ติงอิงยกแขนขึ้น กวานดอกบัวสีเงินบนศีรษะผลิบานราวกับมีชีวิตจริง กลีบดอกบัวที่เดิมทีตูมเต่งคลี่ขยายออกมาภายนอก ส่ายสะบัดอย่างมีชีวิตชีวา ติงอิงเอากระบี่บินเล่มจิ๋วที่อยู่ตรงปลายนิ้ววางไว้ข้างในนั้น กลีบดอกสีเงินค่อยๆ หุบเข้าหากัน กวานเต๋าหวนคืนกลับสภาพเดิม
ติงอิงเอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลงมองปราณกระบี่ยาวเหยียดที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ต่อให้เป็นติงอิงก็ยังรู้สึกว่าภาพนี้ช่างงดงามอย่างที่ไม่เคยได้พานพบมาก่อนในชีวิต
ติงอิงก้มหน้าลงมองลำธารสีขาวหิมะที่หยุดค้างอยู่ในโลกมนุษย์พลางเปิดปากถามยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน นี่คือเวทบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่กระมัง? เจ้าเคยใช้กับเฝิงชิงป๋ายมาก่อน เป็นข้าประมาทเอง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถบังคับกระบี่มาได้ไกลขนาดนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร สถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว อีกอย่างในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าของกระบี่เซียนเล่มนี้ กลับไม่กำด้ามกระบี่อย่างแท้จริง แค่ใช้เวทอำพรางตาทำท่าเหมือนกำอยู่เท่านั้น แบบนี้จะไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ?”
ติงอิงดึงสายตากลับ หันตัวไปมองเฉินผิงอัน “หรือจะบอกว่าอันที่จริงเจ้าไม่สามารถควบคุมกระบี่เล่มนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ น่าเสียดายยิ่งนัก หรือว่าเจ้าพวกที่มองดูเหมือนหมอกแต่ไม่ใช่หมอก เหมือนน้ำแต่ไม่ใช่น้ำเหล่านี้ล้วนเป็นปราณกระบี่ทั้งหมด? ถ้าอย่างนั้นปราณกระบี่ก็ต้องเผาผลาญไปเร็วมากสิถึงจะถูก”
เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าติงอิงจะสายตาเฉียบคมขนาดนี้ แปบเดียวก็มองออกแล้วว่าตนกับกระบี่เล่มนี้ ‘ภายนอกประสาน แท้จริงใจห่าง’
ปราณยาวเล่มนี้ ตอนที่อยู่นอกป้อมอินทรีบิน เฉินผิงอันเคยชักออกจากฝักหนึ่งครั้ง ตอนนั้นเลือดเนื้อตลอดทั้งแขนของเฉินผิงอันถูกปราณกระบี่สลายไปเสียสิ้น เหลือให้เห็นเพียงกระดูกขาว เป็นเพราะลู่ไถใช้ยาวิเศษของสำนักหยินหยางถึงได้มีเลือดเนื้องอกขึ้นมาใหม่ เวลานี้เขาสามารถบังคับพาปราณยาวมาไว้ข้างกาย แน่นอนว่าหาใช่เพราะบรรลุถึงจุดสูงสุดของอาจารย์กระบี่ถึงได้ควบคุมกระบี่ยาวมาได้ไกลขนาดนี้ แต่เป็นเพราะเมื่อเฉินผิงอันกับปราณยาวอยู่ด้วยกันนานวันเข้า ปราณกระบี่ได้แทรกซอนเข้ามาในร่างกายของเขา และจิตวิญญาณของเขาก็เป็นฝ่ายชักนำปราณกระบี่ ดังนั้นต่อให้ทั้งสองจะแยกจากกันก็ยังคงมีเส้นใยที่เชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยกัน
ติงอิงชี้ไปที่กวานดอกบัวของตัวเอง “คราวนี้เจ้าเอากระบี่มาได้แล้ว ส่วนข้ากลับสูญเสียวิชาอภินิหารจากกวานเต๋าของเซียนชิ้นนี้ไปชั่วคราว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อันดับต่อไปก็สามารถประมือกันได้อย่างยุติธรรมแล้วใช่ไหม?”
นิ้วทั้งห้าของเฉินผิงอันที่กำด้ามกระบี่ไว้หลอกๆ เพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย ลำธารปราณกระบี่ที่เริ่มต้นมาจากลานบ้านในตรอกเล็กและหยุดลงที่ฝ่ามือของเฉินผิงอันพลันรวบเข้ามาหากันในเสี้ยววินาที ปราณกระบี่กลับมารวมตัวกันบนตัวกระบี่อีกครั้ง กระบี่ปราณยาวที่อยู่ในมือไม่เหลือภาพเหตุการณ์ผิดปกติอะไรอีก
เฉินผิงอันลอง ‘ชั่ง’ น้ำหนักของกระบี่ปราณยาวดูรอบหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่ากำลังดี เมื่อเทียบกับกระบี่ชือซินที่อยู่ในกระบี่บินสืออู่แล้วถือว่าหนักกว่ามาก นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันได้ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ มาจากนครมังกรเฒ่า แล้วเริ่มฝึกวิชากระบี่มาตั้งแต่บนเกาะกุ้ยฮวา เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าเบาเกินไป ตอนนี้ต่อให้เพียงแค่กุมปราณกระบี่ไว้ปลอมๆ กลับรู้สึกว่ามันเหมาะมือ
น้ำหนักเหมาะสมก็ดีแล้ว
จนกระทั่งบัดนี้ติงอิงถึงเพิ่งจะยกระดับเฉินผิงอันจากขั้นเดียวกับพวกลู่ฝ่าง จ้งชิวให้เท่าเทียมกับอวี๋เจินอี้ที่ฝึกวิชาเซียน
ความต่างของทั้งสองฝ่ายก็คือไม่ว่าวิชากระบี่ของเจ้าลู่ฝ่างจะมหัศจรรย์แค่ไหน วิชาหมัดของเจ้าจ้งชิวจะไร้ศัตรูทัดเทียมเท่าไหร่ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าข้าติงอิงก็ยังเหมือนเด็กน้อยที่แกว่งกิ่งหลิว เหมือนคนแก่โบกหมัด ใต้หล้านี้มีเพียงอวี๋เจินอี้ที่ไม่ว่าจะโจมตีหรือต้านรับก็อยู่ในระดับสูงสุดเท่านั้นที่ถึงจะมีโอกาสทำร้ายเขาติงอิงได้
เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ หนึ่งครั้ง
ข้อดีอย่างเดียวของสถานที่แห่งนี้ก็คือการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลัดเปลี่ยนลมปราณของเฉินผิงอัน
ราวกับว่าผู้ฝึกยุทธ์ของฟ้าดินแห่งนี้ขาดขั้นที่หนึ่งในการเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวของใต้หล้าไพศาลไป เมื่อเฉินผิงอันอยู่ที่นั่น หากผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณคิดจะเดินไปบนเส้นทางที่ผิดต่อวิถีสวรรค์ จำเป็นต้องสลายปราณวิญญาณทั้งหมดในร่างกายออกไปเสียก่อน แล้วจึงสกัดดึงเอาลมปราณบริสุทธิ์ที่แท้จริงเฮือกหนึ่งขึ้นมา ลมปราณเป็นดั่งเจียวหลงที่ว่ายวนไปตามอวัยวะและช่องโพรงลมปราณในร่างกาย เหมือนกองทหารม้าชายแดนที่บุกเบิกที่ดิน เปิดเส้นทางเส้นแล้วเส้นเล่าที่เหมาะสมแก่การโคจรของลมปราณแท้จริง ถึงจะถือว่าได้เดินขึ้นไปบนวิถีวรยุทธ์อย่างแท้จริง
ทว่าเมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ บางทีอาจเป็นเพราะปราณวิญญาณที่เบาบาง ผู้ฝึกยุทธ์จึงไม่มีความพิถีพิถันในเรื่องนี้ ด้านการหล่อหลอมหายไป ดังนั้นรากฐานที่ถูกปูมาแต่แรกเริ่มจึงไม่ดีนัก ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์หลายคนในยุทธภพแสวงหาการกลับคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม แท้จริงแล้วก็เพียงแค่เพราะว่าเมื่อเดินไปถึงจุดสูงในระดับหนึ่งบนเส้นทางแห่งวิถีวรยุทธ์แล้วกลับเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งในฉับพลัน ถึงได้เริ่มเดินย้อนกลับหลังไปเริ่มใหม่อีกครั้ง
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ตลอดร้อยปีในยุทธภพก็ยังมีผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่นอย่างพวกติงอิง อวี๋เจินอี้ จ้งชิวผุดขึ้นมา และในประวัติศาสตร์ก็ยิ่งมีบุคคลฝีมือเลิศล้ำอย่างเว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน
ติงอิงยิ้มบางกล่าวว่า “นอกจากกวานดอกบัวบนศีรษะนี่แล้ว กระบี่ในมือของเจ้าเฉินผิงอันก็คือของอย่างที่สองที่ข้าติงอิงต้องการได้มาครอบครอง”
ใช้ท่าจับเสมือนจริงกุมปราณยาว
เฉินผิงอันขยับไปข้างหน้าด้วยการเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ซึ่งในท่าทางนี้ยังแฝงไว้ด้วยแก่นสูงสุดของกระบวนท่าหมัดใหญ่ของจ้งชิว
ความกว้างในแต่ละก้าวสั้นยาวไม่เท่ากัน ทว่าหลังจากฝึกหมัดครบล้านครั้งแล้ว ทุกอย่างล้วนผสานรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ ปณิธานหมัดได้ซึมลึกเข้าสู่แก่นกระดูกของเฉินผิงอันนานแล้ว บวกกับจุดสูงสุดแห่งวิชาหมัดที่ก่อนหน้านี้จ้งชิวแสร้งทำเป็นเข่นฆ่ากับเขา ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นการถ่ายทอดวิชาให้เขาอย่างลับๆ สองอย่างผสานรวมกันเกิดเป็นท่วงทำนองดุจเมฆคล้อยน้ำไหล ประสานกันได้อย่างราบเรียบไร้ช่องโหว่
ด้วยสายตาของติงอิง เขากลับมองช่องโหว่ใดๆ จากการก้าวย่างหกก้าวนี้ของเฉินผิงอันไม่ออก นี่คือคนกับฟ้าผสานเป็นหนึ่ง สอดคล้องเข้ากับมหามรรคาอย่างแท้จริง
ในช่วงเวลาหกสิบปีที่ผ่านมา ติงอิงเสาะหาและรวบรวมวิชาวรยุทธ์ในใต้หล้ามาอย่างกำเริบเสิบสาน อีกทั้งตัวติงอิงเองยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง มีความรู้หลากหลายรอบด้าน จึงพยายามจะเรียบเรียงตำราวิเศษที่สอนสุดยอดเคล็ดวิชายุทธ์ในใต้หล้าขึ้นมา
เมื่อเห็นท่าเดินหกก้าวที่ราบเรียบไร้ความมหัศจรรย์นี้ ดวงตาของติงอิงก็พลันเป็นประกาย ดูท่าในตำราลับเล่มนั้นของตนยังมีจุดที่ต้องให้ตรวจสอบและเติมเต็มช่องโหว่
ในเมื่อไม่มีโอกาสปลิดชีพในการโจมตีเดียว บวกกับที่คิดอยากจะเรียนวรยุทธ์นอกฟ้าจากตัวของเฉินผิงอันให้มากขึ้นอีกนิด ติงอิงจึงเลือกที่จะหลบเลี่ยงประกายคมกริบของฝ่าย
แต่เพียงไม่นานติงอิงก็ตระหนักได้ว่าการถอยครั้งนี้ของตน เป็นการเลือกที่ผิดพลาด
หลังจากก้าวเดินมาถึงก้าวที่หก พลังอำนาจทั่วร่างของเฉินผิงอันก็ไต่ทะยานสู่จุดสูงสุด ปณิธานหมัดเข้มข้นจนถึงขั้นที่คล้ายจะรวมตัวกันขึ้นเป็นน้ำ ประหนึ่งหยดน้ำจำนวนมากที่กลิ้งไหลอยู่บนใบบัว การขัดเกลาหล่อหลอมจิตวิญญาณจากการแบกปราณยาวไว้บนหลังวันแล้ววันเล่า ปณิธานกระบี่ที่เดิมทีแทรกซึมเข้ามาในร่างของเฉินผิงอันช้าๆ ก็คือเส้นใยบนใบบัวใบนั้น
เขากระโดดขึ้นสูง เงื้อกระบี่ฟันฉับลงไป
มือทั้งคู่ของเฉินผิงอันจับกระบี่ สลับคมกระบี่จากตั้งมาเป็นนอน ประกายแสงเส้นหนึ่งพุ่งวาบ
ถนนใหญ่ถูกปราณกระบี่เส้นนั้นฟันออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวา หากมีคนยืนอยู่สองข้างฝั่งของถนนก็จะค้นพบว่าวินาทีนี้ ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งถนนกลายมาเป็นพร่ามัว บิดเบี้ยว
ติงอิงถอยห่างออกไปสามจั้ง บิดข้อเท้าเบี่ยงตัว พายุกระบี่สีขาวหิมะพุ่งสวบผ่านไปด้านหน้า
ประหนึ่งนักท่องเที่ยวที่ยืนมองคลื่นยักษ์กระทบชายฝั่ง
ติงอิงที่เรือนกายด้านข้างเผชิญกับกระบี่ที่สองยกมือขึ้นปรบกัน เท้าทั้งสองข้างพ้นจากพื้น ลำตัวลอยขึ้นกลางอากาศ หลบปราณกระบี่ดุร้ายที่ฟันผ่ากลางเอวมาได้ ฝ่ามือข้างหนึ่งสัมผัสกับตัวกระบี่ปราณยาวพอดี เมื่อฝ่ามือกับกระบี่เทพสัมผัสกันก็เหมือนก้อนหินที่บดเบียดเสียดสีกัน
ติงอิงขมวดคิ้ว เลือดโชกไหลนองออกมาจากฝ่ามือ เขาพลันเพิ่มแรง งอนิ้วดีดกระบี่ปราณยาว ถือโอกาสม้วนตัวกลับ พลิ้วกายลอยไปด้านหลัง
เพียงแต่ว่าติงอิงที่เสียโอกาสชิงจู่โจมก่อนไปแล้ว คิดจะสลัดเฉินผิงอันให้หลุดกลับไม่ง่ายนัก
การเดินนิ่งหกก้าวครั้งต่อไปของเฉินผิงอัน ก้าวแรกเหยียบบนกลางอากาศที่เหนือพื้นมาชุ่นกว่า ก้าวที่สองเหยียบตรงจุดที่ลอยพ้นพื้นมาหนึ่งฉื่อ แต่ละก้าวล้วนเดินขึ้นฟ้า ขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยกระบี่ปราณยาวออก มันกลายเป็นสายรุ้งสีขาวที่พุ่งตามติดไปไล่ฆ่าติงอิง
แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นเพราะเฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดบังคับลมของวิถีวรยุทธ์แล้ว แต่เป็นเพราะเขาอาศัยพลังของกระบี่ อาศัยที่ลมปราณของหนึ่งคนหนึ่งกระบี่เชื่อมโยงกัน ถึงได้สามารถบังคับลมเดินกลางอากาศ ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับจ้งชิว หลังจากปรับแก้มังกรใหญ่เขาได้ฝ่าขอบเขตเป็นครั้งแรก เลื่อนสู่ขอบเขตห้า ตอนนั้นที่เขาเดินกลางอากาศข้ามผ่านร่องลึกบนถนนที่ถูกกระบี่ของลู่ฝ่างผ่าไว้มาได้สำเร็จ ล้วนเป็นเพราะลมปราณเหมือนน้ำบ่าที่ทะลักออกมาภายนอก ยังไม่มั่นคงอย่างแท้จริงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อจ้งชิวมองเห็นสายสนกลในถึงได้ออกหมัดช่วยเฉินผิงอันขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ให้แน่นหนามากขึ้น
ติงอิงก้าวออกมาหนึ่งก้าว ใต้ฝ่าเท้าก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ร่างเอียงไปยังกลางอากาศตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่าเดิมแล้วก้าวออกไป ยังคงเป็นภาพปรากฎการณ์เดียวกันนั่นคือใช้ลมพายุที่ปลดปล่อยออกไปข้างนอกให้รวมตัวกันกลายเป็นหินรองฝ่าเท้า ก่อนที่เท้าจะเหยียบลงมันก็ถูกเอามา ‘วาง’ ไว้กลางอากาศรออยู่ก่อนแล้ว เป็นเหตุให้ติงอิงสามารถเดินไปยังตำแหน่งใดในอากาศก็ได้ตามที่ใจปรารถนา
นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเค้าโครงรูปร่างของขอบเขตบังคับลมในใต้หล้าไพศาลแล้ว
หากติงอิงสามารถบินทะยานออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว ระดับความสำเร็จของเขาย่อมสูงอย่างที่ใครก็ไม่อาจจินตนาการได้ถึง
คนอีกสิบเก้าคนในใต้หล้านอกเหนือจากติงอิง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในท้องถิ่นหรือเจ๋อเซียน เมื่อมาอยู่ในกรงขังอย่างพื้นที่มงคลดอกบัวก็ล้วนกำหนดให้ยอดเขาที่คนและฟ้ารวมเป็นหนึ่งคือจุดสูงสุด กว่าจะเดินมาถึงก้าวนี้ต้องเปลืองแรงอย่างมาก เผาผลาญพลังกายพลังใจไปนับไม่ถ้วน แต่ติงอิงนั้นไม่เหมือนกัน เป็นเพราะจุดสูงสุดของพื้นที่มงคลดอกบัวมีเพียงขอบเขตฟ้าคนผสานเป็นหนึ่งขอบเขตเดียวเท่านั้น เขาถึงได้หยุดอยู่ที่เดิมมาปีแล้วปีเล่า รอให้คนอื่นเดินขึ้นเขามาทีละก้าว โดยเขาเองที่อยู่บนจุดสูงสุดมานานหลายปีทำเพียงก้มหน้าหลุบตามองโลกมนุษย์ ใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่อหน่าย
ดังนั้นติงอิงถึงได้มองกฎเกณฑ์และมหามรรคาของฟ้าดินแห่งนี้เป็นศัตรูของตัวเอง
—–