บนถนนใหญ่ที่เงียบสงบ คนรู้จักได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
บนกระบี่บินเล่มหนึ่งที่หยุดลอยนิ่ง อวี๋เจินอี้ที่ใบหน้าเหมือนเด็กน้อยยืนอยู่ แสงกระบี่ใต้ฝ่าเท้าเป็นประกายใสแวววาวดุจแก้วเนื้อดี
เจ้าประมุขพรรคหูซาน ผู้นำฝ่ายธรรมะแห่งใต้หล้า มีวิชายุทธ์เลิศล้ำ แต่กลับละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างหันไปฝึกวิชาคาถาของตระกูลเซียน สุดท้ายกลายเป็นเทพที่แม้จะสำเร็จจะบรรลุผลถึงขั้นสูงสุดแล้วก็ยังมุมานะบากบั่นต่อไป
ในที่สุดหลังจากเสียงกลองดังขึ้นบนภูเขากู่หนิวเป็นครั้งแรก เขาก็ได้มาปรากฏตัวที่เมืองหลวง
เมื่อออกมาจากภูเขากู่หนิวที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ลั่นกลองสวรรค์เพื่อบินทะยาน คนแรกที่ได้พบก็คือพี่น้องที่เคยร่วมเป็นร่วมตายในอดีตอย่างจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน
ดูเหมือนว่าจ้งชิวจะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าอวี๋เจินอี้ต้องมาขัดขวางตนเอง เขาจึงไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่ไม่หยุดเท้า กลับยังเดินขึ้นหน้า จนกระทั่งอยู่ห่างจากอีกฝ่ายแค่ยี่สิบก้าวถึงได้หยุดเดิน
จ้งชิวถามด้วยรอยยิ้ม “ทำพัดไม้ไผ่หยกเล่มนั้นเสร็จแล้วรึ? ใช้มันเป็นของแทนกายเจ้าประมุขพรรคหูซานในอนาคตจะไม่ดูอ่อนโยนบอบบางไปหน่อยหรือไง?”
เหมือนการทักทายปราศรัยระหว่างเพื่อนทั่วไป
เหมือนคนที่กลับมาในค่ำคืนที่พายุหิมะตกหนักแล้วได้ดื่มเหล้าอุ่นๆ ร่วมกันหนึ่งจอก?
อวี๋เจินอี้ถาม “สามครั้งแล้ว ทำไม?”
แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยด้วยประโยคซักไซ้เอาความผิด
จ้งชิวถามกลับ “เจ้าจะถามว่าทำไมข้าถึงช่วยลู่ฝ่าง ทำไมถึงช่วยเฉินผิงอันผู้นั้น?”
ในดวงตามืดดำดุจบ่อน้ำนิ่งของอวี๋เจินอี้ที่ฝ่าด่านออกมาด้วยร่างของเด็กน้อยมีริ้วคลื่นกระเพื่อมน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าโมโหมากจริงๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อวี๋เจินอี้ไม่เอ่ยอะไร แต่กระบี่บินใต้ฝ่าเท้าที่จิตเชื่อมโยงกับเจ้านายกลับแผ่ประกายแสงที่ยิ่งงดงามชวนหลงใหล คล้ายผลึกแก้วชิ้นหนึ่งที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์
จ้งชิวชำเลืองตามองกระบี่บินตระกูลเซียนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าอวี๋เจินอี้ ก่อนถอนสายตากลับมาแล้วพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “เจ้ารู้คำตอบแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?”
อวี๋เจินอี้ถอนหายใจเบาๆ ในใจพลันหวนระลึกถึงความทรงจำ
นี่ไม่ใช่ว่าอวี๋เจินอี้ใจอ่อน ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ ในเมื่อผ่านไปนานตั้งหลายปีแล้ว จ้งชิวกลับยังหลงงมงายในความเชื่อผิดๆ เขาก็คงต้องใจแข็งแล้ว
คำเล่าลือในยุทธภพที่บอกว่าอวี๋เจินอี้กับราชครูจ้งต้องแตกหักกันเพราะสาวงามที่เป็นภัยต่อบ้านเมืองอะไรนั่น ถือเป็นการดูถูกพวกเขามากจริงๆ
ปีนั้นพวกเขาสองคนเพิ่งจะมีชื่อเสียงในยุทธภพ ก็เป็นเพราะพบเจอกับเจ๋อเซียนท่านหนึ่ง สองพี่น้องจึงแยกทางกันเดิน
ตอนนั้นอวี๋เจินอี้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะสังหารเจ๋อเซียนคนนั้น จ้งชิวกลับเห็นว่าความผิดของเขาไม่ถึงโทษตาย อีกทั้งความเสี่ยงมีมากเกินไป ไม่มีความจำเป็นต้องทุ่มหมดหน้าตัก แต่อวี๋เจินอี้กับยังบุกไปลอบสังหารเจ๋อเซียนผู้นั้นเพียงลำพัง ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย จ้งชิวปรากฎตัวกะทันหัน รับกระบี่ปลิดชีพแทนอวี๋เจินอี้มาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เป็นอย่างที่ติงอิงบอกกับพวกเขาตอนอยู่แคว้นหนันเยวี่ยน หลังจากที่เจ๋อเซียนผู้นั้นถูกสังหารก็มีโชควาสนาสองส่วนหล่นลงมาจากร่างของเขา หนึ่งคือวิชาลับตระกูลเซียนที่สามารถฝึกตนให้เป็นอมตะ อีกหนึ่งคือกระบี่แก้วที่แข็งแกร่งมิอาจทำลาย
ท่ามกลางม่านฝนที่เทกระหน่ำ อวี๋เจินอี้มือหนึ่งกำตำราสวรรค์ซึ่งไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใดเล่มหนึ่งเอาไว้ อีกมือหนึ่งถือกระบี่ แหงนหน้าแผดเสียงคำรามยาว
จ้งชิวจากไปอย่างหม่นหมอง
อวี๋เจินอี้โยนกระบี่เซียนเล่มนั้นออกไปเบาๆ บอกว่าสองพี่น้องสามารถร่วมเป็นร่วมตายก็ต้องร่วมเสวยสุขและความมั่งคั่งมีเกียรติได้ วันหน้ากฎเกณฑ์ของใต้หล้าแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักที่สูงส่งหรือยุทธภพที่กว้างไกล เจ้าจ้งชิวชอบอ่านหนังสือก็ให้เจ้าเป็นคนตั้งกฎ ข้าอวี๋เจินอี้แสวงหามหามรรคาที่เป็นอมตะมาจึงจะฝึกวิชาเซียน แน่นอนว่าจะต้องช่วยเจ้าปกป้องใต้หล้า ข้าจะสอนเจ๋อเซียนทุกคนบนโลกว่าต้องก้มหน้าเชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย จะไม่มีใครกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานอีก…
แต่จ้งชิวกลับไม่รอให้อวี๋เจินอี้พูดจบ เขาเดินดิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ปล่อยให้อาวุธที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นร่วงหล่นลงสู่ดินโคลน ปล่อยให้ถ้อยคำที่ออกมาจากใจจริงของอวี๋เจินอี้ลอยหายไปท่ามกลางฟ้าดินที่ถูกชะล้างด้วยสายฝน
หลิวจงคนลับมีดออกมาจากถนนใหญ่ที่เละเทะเส้นนั้น พอเดินพ้นหัวเลี้ยวมาก็มองภาพนี้อยู่ไกลๆ เขาสะอึ้งอึกไปทันที ลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็เลือกเดินหน้าต่อช้าๆ ไม่ได้หวาดกลัวจนมิกล้าเดินหน้า แล้วก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเผ่นหนีไป
หลิวจงเชื่อในคำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้น เชื่อว่า ‘เด็กชาย’ ที่ขี่กระบี่อยู่ตรงหน้า ใต้เท้าอวี๋ต้าเจินเหรินที่เดิมทีควรต่อสู้กับมารใหญ่ติงอิงแปดร้อยตลบคงตัดสินใจแล้วว่าจะสังหารจ้งชิวผู้เคยเป็นสหายรักให้ได้
การที่เขาเชื่อก็เพราะว่าเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นั้นถึงขั้นสามารถทำให้จ้งชิวยอมเป็นฝ่ายป้อนหมัดเพื่อช่วยกระชับขอบเขตของเขาให้แน่นหนาด้วยตัวเอง เพื่อสะดวกให้เขารับศึกใหญ่ในลำดับถัดไป
จ้งชิวไม่เคยเป็นคนที่ทำอะไรตามความรู้สึก ทุกคำพูดทุกการกระทำล้วนมีกฎของเขาเองเสมอ
จ้งชิวคือวิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางมาดให้น่าภูมิฐานหรือเป็นกุนซือผู้ถนัดวางแผนช่วงชิงใต้หล้า? ล้วนไม่ใช่ หลิวจงอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมานานขนาดนี้ ราชครูจ้งเป็นคนอย่างไร หลิวจงรู้จัดเจน เขาเป็นทั้งปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ และเป็นทั้งอริยะแห่งด้านวรรณกรรมที่แท้จริง ศึกษาจนเชี่ยวชาญมีความรู้รอบด้าน ใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียวขยับยอดสูงสุดของขอบเขตหมัดนอกในใต้หล้าแห่งนี้ให้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ อีกทั้งสำหรับการแบ่งแยกธรรมะและอธรรม จ้งชิวก็มองอย่างทะลุปรุโปร่ง คลื่นมรสุมในเมืองหลวงหลายครั้งที่ไม่ว่าจะมาจากคำตำหนิวิพากษ์วิจารณ์จากในราชสำนักหรือจากยุทธภพ เดิมทีแค่ฆ่าคนก็จบเรื่อง ทั้งสาแก่ใจ ทั้งประหยัดแรงกายแรงใจ ทว่าจ้งชิวกลับเป็นคนคอยเก็บกวาดอยู่อย่างลับๆ จัดการได้อย่างเที่ยงตรงและทำให้เกิดความสมดุล ทำให้หลิวจงที่มองดูดายอยู่ข้างๆ ต้องยกนิ้วโป้งให้พลางเอ่ยชื่นชมว่าเขาคือวีรบุรุษที่แท้จริง
ดังนั้นเมื่อคนหนุ่มผู้นั้นพูดว่าเขากับจ้งชิวคือ ‘คนบนเส้นทางเดียวกัน’
หลิวจงก็ตัดสินใจโดยไม่ลังเลว่า มีดที่อยู่ในชายแขนเสื้อเล่มนั้น ต้องชักออกมา
นอกจากปณิธานที่เหมือนกันแล้ว ยังเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตให้แก่ตัวเองด้วย
บอกตามตรง เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างอวี๋เจินอี้และจ้งชิว ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ไม่สงสัยใคร่รู้
แน่นอนว่าคนลับมีดหลิวจงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ต้องรู้ว่าเวลาอยู่ที่ร้านขายแพรต่วน ยามใดที่ได้พูดคุยกับภรรยาและสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายถึงเรื่องสัพเพเหระของคนข้างบ้าน ได้ยินว่าพ่อผัวบ้านไหนได้กับลูกสะใภ้ หญิงสาวบ้านใครถูกใจใคร ตอนกลางคืนที่บ้านหญิงหม้ายแซ่หลิวมักจะมีเสียงแมวร้องเป็นประจำ ชายฉกรรจ์บ้านไหนแอบไปหอโคมเขียว ใช้เงินที่เก็บสะสมไว้หมดเกลี้ยงจนภรรยาโวยวายว่าจะแขวนคอตาย เรื่องในหมู่ชาวบ้านพวกนี้ หลิวจงคุยจ้อได้นานยิ่งกว่าพวกสตรีเสียอีก
มือข้างที่ซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อของหลิวจงกำหมอเตา (ชื่อของมีดซึ่งแปลว่าลับมีด) เล่มนั้นไว้แน่น
ตนยังไม่ทันได้ถามเลยว่าแมวที่ร้องตอนกลางคืนในบ้านของหญิงหม้ายแซ่หลิวคือใครกันแน่ วันนี้จะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้!
อีกอย่างหลังจากจับตามองมานานหลายปีขนาดนี้ ตัวเลือกที่มีหวังว่าจะให้มาเป็นลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขา ขณะเดียวกันก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของตน ก็พอจะรู้ผลแล้วด้วย
จ้งชิวมองเด็กชายที่เหยียบอยู่บนกระบี่ซึ่งลอยนิ่งอยู่กลางอากาศแล้วทอดถอนใจแผ่วเบา “อวี๋เจินอี้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ตอนนี้เจ้ากับเจ๋อเซียนพวกนั้นยังพอมีความแตกต่าง แต่หากเจ้ายังเดินบนทางเส้นนี้ต่อไป สักวันหนึ่งเจ้าก็จะกลายมาเป็นพวกเขา หลังจากนั้นก็จะมีจ้าวเจินอี้ หม่าเจินอี้คนใหม่มาฆ่าเจ้าโดยที่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักของฟ้าดิน”
อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “จ้งชิว เจ้าคงยังไม่รู้กระมัง สถานที่ในการบินทะยานครั้งนี้ยังคงอยู่ที่ภูเขากู่หนิว แต่จำนวนคนกลับเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่สิบคนอีกต่อไป แต่มีแค่สามคนเท่านั้น และสามคนนี้ที่มีคุณสมบัติได้อยู่บนประวัติศาสตร์แท้จริงของพื้นที่มงคลดอกบัวก็จะสามารถเลือกคนได้ห้า สามและหนึ่งให้บินทะยานไปจากที่นี่ด้วยกัน เพียงแต่คนทั้งเก้านี้อาจกลายมาเป็นหุ่นเชิดใต้บังคับบัญชา ข้าลองอนุมานมาก่อนแล้ว ติงอิง ข้า โจวเฟยต่างก็เป็นคนสามคนที่มีโอกาสมากที่สุดว่าจะได้บินทะยานในท้ายที่สุด”
หลังจากนั้นอวี๋เจินอี้ก็ร่ายรายชื่อสิบคนสุดท้ายที่อยู่บนประกาศให้จ้งชิวฟังหนึ่งรอบ
ไม่มีลู่ฝ่างและถงชิงชิง
จ้งชิวขมวดคิ้วถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดทันที “เจ้าจะจากไป?”
อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “ข้าย่อมไม่ไป ก่อนหน้าที่เสียงกลองจะดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม ข้าจะไม่ขึ้นไปบนภูเขากู่หนิว นั่นย่อมเป็นการละทิ้งโอกาสบินทะยานโดยอัตโนมัติเหมือนกับจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งในปีนั้น เพียงแต่ว่าเขาทำไปเพื่อพาเรือนกายที่มีเลือดเนื้อบินทะยานไปเป็นครั้งที่สอง ส่วนข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่า สังหารเจ๋อเซียนผู้นั้นในปีนั้น ข้าอวี๋เจินอี้ทำถูกแล้ว เจ้าจ้งชิวทำผิด ข้าต้องการให้หนึ่งวันที่ข้าอยู่บนโลกมนุษย์ โลกก็จะสงบสุขไปหนึ่งวัน การชดเชยแก้ไขของเจ้าจ้งชิวไม่มีความหมายแม้แต่น้อย”
คำพูดประโยคนี้วางโตยิ่ง ทว่าอวี๋เจินอี้กลับพูดอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์
จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “ปณิธานต่างย่อมไม่อาจร่วมทาง”
อวี๋เจินอี้เอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนนี้เจ้ายังมีโอกาสครั้งสุดท้าย ร่วมมือกับข้าสังหารเจ๋อเซียนโจวเฝยผู้นั้น ติงอิงจะไม่มีทางขัดขวาง ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะมีชีวิตอยู่จนถึงท้ายที่สุด ส่วนจะเลือกไปบินทะยานยามกลางวันที่ภูเขากู่หนิวหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”
จ้งชิวถาม “ถ้าอย่างนั้นคนอื่นๆ ที่เหลือบนประกาศ หลิวจง ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซาน ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งแคว้นเป่ยจิ้น ภิกษุอวิ๋นหนีแห่งวัดจินกัง ใครจะเป็นคนสังหาร? เป็นเจ้าอวี๋เจินอี้ หรือเป็นติงอิง? คนเหล่านี้ต่างก็ไม่ใช่เจ๋อเซียน”
คนสองคนเหมือนเป็ดคุยกับไก่ ต่างคนต่างคุยกันไปคนละเรื่อง
อวี๋เจินอี้พลันเดือดดาลอย่างหนัก “หากคนอื่นพูดประโยคโง่เง่านี้ ข้าก็คงมองเป็นความเห็นของสตรีบ้านนอก คร้านจะสนใจ! เจ้าจ้งชิวเป็นถึงราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนจะไม่รู้เลยหรือว่า บนโลกนี้มีอุบัติภัยที่ไม่ทำให้คนตายอย่างอยุติธรรมเสียที่ไหน?!”
จ้งชิวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมต้องรู้อยู่แล้ว หลายปีมานี้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของแคว้นหนันเยวี่ยน ข้าเองก็ทุ่มเททำอะไรไปมากมาย แต่ตอนนี้ข้าถามเจ้าอวี๋เจินอี้ ไม่ได้ถามอุบัติภัยที่ไม่เคยมีมาก่อนเป็นพันปี ไม่ได้ถามใต้หล้าแห่งนี้ ไม่ได้ถามพื้นที่มงคลดอกบัวของเจ๋อเซียนอะไรทั้งนั้น ข้าถามเจ้า อวี๋เจินอี้จากอำเภอจิวหลัน เขตการปกครองจัวแคว้นซงไล่”
อวี๋เจินอี้หัวเราะเสียงเย็น “ดื้อดึงไม่เปลี่ยน เจ้าจ้งชิวมีนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ต่อให้อ่านหนังสือมากแค่ไหน ฝึกวิชาหมัดมากเท่าไหร่ก็ยังคงเป็นก้อนหินเหม็นในห้องส้วมอยู่ดี”
จ้งชิวหัวเราะ “แต่เจ้าอวี๋เจินอี้นี่สิเปลี่ยนไปเยอะมาก”
หลิวจงที่ฟังอยู่รู้สึกอกสั่นขวัญผวา
เขากลัวจริงๆ ว่าจ้งชิวจะพยักหน้าตอบรับ กลับกลายมาเป็นร่วมแรงกับอวี๋เจินอี้สังหารคนสี่คนบนประกาศซึ่งรวมถึงเขาด้วย แบบนั้นคงไม่ต่างอะไรจากการฆ่าไก่ตัวหนึ่ง เว้นเสียจากว่าอวี๋เจินอี้เข้าสู่สภาวะการณ์ที่มหัศจรรย์บางอย่าง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าถิ่นแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างราชครูจ้งเลย ต่อให้เขาหลิวจงและเฉิงหยวนซาน ถังเถี่ยอี้ ภิกษุอวิ๋นหนีร่วมมือกัน ก็ยังไม่มีโอกาสชนะอยู่ดี
โชคดีที่จ้งชิวไม่เสียแรงที่เป็นราชครูจ้งที่เขาหลิวจงให้ความเคารพนับถือ!
จ้งชิวเงยหน้ามองไปยังทิศทางของบ้านเกิดแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย “พูดมามากมายขนาดนี้ เจ้าอวี๋เจินอี้ก็แค่อยากให้ตัวเองสังหารข้าได้อย่างสบายใจเท่านั้น ข้อนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเปลี่ยน”
อวี๋เจินอี้ยืนอยู่บนกระบี่บิน
จ้งชิวไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงหัวเราะเสียงดังกังวาน “หลิวจง! เป็นเพื่อนบ้านกันอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปีขนาดนี้ แต่ไม่เคยไปแวะเที่ยวหาเจ้าสักครั้ง หาใช่ว่าดูถูกคนลับมีดอย่างเจ้า แต่เป็นเพราะการคบหาของวิญญูชนเป็นดั่งสายน้ำใสสะอาด ข้าจ้งชิวจะออกหมัดก่อน เจ้าอยู่ข้างๆ คอยคุมท้าย หากการแพ้ชนะห่างกันมากเกินไป เจ้าหลิวจงหนีได้ก็หนี ตรงไปหาภิกษุอวิ๋นหนี รับรองว่าไม่ขายหน้า!”
คนลับมีดหลิวจงอึ้งตะลึง พึมพำเบาๆ ว่า “แม่งเอ๊ย ไม่เสียแรงที่เป็นราชครูจ้ง คำประจบนี้ ข้านายท่านหลิวฟังแล้วสบายใจยิ่งนัก สบายใจ!”
ได้เป็นสหายกับคนมหัศจรรย์เช่นนี้ก็เหมือนได้ดื่มเหล้าหมักกับผีขี้เหล้า ไหนเลยจะมีโอกาสฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ ถ้าอย่างนั้นจะมีเหตุผลอะไรให้ไม่เมามายอย่างเต็มคราบเล่า?
หลิวจงที่ไม่กลัวตาย แต่กลับไม่เคยรนหาที่ตายก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตายก็ตายสิ เมาให้ตายมันไปเลย!
อวี๋เจินอี้โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย พลิ้วตัวออกมาเบาๆ เท้าทั้งสองข้างแตะลงบนถนน จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อไปข้างหน้าหนึ่งครั้งพร้อมเสียงเอ่ยแผ่ว “ไป”
กระบี่บินที่แสงกระบี่ใสแวววาวดุจกระจกซึ่งอยู่ด้านหลังวาดวงโค้งขนาดใหญ่ยักษ์แหวกผนังออกไป จากนั้นแหวกทะลุผนังกลับมาปรากฎตัวบนถนนเส้นนี้อีกครั้ง อ้อมผ่านราชครูจ้งชิว ตรงดิ่งเข้าหาหลิวจงคนลับมีดที่อยู่ด้านหลังเขาพอดี
อวี๋เจินอี้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้าเอื่อยเฉื่อย ยกมือสองข้างขึ้นส่ายเบาๆ จากนั้นก็วางไว้ด้านหลังแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “จ้งชิว เจ้าได้รับการขนานนามให้เป็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าไม่ใช่หรือ มาสิ ข้าจะไม่ตอบโต้ เจ้าปล่อยหมัดออกมาได้เลย”
จ้งชิวพยักหน้ารับ แต่แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ออกไปสู้กันนอกเมืองได้หรือไม่?”
อวี๋เจินอี้คลี่ยิ้มกล่าว “ราชครูจ้ง เจ้าไม่ต้องกังวลว่าคนบริสุทธิ์จะเดือดร้อน เพราะเจ้าไม่มีความสามารถนั้น”
จ้งชิวหลุดหัวเราะพรืด
หลังจากฝึกวิชาเซียนมาถึงท้ายที่สุด ไอ้หมอนี่ก็กลายมาเป็นเด็กน้อยปากกล้าที่ชอบคุยโว เขาจ้งชิวได้เรียนรู้วิชาอภินิหารของเซียนแล้วจริงๆ
อวี๋เจินอี้เอามือสองข้างไพล่หลัง บอกเป็นนัยให้จ้งชิวรู้ว่าสามารถปล่อยหมัดได้เต็มกำลัง
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังดีดปลายเท้าเล็กน้อย ลอยตัวอยู่กลางอากาศจนมีความสูงเท่าเทียมกับจ้งชิว เพื่อให้จ้งชิวปล่อยหมัดได้สะดวก!
จ้งชิวไม่เพียงแต่ไม่โมโหเพราะรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม กลับกันคือสีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม
หนึ่งหมัดปล่อยออกไป
หมัดของจ้งชิวหยุดอยู่ห่างจากใบหน้าอ่อนเยาว์ของอวี๋เจินอี้ไปสามฉื่อ
แล้วหมัดนั้นก็ได้แต่ขยับไปข้างหน้าทีละชุ่นอย่างเชื่องช้า
คล้ายคนแก่ที่เดินขึ้นเขา ทุกย่างก้าวล้วนลำบากยากเข็ญ
ระหว่างคนทั้งสองมีระยะห่างแค่สามฉื่อ แต่กลับเหมือนห่างกันราวฟ้ากับดิน
อวี๋เจินอี้ที่เอาสองมือไพล่หลังส่ายหน้าน้อยๆ แววตาเต็มไปด้วยความเวทนา “คิดไม่ถึงเลยว่าจ้งชิวจะมีดีแค่นี้เอง”
……
จนกระทั่งติงอิงปรากฏตัวเพื่อปิดฉากความวุ่นวายในครั้งนี้ หม่าเซวียนจินกังชมพูก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ต่อให้ปรมาจารย์หลายท่านอย่างถังเถี่ยอี้ เฉิงหยวนซาน โจวเฝย ฯลฯ จะพากันจากไปแล้ว หม่าเซวียนก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิม
ยุทธภพก็เป็นเช่นนี้ น้ำลึกน้ำตื้นล้วนสามารถท่วมทับคนให้ตายได้ แล้วนับประสาอะไรที่คำโบราณยังกล่าวไว้ว่า คนที่ว่ายน้ำเก่งมักจะจมน้ำตายเสมอ
อันที่จริงชีวิตนี้ของหม่าเซวียนมีค่ามาก เดิมทีควรมีค่ามากกว่าห้าร้อยตำลึงทองด้วยซ้ำ ในวงการการต่อสู้ของพื้นที่มงคลดอกบัว ทองเพียงเท่านี้ซื้อได้แค่ชีวิตของยอดฝีมือระดับสอง หรือไม่ก็ชีวิตของขุนนางตำแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้น
มองดูเหมือนจะหลุดพ้นจากวงล้อมอันตรายมาได้ แค่ต้องรับมือกับผู้เฒ่าสวมกวานดอกบัวคนเดียว คนเดียวเท่านั้น ทว่าฝ่ามือของเฉินผิงอันกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความกล้าหาญและสภาพจิตใจ ล้วนเป็นเพราะว่าหลังจากที่ติงอิงปรากฏตัว ปราณสังหารของเขาเข้มข้นเกินไป การพบเจออันตรายแล้วต้องหลีกเลี่ยงคือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ เพียงแต่ว่าหากสามารถเดินขึ้นหน้าต้านรับถึงจะเรียกว่าการขัดเกลาบนวิถีวรยุทธ์ที่แท้จริงก็เท่านั้น
ติงอิงรับมือได้ยากแค่ไหน แค่ดูจากกระบี่บินสืออู่ที่ถูกคีบระหว่างสองนิ้วของเขาก็รู้ได้แล้ว
—–