่งหลบซ่อนตัว กินอิ่มแล้วก็โยนทิ้ง ทางที่ดีที่สุดคือไม่ให้คนอื่นได้กิน ให้ทุกคนหิวจนล้มตายกันไปให้หมด

จ้งชิวเดินมาถึงด้านนอกของบ้านหลังนั้น ประตูบ้านไม่ได้ปิด เขาจึงเดินตรงเข้าไปข้างใน

ติงอิงมองเห็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกวิชาหมัดนอกจนถึงขั้นสูงสุดผู้นี้แล้วก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จากลากันทีก็นานถึงหกสิบปี หากนับกันตามนี้ จ้งชิวปีนี้เจ้าอายุเจ็บสิบเท่าไหร่แล้ว?”

จ้งชิงมองภาพเหตุการณ์บนหน้าต่างรวมไปถึงความเคลื่อนไหวในห้องข้างแล้วขมวดคิ้ว

ติงอิงยืนอยู่บนขั้นบันได ไม่รู้สึกขุ่นเคืองกับอาการไม่พูดไม่จาของจ้งชิวแม้แต่น้อย ยังคงเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนว่า “ปีนั้นเจ้าไม่เชื่อที่ข้าพูด ตอนนี้คงเชื่อแล้วกระมัง?”

ติงอิงเคยท่องไปทั่วทิศทั่วแดน ร้อยปีในยุทธภพ คนที่เข้าตาของเขามีน้อยจนนับนิ้วได้ และในจำนวนคนที่นับหมดด้วยหนึ่งฝ่ามือนี้ก็ตายไปแล้วหลายคน

จ้งชิวคือคนหนึ่งในนั้น

คนบนโลกต่างก็ประเมินอวี๋เจินอี้ไว้สูง รู้สึกว่าจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนมีฝีมือสูงส่งก็จริง แต่เมื่อเทียบกับอวี๋เจินอี้ที่เป็นหนึ่งในเทพเซียนบนยอดเขาที่แทงทะลุทะเลเมฆแล้ว ก็ยังด้อยกว่าหนึ่งระดับ

แต่ติงอิงกลับดูแคลนอวี๋เจินอี้มาโดยตลอด มีเพียงจ้งชิวที่เขารู้สึกชื่นชม

ศึกโกลาหลของแคว้นหนันเยวี่ยนเมื่อหกสิบปีก่อน ติงอิงเป็นคนในสถานการณ์มาตั้งแต่ต้นจนจบ อวี๋เจินอี้กับจ้งชิว ตอนนั้นเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ได้รับโชควาสนาจากการจับปลาในน้ำขุ่นเท่านั้น หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลง ติงอิงเคยพบกับคนสองคนที่ตัวติดกันโดยบังเอิญ จึงป่าวประกาศว่าวันข้างหน้าจ้งชิวต้องได้เป็นปรมาจารย์ของพื้นที่แถบหนึ่งอย่างแน่นอน

จ้งชิวถามติงอิงสองคำถาม

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”?

“พวกเรากำลังทำอะไรอยู่?”

“นั่งลงคุยกันเถอะ” ติงอิงนั่งบนม้านั่งตัวเล็ก โบกแขนเสื้ออย่างง่ายๆ หนึ่งครั้ง ม้านั่งตัวเล็กอีกตัวหนึ่งก็ลอยมาข้างกายจ้งชิว หลังจากฝ่ายหลังนั่งลงแล้ว ติงอิงจึงเอ่ยเนิบช้าว่า “ก่อนจะตอบคำถามสองข้อนี้ ข้าจะถามเจ้าก่อน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน?”

จ้งชิวสีหน้าเคร่งขรึม “เหนือฟ้ายังมีฟ้า ข้อนี้ข้ารู้ดี”

ติงอิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเทียบกับเบาะแสการตามหาเจ๋อเซียนที่พวกเจ้าได้มาจากเอกสารลับแล้ว ข้าสามารถบอกเจ้าได้ตรงไปตรงมามากยิ่งกว่า ระยะเวลาหกสิบปี สังหารเจ๋อเซียนกับมือตัวเองไปมากมาย มีทั้งที่สติปัญญาเปิดแล้ว และก็มีทั้งที่ยังไม่ตื่นจากฝัน จึงรู้เรื่องจากปากพวกเขามาไม่น้อย”

เขากระทืบเท้า “สถานที่แห่งนี้ของพวกเราเรียกว่าพื้นที่มงคลดอกบัว คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล อาณาเขตของสี่แคว้น บวกกับพื้นที่ที่ยังไม่ถูกบุกเบิกเหล่านั้น พวกเรารู้สึกว่ากว้างใหญ่มาก แต่พวกเจ๋อเซียนกลับรู้สึกว่าเล็กเกินไป ตามคำบอกของพวกเขา พื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ของพวกเราถือว่าเป็นแค่พื้นที่มงคลระดับกลางเท่านั้น การจัดระดับพื้นที่มงคลของพวกเขา นอกจากปริมาณความเปี่ยมล้นของปราณวิญญาณที่สำคัญที่สุดแล้ว จำนวนประชากรก็สำคัญมากเช่นกัน อันที่จริงพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้กว้างขวางเท่าใดนัก เพียงแต่ว่าบนผืนแผ่นดินแห่งนี้มีผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์เป็นจำนวนมาก แต่ไหนแต่ไรมาจึงเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เจ๋อเซียนจะลงมาฝึกขัดเกลาจิตใจ”

แม้ว่าจ้งชิวจะแสวงหาความจริงมานานหลายปี และก็พอจะคาดเดาได้นานแล้ว ทว่าพอมาได้ยินติงอิงเปิดเผยความลับสวรรค์กับหูตัวเอง จิตใจของปรมาจารย์ที่เป็นดั่งบ่อเก่าแก่ไร้คลื่นผู้นี้กลับเกิดการเปลี่ยนแปลง บนใบหน้าแสดงความโกรธเกรี้ยว

จนกระทั่งบัดนี้จ้งชิวถึงจะเพิ่งเข้าใจความกดดันของอวี๋เจินอี้

เพราะผู้ที่ฝึกวิชาคาถาของตระกูลเซียน นอกจากติงอิงแล้ว อวี๋เจินอี้ก็ยืนอยู่สูงกว่าใคร มองได้ไกลยิ่งกว่าใคร ดังนั้นสำหรับการช่วงชิงในยุทธภพ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงในราชสำนักของสี่แคว้น เขาจึงมีความเฉยชาอย่างที่คนนอกมิอาจเข้าใจได้

ติงอิงเอ่ยยิ้มๆ “แต่จุดที่ทำให้พื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้แปลกประหลาดอย่างแท้จริงยังเป็นเพราะ…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ติงอิงก็หลุดหัวเราะพรืด เงยหน้ามองท้องฟ้า “คนคนหนึ่ง? เซียนผู้หนึ่ง?”

ติงอิงกล่าวต่อว่า “ว่ากันว่าคิดจะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ของพวกเรายากยิ่งกว่าเข้าไปในพื้นที่มงคลแห่งอื่น ล้วนขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของคนผู้หนึ่ง หรือควรจะพูดว่าขึ้นอยู่กับวาสนาทางการมองเห็นของเขา ในบ้านเกิดของพวกเจ๋อเซียนทั้งหลาย เมื่อเทียบกับพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่สำนักซึ่งชื่อว่าสำนักกุยหยกได้ครอบครองแล้ว พื้นที่มงคลดอกบัวของใบถงทวีปแห่งนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก น้อยมากที่จะมีเรื่องเล่าแพร่ออกไปภายนอก หากจะบอกว่าคนอย่างพวกโจวเฝย ลู่ฟ่างเป็นพวกลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ออกไปเป็นขุนนางต่างถิ่น เพื่อแสวงหาอนาคตที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาจึงต้องก้าวเดินไปทีละขั้นทีละตอน แต่คนที่มากกว่านั้นกลับเป็นพวกคนที่พลัดหลงเข้ามาเสียมากกว่า จะออกไปได้หรือไม่ก็ต้องดูที่ดวงของพวกเขาเองแล้ว”

จ้งชิวชี้ไปบนท้องฟ้า “พูดแบบนี้ก็แสดงว่าฟ้านอกฟ้าแห่งนั้นก็เรียกว่าใบถงทวีปเหมือนกัน?”

รอยยิ้มของติงอิงมีเลศนัย “ใครบอกเจ้าว่าต้องอยู่เหนือหัวของพวกเราเสมอไป?”

จ้งชิวครุ่นคิดอย่างจริงจังจึงไม่ได้เอ่ยตอบโต้

ยากยิ่งนักกว่าที่ติงอิงจะเจอกับคนที่ตัวเองสามารถพูดคุยด้วยได้ เขาไม่เพียงแต่ไม่วางท่าเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ความเย่อหยิ่งทระนงตนอย่างที่คนในโลกคิดว่าต้องมีก็ไม่แสดงออกให้เห็นเลยสักนิด เขากลับเหมือนอาจารย์ที่มีความอดทนเป็นเลิศซึ่งกำลังถ่ายทอดความรู้ไข คอยข้อข้องใจให้กับลูกศิษย์เสียมากกว่า “ตอนนี้สามารถตอบคำถามสองข้อของเจ้าได้แล้ว พวกเรากำลังทำอะไรอยู่? ทุกๆ หกสิบปี ยอดฝีมือทั้งสิบท่านที่มีรายชื่ออยู่ในการจัดลำดับ อีกทั้งยังต้องมีชีวิตอยู่จนถึงท้ายที่สุดจะถูกคนผู้นั้นหมายตาและออกไปจากที่แห่งนี้ได้ อีกทั้งหลังออกไปแล้วแต่ละคนยังจะได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ วาสนาชั้นสูงก็คือทั้งเรือนกายและจิตวิญญาณต่างก็ได้บินทะยานไปพร้อมกันอย่างสมบูรณ์แบบ วาสนาชั้นล่างก็คือได้แต่พาจิตวิญญาณไปที่อื่น”

จ้งชิวเอ่ยถาม “ดังนั้นต่อให้หอจิ้งหย่างขุดลึกลงไปในพื้นดินอีกสามฉื่อก็ต้องหายอดฝีมือใหญ่สิบท่านในใต้หล้าที่แท้จริงออกมาให้ได้ แล้วนำมาจัดลำดับ เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนปิดฟ้าข้ามทะเล หลอกตบตาให้ตัวเองผ่านด่าน? นอกจากนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนที่อำพรางตัวลึกล้ำเกินไป จึงจงใจเพิ่มสิ่งของที่เป็นดั่งโชควาสนาซึ่งสามารถทำให้ตบะเพิ่มพรวดพราดเข้ามา รวมไปถึงเรื่องที่บอกว่าหากสังหารเจ๋อเซียนได้ก็จะได้รับอาวุธเทพชิ้นหนึ่ง นี่ก็เพื่อกระตุ้นให้ยี่สิบคนแรกมารวมตัวกันแล้วเข่นฆ่ากันเอง?”

“เกี่ยวกับหอจิ้งหย่างที่คอยปลุกปั่นเรื่องราวนั้นมีเรื่องวงในมากมาย ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งเหนือกว่าที่เจ้าและข้าคิดเอาไว้ หากไม่มีการ ‘เคาะตี’ ทุกๆ ยี่สิบปีครั้งของหอจิ้งหย่าง ใต้หล้าก็ไม่มีทางวุ่นวายขนาดนี้”

ติงอิงหัวเราะหึหึ “แต่ว่า อันที่จริงระหว่างนี้ก็มีช่องโหว่ให้ลอดเข้าไปได้”

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset