กระบี่บินสองเล่มทยอยกันแหวกทะลวงกำแพงมาถึง โจมตีหนุ่มปักบุปผาที่เพิ่งเก็บลูกประคำทั้งหมดกลับมาได้สำเร็จให้บาดเจ็บสาหัส
จากนั้นลู่ฝ่างที่ตอนแรกเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ถูกหมัดแล้วหมัดเล่าต่อยกลับไปบนถนนเส้นนี้ หมัดสุดท้ายก็ยิ่งต่อยให้ลู่ฝ่างจมเข้าไปในกำแพง
สุดท้ายก็เป็นจ้งชิวราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยนที่มาปิดท้าย
จ้งชิวที่ถูกขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าต่อยหมัดเดียวก็ทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นถอยออกไป ช่วยชีวิตลู่ฝ่างที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงเอาคืนไว้ได้
เฝิงชิงป๋ายอาศัยโอกาสนี้ชิงกระบี่ของตัวเองกลับคืนมา ไม่เพียงเท่านี้ เขายังพยายามหาโอกาสเอาต้าชุนกลับคืนมาให้ลู่ฝ่างด้วย เพียงแต่ว่าการโผล่ออกมากะทันหันของจ้งชิวทำให้เฝิงชิงป๋ายล้มเลิกความคิดนี้ จะได้ไม่เป็นการวาดงูเติมหาง
เฝิงชิงป๋ายพ่นลมหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง หากหมัดนี้ของจ้งชิวต่อยเข้าที่จุดไท่หยางของตน คาดว่าคงต้องอาศัยให้ทางสำนักทุ่มเงินเข้าช่วยเหลือ หาไม่แล้วก็คงต้องจุติกลับมาเกิดใหม่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า รากฐานของการฝึกตนถูกลดทอนและหล่อหลอมให้ผสานรวมกับฟ้าดินแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ฟ้าดินเป็นดั่งเตาหลอม หมื่นสรรพสิ่งเป็นดั่งทองแดง ก็คือหลักการนี้
ส่วนลูกศิษย์ของคนผู้นั้นก็คือคนที่รับผิดชอบจุดไฟกระพือลม
คนผู้นั้นไม่เคยปรากฏกาย ไม่เคยเผยตัวบนโลกมนุษย์ มีเพียงนักพรตเต๋าน้อยที่ในมือถือพัดใบกล้วยเท่านั้นที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลการโคจรของตลอดทั้งพื้นที่มงคลดอกบัว แน่นอนว่าเด็กน้อยนั่นก็ได้ไปมาหาสู่กับเซียนดินของสถานที่ต่างๆ ในใบถงทวีปที่มีคุณสมบัติพอจะรู้เรื่องวงในด้วย ก่อนที่เฝิงชิงป๋ายจะลงมา บุรพาจารย์ในสำนักเคยนำพาเขาไปพบกับเด็กคนนั้น และขนาดบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาขอบเขตหยกดิบก็ยังต้องรักษามารยาทของคนในระดับที่เท่าเทียมกันกับเจ้าเด็กที่พูดจาไร้ความเกรงใจนั่น
มาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว เวลาสั้นๆ หลายสิบปีผ่านพ้นไป กลับให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลกันคนละโลก
ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น เฝิงชิงป๋ายมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า การขัดเกลาจิตแห่งกระบี่บนมหามรรคาครั้งนี้ของตน เกินครึ่งคงต้องหยุดไว้เพียงเท่านี้ หากโชคดี อย่างมากก็ได้อาวุธหนักของตระกูลเซียนที่มีระดับเป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งมาครอบครอง
ถึงอย่างไรตอนนี้พลังการต่อสู้ของเขาก็ยังสมบูรณ์แบบ หันกลับมามองลู่ฝ่างที่ปิดฉากลงแล้ว ไม่แน่ว่าจิตแห่งเต๋าอาจจะได้รับความเสียหายไปด้วย ต่อให้กลับไปใบถงทวีปก็น่าจะยังเป็นปัญหาใหญ่
เจ๋อเซียน เจ๋อเซียน ฟังแล้วรื่นหูงดงาม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น มีเพียงคนอย่างโจวเฝยที่เลื่อมใสในคำว่า ‘หากมนุษย์ไม่รู้จักเสพสุข แล้วจะต่างจากสัตว์และพืชหญ้าอย่างไร’ ซึ่งหลังจากลงมาแล้วก็ไม่เคยสนใจรากฐานการฝึกตน แน่นอนว่าย่อมมีชีวิตอย่างสุขสบาย
แต่คนอย่างเขาเฝิงชิงป๋าย อย่างลู่ฝ่างนี้กลับมีชีวิตที่อันตรายอย่างมาก ขนาดผู้อาวุโสถงชิงชิงที่ต่อให้จะมีฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงเจ้าประมุขของหอจิ้งซิน เป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของใต้หล้าก็ยังต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ มาหลายสิบปี จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ยอมเผยตัว นี่ก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด
เก็บความคิดวุ่นวายทั้งหมดกลับมาแล้ว เฝิงชิงป๋ายก็เริ่มทบทวนการต่อสู้ในครั้งนี้ พยายามจะใคร่ครวญหาหนทางให้ได้มากที่สุด
ก่อนหน้านี้เขาเฝ้ามองการเข่นฆ่าที่ดุเดือดครั้งนี้อยู่ไกลๆ ตลอดเวลา หวังเอาหินบนภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก นี่ก็คือการฉวยโอกาสขัดเกลาสภาพจิตใจบนเส้นทางของการฝึกตน มีส่วนคล้ายวิธีการนึกคิดของศาสนาพุทธ
ในสายตาของเฝิงชิงป๋าย ศึกบนยอดเขาของพื้นที่มงคลดอกบัว อันที่จริงไม่ได้เป็นรองศึกช่วงชิงระหว่างโอสถทอง และก่อกำเนิดของใบถงทวีปเลยแม้แต่น้อย
การประมือกันระหว่างคนหนุ่มชุดขาวกับลู่ฝ่างตระการตาถึงเพียงนี้ หากเป็นการลงมือในฉากสุดท้ายของตัวแทนฝ่ายธรรมะและอธรรมอย่างติงอิงกับอวี๋เจินอี้ จะเกิดภาพปรากฎการณ์แบบใด?
เดิมทีเฝิงชิงป๋ายไม่ได้เห็นดีในตัวเฉินผิงอันเท่าใดนัก เพราะเมื่อลู่ฝ่างที่เป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใบถงทวีปมาอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ปราณวิญญาณเบาบาง ถูกกดกำราบไว้อย่างแน่นหนา กลับสามารถลุกผงาดทวนกระแส ใช้วิธีการอื่นคลำเจอธรณีประตูของวิถีกระบี่ได้ใหม่อีกครั้ง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระบี่ของลู่ฝ่างที่โจมตีไกลป้องกันใกล้
ทว่าผลลัพธ์กลับอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน
จุดที่น่านับถือซึ่งเป็นตัวพลิกสถานการณ์นั้นอยู่ที่ว่า คนผู้นั้นถึงกับมองออกว่าลู่ฝ่างต้องช่วยโจวซื่อ
ในยุทธภพเล่าลือกันว่าลู่ฝ่างกับโจวเฝยคือศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ อีกทั้งลู่ฝ่างยังเคยแบกกระบี่ขึ้นเขาเปิดศึกเป็นตายกับตำหนักคลื่นวสันต์ นี่เป็นเรื่องจริงที่หลอกใครไม่ได้
เฝิงชิงป๋ายมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวสิบกว่าปีแล้ว แต่คนหนุ่มผู้นั้นเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ตามหลักแล้วทัศนียภาพบนภูเขาของใต้หล้าแห่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเขาถึงจะถูก เฝิงชิงป๋ายคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า การประมือครั้งนี้ เดิมทีคนที่อยู่ในสถานการณ์มองไม่ทะลุ คนอยู่นอกสถานการณ์ควรมองปรุโปร่ง หรือว่าคนหนุ่มผู้นั้นไม่เพียงแต่เอาเรือนกายเนื้อหนังมังสาและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบลงมา ยังคุ้นเคยกับเรื่องวงในมากมายของที่แห่งนี้ด้วย? นี่จึงเป็นการทำลายกฎ ทำให้ถูกวิถีสวรรค์ของที่แห่งนี้มองเป็นโจรชั่วร้ายที่จำเป็นต้องกดกำราบ จำเป็นต้องกำจัดให้ได้ถึงจะสาแก่ใจ?
แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะสาหัส ไหล่เละเทะไปทั้งแถบ แต่โชคดีที่เป็นแค่บาดแผลภายนอก พอโจวซื่อใช้ยาวิเศษที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของตำหนักคลื่นวสันต์ที่โจวเฝยเป็นคนปรุงก็พอจะหยุดเลือดที่หลั่งรินไว้ได้อย่างถูไถ เขานั่งเคียงไหล่ยาเอ๋อร์อยู่ใต้กำแพง พูดพลางยิ้มซีดเซียว “ข้าพยายามเต็มที่แล้ว”
หนุ่มปักบุปผาผู้หล่อเหลาสง่างามเคยทำให้สาวงามจำนวนนับไม่ถ้วนเขินอาย น่าเสียดายที่เวลานี้เขาไม่เหลือความสง่างาม เหลือเพียงความทรุดโทรมห่อเหี่ยว
ยาเอ๋อร์เองก็กำลังพยายามใช้วิชาลับอย่างหนึ่งของลัทธิมารมาสยบลมปราณที่ยุ่งเหยิง นี่คือตำราวิเศษด้านการเรียนวรยุทธ์ของฉุยฮวาเหมินหนึ่งในสามลัทธิมาร มีประสิทธิภาพช่วยให้ต้นไม้แห้งเหี่ยวมีบุปผาผลิบาน เล่าลือกันว่าเจ้าประมุขรุ่นหนึ่งของฉุยฮวาเหมินได้หลอกลวงเซิ่งหนวี่ (หมายถึงผู้หญิงที่มีความสามารถพิเศษ มีความศักดิ์สิทธิ์ สูงศักดิ์) ของหอจิ้งซินรุ่นนั้น จนกระทั่งลอบขโมย ‘คัมภีร์หวนคืนสู่ดั้งเดิม’ ครึ่งเล่มมาได้ คัมภีร์เล่มนี้สามารถทำให้คนที่แก่ชรากลับคืนไปเป็นเด็ก เจ้าประมุขฉุยฮวาเหมินคือผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำอย่างแท้จริง เขาอนุมานคัมภีร์แบบย้อนกลับเพื่อนำมาใช้กับตัวเอง จากนั้นจึงเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์ลับของลัทธิมารเล่มนี้ แต่โรคร้ายที่ทิ้งไว้เบื้องหลังจะยิ่งร้ายแรง เป็นเหตุให้ถึงแม้คนที่ใช้จะสามารถกดระงับอาการบาดเจ็บสาหัสเอาไว้ได้ แต่ก็ต้องแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว เพิ่มความเร็วในการเน่าเปื่อยของเนื้อหนังมังสา เหล่าผู้กล้าแต่ละรุ่นของฉุยฮวาเหมิน มีเพียงอยู่ในศึกเป็นตายที่ไม่มีทางถอยเท่านั้นถึงจะใช้เวทลับนี้
ยาเอ๋อร์สีหน้าเขียวคล้ำ จอนผมเริ่มมีสีขาวแซมให้เห็นรำไร
โจวซื่อถอนหายใจ หากส่งกระจกทองแดงไปให้นางในเวลานี้ ยาเอ๋อร์ที่เป็นคนภาคภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองมาโดยตลอดจะธาตุไฟเข้าแทรกเลยหรือไม่?
โจวซื่อพูดขึ้นโดยไม่รู้ว่ากำลังปลอบใจนางหรือปลอบใจตัวเอง “วางใจเถอะ อีกเดี๋ยวท่านพ่อข้าก็จะมาแล้ว ถึงเวลานั้นเมื่อข้าปลอดภัย เจ้าก็ไม่มีทางตาย”
ใต้กำแพงแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปไกล มีผีผาที่ถูกทำลายเสียหายนอนอยู่อย่างเดียวดาย ไม่รู้ว่าเจ้าของมันหายไปไหนแล้ว เห็นเพียงว่าทุกระยะทางช่วงหนึ่งจะมีรอยเลือดหยดทิ้งไปเป็นทาง
เมื่อเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เฝิงชิงป๋ายที่ในมือถือกระบี่ยาว โจวซื่อที่นั่งพังพาบอย่างหมดแรง และยังมีใบหน้ายิ้มที่ไปดูอาการบาดเจ็บให้ลู่ฝ่างต่างก็หัวใจหดรัดตัวในเวลาเดียวกัน
ลู่ฝ่าง ‘งัด’ ตัวเองออกมาจากกำแพงได้สำเร็จ เขาลดตัวลงบนพื้นเบาๆ ยืนเซไม่มั่นคง ใบหน้ายิ้มคิดจะยื่นมือมาประคอง ลู่ฝ่างกลับส่ายหน้า ยื่นมือข้างหนึ่งบังคับต้าชุนกลับคืนมา ระหว่างทางกระบี่และฝักกระบี่ก็ได้รวมกันเป็นหนึ่ง เขาเอากระบี่ยาวปักตรึงไว้บนพื้นอีกครั้ง ตบะลึกล้ำที่เรียกได้ว่าค้ำฟ้าของลู่ฝ่างยามอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว บัดนี้ร่วงดิ่งลงสู่หุบเหว กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าสิบหมัดต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทำเอาลู่ฝ่างที่ร่างกายไม่ได้ถูกขัดเกลาอย่างโดดเด่นนักเกือบจะวิญญาณแหลกสลาย
สายตาลู่ฝ่างหม่นมัว หันหน้าไปบอกใบหน้ายิ้มที่ชื่อจริงคือเฉียนถังแล้วพูดว่า “ขอให้ข้าพักผ่อนสักครู่ แล้วเจ้าไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า”
ใบหน้ายิ้มพยักหน้ารับอย่างหม่นหมอง
อีกฝ่ายกลายมาเป็นคนที่ผิดหวังเหมือนครั้งแรกที่ได้พบเจอกันในยุทธภพอีกครั้งแล้ว
ครั้งนี้ที่ลู่ฝ่างเลือกลงมือก่อน นอกจากเพื่อปกป้องโจวซื่อแล้ว ที่มากกว่านั้นคือทำไปเพื่อเขาเฉียนถัง ใบหน้ายิ้มไม่ได้อยู่ในยี่สิบอันดับของใต้หล้า ก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ลู่ฝ่างพูดว่าจะพาเขาเฉียนถังไปดูบ้านเกิดของตัวเอง ไปเห็นเซียนบังคับลมที่แท้จริงดูสักครั้ง ถึงแม้ตอนนั้นลู่ฝ่างจะพูดง่ายๆ ทว่าความฮึกเหิมที่เป็นเอกลักษณ์ของภูเขาเหนี่ยวคั่นกลับแผ่กำจาย ต่อให้ใบหน้ายิ้มเป็นคนตาบอดก็ยังสัมผัสได้
คนทั้งสองออกไปจากถนนเส้นนี้ด้วยกัน
ก่อนที่ลู่ฝ่างจะจากไปได้หันไปกุมหมัดขอบคุณจ้งชิ้ว จากนั้นก็ทิ้งประโยคหนึ่งให้โจวซื่อว่าดูแลตัวเองให้ดี
ไปถึงร้านสุราที่สตรีแต่งงานแล้วเป็นเจ้าของ พอสตรีแต่งงานแล้วเห็นบุรุษที่ขโมยกระบี่กลับคืนไป มัดกล้ามแข็งแรงทั่วกายก็ไม่อาจทำให้นางหวั่นไหวได้แล้ว อ้าปากได้ก็ด่าทอทันที ลู่ฝ่างชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดจนปากเปียกปากแฉะ นางถึงหิ้วสุราที่แย่ที่สุดสองกามากระแทกลงบนโต๊ะ ใบหน้ายิ้มเฉียนถังเกือบจะอดใจตบสตรีปากมากผู้นี้ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวไม่ได้
ลู่ฝ่างหยิบเอาขลุ่ยขนาดเล็กลักษณะโบราณชิ้นหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ ยื่นส่งให้ใบหน้ายิ้มพลางพูดเสียงหนักว่า “ยี่สิบปีต่อจากนี้อาจต้องรบกวนให้เจ้าทำเรื่องที่ยากลำบากสองเรื่อง หนึ่งคือพกของชิ้นนี้ติดกาย หาร่างที่มาจุติใหม่ของข้าให้เจอ หากเข้าใกล้ข้า ขลุ่ยนี้จะร้อนลวก ทำให้จิตของเจ้าสัมผัสได้ สองคือตามหากระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘เฉาหยวน’ เรื่องนี้ข้าไม่บังคับ เพราะไม่แน่ว่ามันอาจกลายไปเป็นกระบี่ประจำตัวของคนอื่นเหมือนต้าชุนเล่มนี้ก็เป็นได้”
ใบหน้ายิ้มมีสีหน้าตกตะลึง
“ข้าตัดสินใจแล้ว”
ลู่ฝ่างไม่ได้อธิบายไปมากกว่านั้น “เก็บขลุ่ยนี้ไว้ให้ดี ดื่มเหล้ากานี้หมดแล้วก็รีบออกไปจากแคว้นหนันเยวี่ยนซะ หากเจ้าอยู่ที่นี่ต่อมีแต่จะตายเร็วยิ่งกว่าข้า”
ใบหน้ายิ้มไม่เคยเห็นลู่ฝ่างที่จริงจังเคร่งเครียดแบบนี้มาก่อน จึงได้แต่เก็บขลุ่ยเล็กชิ้นนั้นมาอย่างระมัดระวัง พยักหน้าตอบรับคำขอร้องของอีกฝ่าย
จากนั้นก็ดื่มเหล้ากันไปเงียบๆ ใบหน้ายิ้มจ้องมองเพื่อนสนิทคนนี้ แต่ลู่ฝ่างแค่พูดอย่างเฉยเมยว่า “หากเจ้าตามหาข้าพบจริงๆ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามจงใจถ่ายทอดวรยุทธ์ให้แก่ข้า”
“ข้าจำไว้แล้ว”
ใบหน้ายิ้มไม่ยิ้มอีกต่อไป น้ำเสียงที่พูดแฝงการสะอื้น
แต่ลู่ฝ่างกลับไม่มีความทุกข์หรือเสียใจมากนัก หลังจากมองส่งใบหน้ายิ้มออกจากร้านเหล้าไปเงียบๆ ลู่ฝ่างก็หันหน้าไปมองยังทิศทางหนึ่งแล้วหลุดหัวเราะพรืด “เผยตัวได้แล้ว ศีรษะของเจ๋อเซียนอย่างข้า หากมีปัญญาก็มาเอาไป”
ตรงหัวเลี้ยวมีผู้เฒ่าหลังค่อมที่ชราภาพมากแล้วเดินออกมา เขาเดินพลางไอไปด้วย หากใบหน้ายิ้มเฉียนถังยังอยู่ข้างกายลู่ฝ่างจะต้องจำได้ว่าผู้เฒ่าที่แค่ลมพัดก็อาจปลิวผู้นี้ก็คือเซวียยวนเทพแปดกรที่เคยติดสิบอันดับของใต้หล้าในอดีต เมื่อยี่สิบปีก่อนเขาถูกเบียดออกจากสิบอันดับแรก ในยุทธภพแห่งนี้เขาอยู่ในอันดับล่างสุดตามหลังสิบคน เคยถูกใบหน้ายิ้มอาศัยวิชาประจำกายพัวพันอยู่นานถึงหนึ่งปี จนเรื่องนี้กลายมาเป็นที่ขบขันของผู้คนในยุทธภพ
ลู่ฝ่างถอนหายใจในใจ
ไม่คิดเลยว่าคำพูดของตนตอนอยู่บนภูเขากู่หนิวจะเป็นจริง
ตอนนั้นอวี๋เจินอี้รวบรวมกลุ่มผู้กล้าอย่างลับๆ ประกาศว่าจะล้อมสังหารเจ๋อเซียนสี่ท่านอย่างติงอิง โจวเฝย ถงชิงชิงและเฝิงชิงป๋าย ลู่ฝ่างเอ่ยกลั้วหัวเราะว่าจะนับรวมเขาไปด้วยอีกคนหรือไม่ ตอนนี้มาลองนึกดูแล้ว คำตอบก็ชัดเจนยิ่ง นี่อาจจะไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของอวี๋เจินอี้ แต่เมื่อเห็นกับตาตัวเองว่าลู่ฝ่างพ่ายแพ้บาดเจ็บสาหัส ด้วยนิสัยเย็นชาของอวี๋เจินอี้แล้วย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสที่พันปียากจะพานพบครั้งนี้ไป
“เซียนกระบี่แห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ช่างทำให้คนเวทนายิ่งนัก หากไม่เป็นเพราะได้เห็นเองกับตา ข้าผู้อาวุโสก็ไม่กล้าเชื่อเด็ดขาด”
เซวียยวนแสยะปากยิ้ม เอ่ยสัพยอกลู่ฝ่าง ผู้เฒ่าที่ฟันร่วงไปหลายซี่เดินมาทางร้านเหล้าช้าๆ ยากที่จะจินตนาการได้ว่านี่ก็คือบุคคลอันดับหนึ่งของวิชาหมัดนอกก่อนหน้าจ้งชิว
ลู่ฝ่างเอ่ยยิ้มๆ “อวี๋เจินอี้ช่างใจกว้างยิ่งนัก ถึงขั้นยอมตัดใจใช้ให้เจ้ามาเด็ดหัวคน”
เซวียยวนที่หลังค่อมหยุดอยู่ห่างจากประตูร้านเหล้าไปยี่สิบก้าว “อวี๋เจินอี้คือเทพเซียนบนโลกที่แท้จริง ไม่ได้เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างข้าผู้อาวุโส โอกาสเล็กน้อยแค่นี้ไม่อยู่ในสายตาของเขาหรอก อีกอย่างเซียนกระบี่ใหญ่ลู่ก็ยังมีพลังเหลืออีกสามสี่ส่วน รับมือกับเซวียยวนที่แก่หง่อมคนหนึ่งก็ยังพอมีโอกาสชนะนี่นา”
ลู่ฝ่างหัวเราะหยัน “เซียนกระบี่ใหญ่? เจ้าเคยเห็นมาก่อน? เจ้าคู่ควรด้วยหรือ?”
เซวียยวนยังคงหัวเราะไม่เลิก “ไม่คู่ควรๆ เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ว่ายังไงก็ว่าตามกัน”
สายตาของลู่ฝ่างเต็มไปด้วยแววเหยียดหยัน
—–