ติงอิงหัวเราะดังลั่นอย่างสาแก่ใจ สองมือทำมุทรา จิตวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง เขาถึงกับพาจิตหยินออกมาล่องลอยอยู่ใต้หล้าในเวลากลางวันแสกๆ
จิตหยินตนนี้เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยื่นฝ่ามือออกมาวางบังไว้เหนือศีรษะ เปล่งเสียงไม่ดัง แต่กลับเป็นถ้อยคำอย่างใจกว้างที่ดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจของติงอิง “หากข้าสลายไปในโลกมนุษย์ ติงอิงจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมหรือไม่?”
แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดที่เขาพูดกับตัวเอง
ติงอิงไม่ได้พูดออกเสียง แต่กระนั้นก็ยังหลุดหัวเราะเพราะความคิดที่เกิดขึ้นในหัวใจ “ตบะจะเป็นเช่นไร ข้าไม่ใช่คนที่ตัดสินใจ แต่กฎเกณฑ์กลับยังต้องรักษาเอาไว้ และก็ยิ่งต้องคงความมีสติปัญญา ไม่จำเป็นต้องพูดจาเหลวไหล ต่อให้ข้าติงอิงไม่มีจิตวิญญาณ มีเพียงกายหยาบ แล้วอย่างไร? ควรทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น”
ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันที่ถือปราณยาวไว้ในมือก็พลิ้วกายลงบนพื้น สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ลมปราณแท้จริงอันบริสุทธิ์เฮือกนั้นของเฉินผิงอัน เดิมทีก็เป็นเหมือนม้าตีนปลายอยู่แล้ว ที่แท้กระบี่เมื่อครู่ที่ส่งออกไปเป็นการพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็เพราะ ‘ความหมาย’ ของกระบี่นี้ยิ่งใหญ่เกินไป เรี่ยวแรงของเฉินผิงอันน้อยนิดเกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถดึงมันขึ้นมาได้ จุดจบจึงเป็นเพียงฟ้าร้องเสียงดังสนั่น แต่ฝนกลับตกปรอยๆ
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่หากต่อยตีกับใครขึ้นมาล้วนไม่สนฟ้าไม่เกรงดินก็ยังรู้สึกเขินอายอย่างเลี่ยงไม่ได้
ส่วนจิตหยินตนนั้นที่เดิมทีนึกว่าจะถูกหนึ่งกระบี่ฟันให้แหลกสลายก็มีแค่ส่วนฝ่ามือและแขนที่หายไปเท่านั้น จึงหันมามองด้วยความสงสัย ก่อนจะถอยหลังหลายก้าว กลับเข้าไปในร่างของติงอิง
ทั้งสองฝ่ายต่างก็พักรบกันครู่หนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เฉินผิงอันเปลี่ยนลมหายใจเฮือกใหม่
ติงอิงก็ยิ่งต้องปลอบประโลมจิตวิญญาณของตัวเอง
และในวินานี้เอง จิตใจของทั้งเฉินผิงอันและติงอิงต่างก็ ‘มั่นคง’ ประหนึ่งเรือที่โยนสมอลงน้ำ
นักพรตผู้เฒ่าที่อยู่ข้างปากบ่อมาถึงหัวกำแพง คลี่ยิ้มแล้วตัดสินใจได้ทันที
เหล่าปรมาจารย์ที่อยู่บนหัวกำแพง ต่อให้เป็นเจ๋อเซียนที่ยังคงรักษาพละกำลังไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยมเช่นโจวเฝยก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของนักพรตเฒ่า
มีเพียงฝานกว่านเอ่อร์เท่านั้นที่ชำเลืองตามองมาอย่างคนที่ความรู้สึกไวแวบหนึ่ง แต่ก็มองไม่เห็นอะไรจึงดึงสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว
อวี๋เจินอี้กวาดตามองรอบด้านแล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ฝึกวิชาเซียนอย่างระมัดระวังรอบคอบ เดิมทีนึกว่าอย่างน้อยก็คงสามารถต่อสู้กับติงอิงได้สักครั้งแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่ายังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบติด ถึงท้ายที่สุดแล้วติงอิงก็ยังคงเป็นลูกรักของฟ้าดินแห่งนี้ หรือว่าผู้ฝึกตนจะไม่มีวันที่ได้ลืมตาอ้าปากจริงๆ?”
โจวเฝยจุ๊ปากพูด “นี่มารเฒ่าติงคิดจะยึดครองโชคชะตาบู๊เพียงลำพังเลยนี่นา เป็นเพราะติงอิงคิดตกเรื่องอะไร ถึงได้รับการยอมรับจากกฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้? คงไม่ใช่กระมัง พวกเรายังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้อยู่เลยนะ ติงอิงจะได้โชคยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไปครองได้อย่างไร ไม่ใช่ราชวงศ์สกุลหลูของแจกันสมบัติทวีปสักหน่อยที่ฮ่องเต้สติวิปลาส เห็นว่ายากจะต่อชะตาแคว้นได้อีก จึงหุบไหที่แตกให้แหลกโดยการแอบมอบโชคชะตาบู๊ของครึ่งแคว้นให้กับบุตรชาย…”
โจวเฝยบ่นพึมพำอย่างนึกสนุกอยู่กับตัวเอง ถึงอย่างไรเวลาชมเรื่องสนุก เขาก็ไม่รังเกียจหากเรื่องราวจะลุกลามใหญ่โต
ลู่ฝ่างถาม “เรื่องหยุมหยิมในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ทางทิศเหนือ เจ้าไปรู้มาได้ยังไง?”
โจวเฝยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็เป็นเจ้าประมุขสกุลเจียง จะไม่สนใจเรื่องราวในใต้หล้าไพศาลเลยได้อย่างไร มักมีคนมาเข้าฝันข้าบ่อยๆ”
ลู่ฝ่างกล่าวอย่างกังขา “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
“จ่ายเงินเอาสิ”
โจวเฝยพูดเสียงขุ่นเหมือนเสียดายเล็กน้อย “ราตรีวสันต์หนึ่งเค่อมีค่าเท่ากับทองคำพันชั่งกะผีอะไร ฝันหนึ่งตื่นในหนึ่งปีของข้านี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าต่อให้มีภูเขาเงินภูเขาทองก็ใช้จนหมดเกลี้ยงได้เหมือนกัน”
ห่างออกไปไกล อวี๋เจินอี้ขมวดคิ้ว กวานดอกบัวสีเงินที่อยู่ในมือสั่นสะเทือนเบาๆ กลีบดอกบัวพลันคลี่บาน ด้านในมีประกายแสงสีเขียวเส้นหนึ่งหลุดพ้นจากพันธนาการพุ่งทะยานไปทางทิศใต้ของเมืองอย่างรวดเร็ว
เมื่อโอกาสมาถึง ฟ้าดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ
สี่ด้านแปดทิศล้วนมีประกายแสงมายาล่องลอยกรูเข้าไปหาติงอิง
ติงอิงหลับตาทำสมาธิ รับเอาโชคชะตาบู๊ของฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่นี้ไป
ส่วนชุดคลุมอาคมจินหลี่ของเฉินผิงอันก็พลันโบกสะบัด ไม่ได้เป็นชุดคลุมสีขาวอีกต่อไป แต่กลับคืนสู่รูปโฉมแท้จริงซึ่งเป็นชุดคลุมยาวสีทอง
ไม่เพียงเท่านี้ กระบี่บินชูอีที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็พุ่งพรวดออกมา
อีกทั้งห่างไปไกลยังมีกระบี่บินสืออู่บินมาหาด้วย
เฉินผิงอันยืนอยู่บนยอดเนินเขา ในมือถือปราณยาว ปราณกระบี่ไหลรินไปตามแขน ชูอีและสืออู่ล้อมวนอยู่รอบกาย สหายเก่ากลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง บรรพบุรุษน้อยทั้งสองที่เดิมทีนิสัยเข้ากันไม่ค่อยได้ เวลานี้กลับลิงโลดร่าเริงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ชายแขนเสื้อใหญ่ของจินหลี่โบกไสว เฉินผิงอันพลันกำปราณยาวเอาไว้แน่น ชายแขนเสื้อสั่นสะเทือนตามไป ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
แค่เนินเขาเล็กๆ เท่านั้น
แต่กลับมีคนคนหนึ่งยืนตระหง่าน อาภรณ์สะบัดปลิวพัดฝุ่นผงคลุ้งลอย
เฉินผิงอันและติงอิง คนหนึ่งอยู่บนเขา อีกคนอยู่ล่างเขา
ต่างคนต่างเดินขึ้นสูงคนละหนึ่งก้าว เดินมาถึงยอดสูงสุดที่ใหม่เอี่ยม ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือสภาพจิตใจก็ล้วนเป็นเช่นนี้
ติงอิงลืมตา ชำเลืองมองกาเหล้าตรงเอวของเฉินผิงอัน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป ข้าจะดื่มเหล้านี้แทนเจ้าเองก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ตรงเอว บอกเป็นนัยว่าหากมีปัญญา หลังจบเรื่องก็มาเอาไปได้เลย
ศึกใหญ่ปะทุขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ได้โรมรันกันอยู่ในระยะสองช่วงแขนอีกต่อไป แต่เดี๋ยวขยับใกล้ เดี๋ยวออกห่างไปไกล ในรัศมีหนึ่งลี้ล้วนเต็มไปด้วยปราณกระบี่และและพายุหมัดที่หนาข้น
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนมาถึงภูเขากู่หนิว เม็ดทรายและก้อนหินตลบคละคลุ้ง ตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงยอดเขา
ติงอิงถูกกระบี่หนึ่งของเฉินผิงอันฟันผ่าลงมาจากยอดเขาถึงตีนเขา
แต่กระบี่ที่สองของเฉินผิงอันกลับถูกติงอิงที่ทะยานร่างขึ้นมาต่อยกลับไปที่ยอดเขา
ติงอิงเดินขึ้นเขามาช้าๆ พายุหมัดที่ปล่อยออกมาอย่างสบายๆ กลับเหมือนแขนขององค์เทพสูงร้อยจั้งที่ควงหมัดเหวี่ยงลงบนภูเขากู่หนิวครั้งแล้วครั้งเล่า
เฉินผิงอันเพียงใช้หนึ่งกระบี่ทำลายลงเท่านั้น
ติงอิงที่ได้รับโชคชะตาบู๊มาจากฟ้าดินปล่อยให้จิตหยินออกมาจากร่างอีกครั้ง กลายมาเป็นกายธรรมร่างทองที่สูงพอๆ กับภูเขากู่หนิว มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัด ทุบต่อยลงบนภูเขากู่หนิวครั้งแล้วครั้งเล่า
เดิมทีเฉินผิงอันควรจะเปลี่ยนมาใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ แต่หลังจากกุมปราณยาวไว้ในมือก็ไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนมาใช้กระบวนท่าหมัดอีก ต่อให้ทั้งคนและกระบี่จะถูกจิตหยินร่างทองตนนั้นทุบให้ลดระดับลงไปพร้อมกับยอดเขากู่หนิว แต่ก็ยังดึงดันจะใช้กระบี่รับมือกับศัตรู ฝุ่นผงบนยอดเขากู่หนิวลอยตลบมืดฟ้ามัวดินอยู่นานแล้ว มีหินยักษ์กลิ้งหลุนๆ ลงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหินทั้งหลายยังถูกหมัดของติงอิงต่อยให้กลิ้งไถลลงมาตามภูเขาเหมือนยามหิมะทลาย หอบเอาดินโคลนก้อนหินและพืชหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนไหลกรูลงมาด้วย
ภูเขากู่หนิวที่สูงใหญ่ถูกต่อยให้เตี้ยลงทีละนิด
ชุดคลุมสีทองที่อยู่บนยอดเขายังคงยืนตระหง่านไม่ล้มลง
ร่างจริงของติงอิงเดินขึ้นบนยอดเขาใหม่เอี่ยม ฝุ่นคลุ้งปลิวว่อน เห็นเพียงความมืดสลัว
ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันใช้กระบี่ต้านรับฝ่ามือข้างหนึ่งที่กดลงมาของจิตหยิน ทำลายฝ่ามือของกายธรรมจนแหลกเละ ประกายแสงสีทองแตกเป็นสะเก็ดปลิวกระจัดกระจาย ราวกับว่าบนภูเขากู่หนิวมีฝนห่าใหญ่สีทองตกลงมา
ติงอิงพุ่งทะยานไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง เหวี่ยงหมัดต่อยเข้าที่หน้าผากของเฉินผิงอัน
แสงสีทองจุดหนึ่งกระเด็นออกไปจากภูเขากู่หนิวเป็นเส้นโค้ง ร่วงกระแทกลงบนพื้นไกลจากภูเขากู่หนิวมาหลายร้อยจั้ง
วงโคจรของแสงสีทองที่เล็กบางเส้นนั้นทำให้มันดูคล้ายสะพานหินโค้งสีทอง
หมัดที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณของติงอิงถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว
ยังคงเป็นภาพที่สายรุ้งสีขาวพาดผ่านบนนภา ยิ่งใหญ่และงดงาม
จุดที่รุ้งสีขาวเส้นนี้ร่วงลงพื้นเป็นจุดเดียวกับแสงสีทองพอดี
เฉินผิงอันถูกต่อยให้ถอยไปอีกร้อยกว่าจั้ง
ติงอิงเองก็โมโหเดือดดาลกับเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานของเฉินผิงอันเต็มทีแล้ว ขนาดภูเขากู่หนิวยังลดระดับลงหลายสิบจั้ง แต่ไอ้หมอนั่นกลับไม่รู้สึกรู้สา ยังคงออกกระบี่ไม่หยุด ติงอิงจึงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “หมัดนี้จะตายหรือไม่ตาย?!”
เทพหยินร่างยักษ์ที่อยู่ด้านหลังเดินข้ามภูเขากู่หนิวมา พอฝ่าเท้าสัมผัสพื้นก็โน้มตัวมาข้างหน้า เท้าอีกข้างหนึ่งเหยียบลงบนหัวของเฉินผิงอันพอดี
ความรู้สึกนี้แค่เทียบเท่าการจับปราณยาวเท่านั้น
เมื่อคนทั้งสองประหัตประหารกันอย่างบ้าคลั่ง สงครามก็ยิ่งดุเดือดรุนแรงมากทุกขณะ ปราณกระบี่ระเบิดอยู่กลางฝ่ามือและบริเวณใกล้กับแขนไม่หยุด ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ต้านทานการทุบตีจากจิตหยินของติงอิงมาครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ปราณวิญญาณเหล่านั้นแทบจะระเบิดอยู่เหนือศีรษะของเฉินผิงอัน
จิตใจทั้งหมดของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่กับการต่อสู้กับติงอิง ถึงขั้นไม่ทันปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณพวกนี้ ราวกับว่าการดำรงอยู่ของพวกมันคือหลักแห่งฟ้าและดิน
ต่อให้จะเจ็บปวดเหมือนมีองค์เทพใช้ปราณวิญญาณทุบตีหล่อหลอมเข้ามาในร่างกาย เฉินผิงอันก็ไม่มีเวลามาสนใจ คิดแค่ว่าเป็นความยากลำบากอย่างหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากการฝึกวิชาหมัดเท่านั้น
ส่วนปราณวิญญาณสับสนวุ่นวายที่แทรกซอนเข้ามาในผิวหนัง เลือดเนื้อ กระดูกและเส้นเอ็น ก่อนจะเข้ามาในช่องโพรงลมปราณและทะเลสาบในหัวใจอันเป็นจิตวิญญาณ เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่สนใจ
ภูเขาสูงสายน้ำอันตราย เส้นทางเต็มไปด้วยอุปสรรคและยาวไกล
เฉินผิงอันมองไปข้างหน้าอย่างเดียว พอเจอหินที่กีดขวางเส้นทางเดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า เขาก็เดินอ้อมผ่านอย่างเป็นธรรมชาติ เส้นทางยังคงเป็นเส้นทางเดิม ไม่มีทางอื่นเพิ่มเข้ามา เป็นเหตุให้ก้อนหินที่ขวางทางพวกนั้นกลายมาเป็นประสบการณ์ช่วงหนึ่งในชีวิตของเฉินผิงอัน
กายธรรมร่างทองเหยียบลงไป พื้นดินก็ปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่
ติงอิงตั้งท่าหมัดที่ ‘คิดว่าแน่นอน’ ความหมายแท้จริงของกระบวนท่านี้แทบจะใกล้เคียงคำว่า ‘เมื่อจิตใจไปถึงก็จะกลายเป็นความจริง’ แล้ว
เขาแบฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสู่ฟ้า วางขวางไว้เบื้องหน้า มือหนึ่งกำเป็นหมัดทุบลงบนฝ่ามืออีกข้างอย่างแรง
หนึ่งหมัดทุบลงไป
ลมโหมกระหน่ำ ก้อนเมฆมารวมตัวกัน สายฟ้าหนาเท่าต้นไม้หลายคนโอบเส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมา
เทพหยินที่ถอยไปด้านหลังอยู่นานแล้วยกสองแขนกอดอก มองมาด้วยสายตาเย็นชา
สายฟ้าเส้นแล้วเส้นเหล่าผ่าลงกลางหลุมใหญ่หลุมนั้น
สายฟ้าผ่าลงมาติดต่อกันไม่หยุด ราดรดลงบนศีรษะของเฉินผิงอันที่ยืนงอตัวอยู่ก้นหลุม ประหนึ่งน้ำบ่าที่ไหลผ่านชุดคลุมอาคมจินหลี่ลงไปเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
ดวงตาทั้งคู่ของติงอิงฉายประกายแสงสีทอง ครั้งสุดท้ายที่เขาใช้หมัดทุบลงบนฝ่ามือ ทะเลเมฆบนท้องฟ้าที่ราวกับมีบ่อสายฟ้าอยู่ด้านในก็ปล่อยสายฟ้าสีขาวหิมะเส้นใหญ่ที่สุดลงมา ทว่ากลับไม่ได้กระแทกลงในหลุมใหญ่ แต่ค่อยๆ ลดระดับลงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะถูกจิตหยินร่างกายธรรมถือไว้ในฝ่ามือดั่งถือกระบี่ยาว
ครั้นแล้วก็เริ่มวิ่งตะบึงมาเบื้องหน้า ขว้าง ‘กระบี่ยาว’ ที่อยู่ในมือไปเบื้องหน้าเบาๆ
สุดท้ายใช้สองมือคว้าจับกระบี่ยาวที่เกิดจากสายฟ้าตัดสลับกัน ยืนอยู่ริมขอบของหลุมใหญ่ ปลายกระบี่ทิ่มลงเบื้องล่าง แล้วแทงลงสู่ศีรษะของคนผู้นั้นอย่างแรง!
ต้องรู้ว่ากระบี่นี้ นอกจากจะแฝงพลังอำนาจแห่งสายฟ้าแล้ว ยังมีวิชาแห่งวิถีกระบี่ที่ติงอิงบรรลุมาอีกด้วย
ติงอิงกระตุกมุมปาก เอาสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง “ข้ารู้ว่าเจ้ามาแล้ว ต้องรอให้เฉินผิงอันตายก่อนแล้วเจ้าค่อยเผยโฉมหน้าที่แท้จริงใช่ไหม? เจ้าช่างใจกว้างซะจริง เจ๋อเซียนที่ชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้เป็นหินลับมีดที่ดีที่สุดจริงๆ ทำไม กลัวว่าศักยภาพของข้าจะอ่อนด้อยเกินไป ไม่คู่ควรให้เจ้าลงมืองั้นรึ?”
บนหัวกำแพงเมือง
สีหน้าอวี๋เจินอี้มืดทะมึน
จ้งชิวหัวเราะร่า “เป็นไง ยังรู้สึกว่าตัวเองคือเทพเซียนที่ฝึกตนประสบความสำเร็จอยู่อีกไหม?”
โจวเฝยใช้มือกุมหน้าผาก ถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “มารดามันเถอะ สถานที่แห่งนี้ของพวกเราคือพื้นที่มงคลดอกบัวนะ ไม่ใช่ใต้หล้าไพศาลสักหน่อย พวกเจ้าจะได้ใช้ปราณวิญญาณกันอย่างสิ้นเปลืองแบบนี้ พวกเจ้าสองคนนี้มันช่าง…ดีเลย หลังจากที่ข้าผู้อาวุโสกลับไปจะต้องไปหาเฉินผิงอันผู้นี้ ไม่ว่าตอนนั้นขอบเขตของเขาจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ก็ต้องไปขอดูฝีมือสักหน่อย ทางที่ดีที่สุดคือให้มาเป็นผู้รับใช้ของสกุลเจียงข้า ต่อให้ขอบเขตต่ำแล้วจะอย่างไร…”
ลู่ฝ่างตัดบทความคิดของสหายรักด้วยการหัวเราะเสียงเย็น “ก่อนจะเป็นอย่างนั้น ไอ้หมอนั่นต้องไม่ตายไปซะก่อน”
โจวเฝยถอนหายใจ ดึงฝ่ามือที่จับหน้าผากออก มองไปทางภูเขากู่หนิว “ยากแล้วล่ะ”
นอกจากสายฟ้าหลายเส้นกระแทกลงมา ยังมีกายธรรมจิตหยินของติงอิงที่ออกมาจากร่าง ในมือถือกระบี่แทงลงไปที่ศีรษะของเฉินผิงอัน
ไม่ต้องสงสัยเลย ต่อให้เฉินผิงอันจะสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ ต่อให้ชูอีกับสืออู่พยายามสกัดขวางไว้อย่างสุดกำลัง กระบี่นั้นก็ยังแทงลึกลงไปถึงพื้นดิน
หลังจากที่เฉินผิงอันหายตัวไป กระบี่ยาวในมือของเทพหยินก็แตกสลาย ปณิธานกระบี่และสายฟ้ากระจายหายอยู่ในหลุมไปพร้อมกัน หลุมใหญ่และบ่อสายฟ้าบนท้องฟ้าขานรับกันอยู่ไกลๆ เกิดเป็นภาพบ่อสายฟ้ากระเพื่อมไหว
สถานการณ์โดยรวมมั่นคงแล้ว
หัวใจของติงอิงหดรัดตัว เตรียมพร้อมรับมือกับคู่ต่อสู้ที่แท้จริงคนนั้น
แล้วก็จริงดังคาด
บนยอดเขากู่หนิวห่างจากติงอิงไปไม่ไกล มีนักพรตเต๋าที่เรือนกายสูงใหญ่ผิดปกติคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “พวกเจ้าต่างก็เป็นหินลับมีดของกันและกันเท่านั้น”
ติงอิงกำลังจะเปิดปากพูด
นักพรตเฒ่ากลับหัวเราะหยัน “รนหาที่ตาย แต่ก็ไม่เป็นไร บนโลกนี้เจ้าติงอิงนับว่ายังพอน่าสนใจอยู่บ้าง”
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวของใต้หล้าไพศาล ขอบเขตสี่หลอมจิต ขอบเขตห้าคือหลอมวิญญาณ
กายหยาบของเฉินผิงอันที่ถูกหนึ่งกระบี่ปักตรึงลงไปใต้ดินไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งจริงๆ
ทว่าในบ่อสายฟ้ากลางหลุมใหญ่กลับปรากฏร่างของเซียนกระบี่หนุ่มที่ชุดคลุมสีทองโบกสะบัด เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจห้าวเหิม สองนิ้วประกบกันปาดผ่านไปเบื้องหน้าตัวเองหนึ่งครั้ง
กระบี่เล่มหนึ่งก็มาหยุดลอยอยู่ตรงหน้า
ท่าทางเหมือนก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนหัวกำแพงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
แต่ส่วนที่ไม่เหมือนกันก็คือ ด้านหลังเจ๋อเซียนสวมชุดคลุมสีทองผู้นี้ยังมีเด็กหนุ่มสวมชุดผ้าป่านและรองเท้าแตะคนหนึ่งปรากฏตัว เมื่อเทียบกับเจ๋อเซียนแล้วดูอ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อย
หนึ่งกระบี่ปรากฏขึ้นบนโลก
เฉินผิงอันผู้เป็นเจ๋อเซียนที่อยู่เบื้องหน้ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้ามีหนึ่งกระบี่?”
เฉินผิงอันสวมรองเท้าแตะที่อยู่ด้านหลังก็พุ่งมาข้างหน้าพอดี เขาคว้าจับกระบี่เล่มนั้น ทะยานตัวขึ้นสูง พูดเสียงดังกังวานเหมือนปีนั้นที่ใช้กระบี่ฟันภูเขาสุ้ยซาน “สามารถย้ายขุนเขา!”
แล้วหนึ่งกระบี่ก็ถูกส่งออกไป
ไหนเลยจะยังมีติงอิงผู้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอะไรอีก บนโลกนี้ไม่เหลือมารเฒ่าอิงอีกต่อไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
เพราะตลอดทั้งภูเขากู่หนิวไม่เหลืออยู่แล้ว ถูกหนึ่งกระบี่ฟันจนราบเรียบ
ในหลุมใหญ่ เฉินผิงอันอาศัยจินหลี่สยบสายฟ้าที่กลบทับหลุม เขาสะบัดอาภรณ์ ทำลายพันธนาการจากผืนแผ่นดิน ‘งัด’ ตัวเองออกมาจากในดินโคลน เฉินผิงอันสองคนที่เป็นทั้งจิตและวิญญาณต่างก็กลับคืนเข้าร่าง ปีนป่ายเนินเดินออกมาจากหลุมช้าๆ
น้ำเสียงแก่ชราที่กลั้วเสียงหัวเราะดังขึ้น ไม่รู้ว่าต้องการถากถางหรือต้องการสัพยอกกันแน่ “กระบี่นี้นับว่าไม่เลว”
เฉินผิงอันปลดกาเหล้าตรงเอวลงมาแล้วแหงนหน้าดื่มเหล้าหนึ่งอึกอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะถามว่า “เจ้าก็คือนักพรตแห่งทะเลบูรพาที่เซียนกระบี่เฉินพูดถึงสินะ? ที่นี่ก็คืออารามกวานเต๋าแห่งนั้น?”
นักพรตเฒ่าที่ปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มๆ “อารามกวานเต๋าอะไรกัน? ข้าอยู่ที่ไหน กวานเต๋า (พิศเต๋า มองเต๋า มองมรรคา พิศดูมรรคา) ก็อยู่ที่นั่น”
เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า แต่เพิ่งจะเช็ดสะอาด ใบหน้าก็กลับมาแดงก่ำอีกครั้ง เขาถามว่า “ข้าขอด่าสักคำได้ไหม?”
นักพรตเฒ่ายิ้มบางๆ ตอบรับ “เจ้าก็ลองคิดดูเอาเอง”
เฉินผิงอันยังคงเช็ดเลือดต่อโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “ท่านผู้อาวุโสช่างมีมรรคกถาค้ำฟ้า ร้ายกาจๆ”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “เด็กผู้นี้มีอนาคต สั่งสอนได้”
—–