นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามจิตใต้สำนึก เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ คิดหาคำพูดอยู่นานก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เฉินผิงอันถาม “หนังสือพวกนั้นล่ะ?”
เด็กหญิงกะพริบตาปริบๆ ส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่รู้”
เหมือนกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่เชื่อ นางจึงพูดด้วยสีหน้าของคนได้รับความอยุติธรรม “เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าต่อสู้กับพวกคนชั่วดุเดือดขนาดนั้น อีกทั้งตอนนั้นยังมีชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกจากตรอกขึ้นมาบนถนนใหญ่ ข้าหรือจะกล้าเข้าไปในตรอกอีก ได้แต่นั่งอยู่บนม้านั่งอย่างว่าง่ายมาโดยตลอด ภายหลังไม่พบเจ้า รอแล้วเจ้าก็ไม่กลับมาเสียที ข้ากลัวว่าคนชั่วจะเจอตัวเลยรีบหนีไป”
เฉินผิงอันโบกมือบอกนางให้รู้ว่าไปได้แล้ว เขาไม่อยากเห็นหน้าเด็กหญิงที่มีกลอุบายล้ำลึกผู้นี้อีก
เด็กหญิงกล่าวอย่างน่าสงสาร “ขอร้องเจ้าล่ะ ให้ข้ากินข้าวอิ่มก่อนค่อยไปได้ไหม?”
ที่แท้เป็นเพราะนางได้กลิ่นหอมของอาหาร
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจนาง พอเดินเข้าประตูบ้านมาก็ลั่นดาลลงกลอน แล้วก็เห็นว่าเป็นเฉาฉิงหล่างที่ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กชายทั้งฉลาดและกตัญญู แม้ว่าจะไม่เคยเข้าครัวทำอาหารมาก่อน แต่ก็เคยเห็นมารดาทำอาหารอยู่หลายครั้ง รอจนเขาต้องทำเอง อาหารที่ทำออกมาไม่มีทางอร่อยเลิศล้ำ แต่ย่อมกินได้
สองวันมานี้ล้วนเป็นเฉาฉิงหล่างที่ทำกับข้าวกินเองตลอด
เฉินผิงอันไม่เคยมาร่วมกินด้วย ทุกครั้งเวลาที่เฉาฉิงหล่างเข้าครัว เขาก็มักจะเป็นฝ่ายออกไปจากบ้าน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
ทุกครั้งเวลาที่กลับมา เด็กชายก็จะกินข้าวอิ่มและเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขาก็กลับไปที่ห้องตัวเอง มีบางครั้งที่ออกมารับลมเย็นตอนกลางคืน เฉาฉิงหล่างถึงจะออกมานั่งด้วยพักหนึ่ง แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เฉาฉิงหล่างที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะกินอาหารช้ามาก อีกทั้งตรงข้ามกับเขายังวางชามและตะเกียบเพิ่มไว้ชุดหนึ่ง
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้องเบาๆ พอนั่งลงแล้วก็เคี้ยวอาหารอย่างเชื่องช้า ไม่มีเสียงใดๆ
เสียงตุ้บดังมาจากในลานบ้าน
เด็กหญิงร่างผอมแห้งลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นตามตัว ค่อยๆ เดินย่องมาถึงนอกห้อง นางไม่กล้าเข้ามา ได้แต่นั่งยองอยู่ตรงนั้น ยืดคอมองอาหารบนโต๊ะ
เฉาฉิงหล่างคิดแล้วก็ไปตักข้าวจากในห้องครัวมาให้นางถ้วยหนึ่ง เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางแล้วยื่นชามและตะเกียบส่งให้ “กินด้วยกันเถอะ”
เฉินผิงอันวางตะเกียบลง มองหน้านาง
นางน้ำตาคลอเจียนจะหยด วางชามและตะเกียบลง ไม่กล้าขยับ
เฉาฉิงหล่างจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่เป็นไรหรอก กินเถอะ”
นางยังคงมองเฉินผิงอันตาไม่กะพริบ เฉินผิงอันหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากมองนาง
นางถึงได้เริ่มก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว มีบางครั้งที่ยื่นตะเกียบมาคีบกับข้าว ทำราวกับโจรขโมยอาหารอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่คนทั้งสามกินอิ่มแล้ว เฉาฉิงหล่างก็ลุกขึ้นเก็บโต๊ะ เด็กหญิงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ก่อนจะแสร้งทำท่าช่วยเขาเก็บจานชาม
คนวัยเดียวกันสองคนถือถ้วยชามเดินเข้าไปในห้องครัวด้วยกัน นางมองมาทางลานบ้าน เห็นว่าเจ้าหมอนั่นไม่อยู่จึงบ่นขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่ใส่น้ำมันบ้างเลย แถมยังเค็มขนาดนั้น สรุปว่าเจ้าทำกับข้าวเป็นไหม?! โตขนาดนี้แล้ว หัดทำตัวให้ได้เรื่องมั่งไม่ได้หรือไง?”
เฉาฉิงหล่างตะลึงจนพูดไม่ออก แต่พอเห็นท่าทางไม่ยอมเลิกราของนาง เขาจึงได้แต่พูดว่า “คราวหน้าข้าจะระวัง”
ผลคือเฉินผิงอันมาโผล่ตรงหน้าประตูห้องครัวกะทันหัน เด็กหญิงผอมแห้งหุบปากฉับ ขณะที่เตรียมจะหันหน้าไปทางอื่น แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเฉินผิงอัน กลับเห็นว่าเขากวักมือเรียก อีกทั้งสายตายังคมกริบ
นางจึงได้แต่เดินไหล่ลู่คอตกเข้าไปหา แล้วก็ถูกเฉินผิงอันหิ้วคอเสื้อเหมือนหิ้วลูกเจี๊ยบ มือหนึ่งของเขาเปิดประตูบ้าน มืออีกข้างหนึ่งวางนางไว้ข้างนอก ก่อนจะปิดประตูได้ทิ้งคำพูดหนึ่งไว้ว่า “หากยังกล้าปีนกำแพงเข้ามาอีก ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปนอกเมือง”
ค่ำคืนนี้เฉินผิงอันหลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา เฉาฉิงหล่างออกมาตากลมเย็นได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากนอกลานบ้าน
เขาเปิดประตูออกไป เห็นนางนั่งยองอยู่บนพื้น กำลังเงยหน้า ยกสองแขนกอดอก ยิ้มตาหยีพูดว่า “ไม่ต้องสนใจข้า ตรอกข้างนอกนี่เย็นกว่าเยอะเลย”
เฉาฉิงหล่างยกสองมือเกาหัว เขากลัวคนผู้นี้แล้วจริงๆ
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วมุ่น บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่ห่างออกไปไกล มองเห็นว่าภายใต้แสงจันทร์มีชายพกมีดคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำ บุคลิกลักษณะสง่างาม มือหนึ่งถือกาเหล้า ส่งยิ้มบางๆ มาให้เฉินผิงอัน เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูดอะไร เขาจึงดีดปลายเท้าพลิ้วกายมาทางเรือนที่พักของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันฉวยโอกาสที่เฉาฉิงหล่างยังอยู่ข้างนอก ปล่อยหมัดหนึ่งออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ถังเถี่ยอี้แม่ทัพแห่งแคว้นเป่ยจิ้นผู้ยิ่งใหญ่ถูกพายุหมัดที่ไร้เสียงกระแทกเข้าที่หน้าอก ร่างปลิวกระเด็นออกไปตกยังหลังคาบ้านหลังเดิมที่เคยยืนอยู่
พละกำลังของพายุหมัดถูกกะประมาณได้อย่างดีเยี่ยม เดิมทีถังเถี่ยอี้ก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในใต้หล้าอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด
แต่ถังเถี่ยอี้ไม่เพียงแต่ไม่อับอายจนพานเป็นความโกรธ กลับกันยังยิ้มขออภัยเฉินผิงอัน ราวกับกำลังพูดว่ารบกวนแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกละอายใจกับการมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญของตัวเอง แล้วถังเถี่ยอี้ที่พกมีดเลี่ยนซือก็หมุนกายพุ่งทะยานจากไปทั้งอย่างนี้
สำหรับคนผู้นี้ เฉินผิงอันไม่มีความทรงจำที่ลึกซึ้งนัก แล้วก็ไม่ยินดีจะใกล้ชิดสนิทสนมด้วย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็บอกกับเฉาฉิงหล่างว่าไม่ต้องรอให้เขากลับมา จากนั้นตัวเองเดินออกไปนอกตรอก มุ่งหน้าไปยังตรอกจ้วงหยวน
เหล้าในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หมดพอดี ออกไปสักรอบก็ดีเหมือนกัน
ดึกดื่นครึ่งคืน ในเหลาสุราที่เงียบสงบของตรอกจ้วงหยวนยังคงมีโคมหลากสีแขวนไว้สูง แต่มีลูกค้าแค่โต๊ะเดียว
ถือเป็นการเลี้ยงฉลองของคนในครอบครัว เพราะพ่อครัวที่ทำอาหารลูกค้าก็พามาจากบ้านตัวเอง
ชายสามหญิงสาม
ไม่เพียงแต่หอสุราแห่งนี้เท่านั้น ตลอดทั้งตรอกจ้วงหยวนล้วนถูกป้องกันอย่างเข้มงวด นอกจากทหารเดินเท้าลาดตระเวนที่สวมเสื้อเกราะแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือที่ปิดบังชื่อแซ่คอยเฝ้าพิทักษ์อยู่อีกไม่น้อย เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่สิบคนบนอันดับรายชื่อ ไม่ว่าใครที่คิดจะลอบสังหาร เกรงว่าคงไม่ทันได้เห็นหน้าค่าตาของคนเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
คนหกคนนี้แบ่งออกเป็นเว่ยเหลียงฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน ฮองเฮาโจวซูเจิน เว่ยเหยี่ยนองค์รัชทายาท และยังมีองค์ชายรองกับองค์หญิงที่อายุน้อยที่สุด
นอกจากนี้ก็คือหวงถิง นักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าเรียบง่ายแต่สง่างาม อดีตฝานกว่านเอ่อร์และถงชิงชิง
องค์หญิงสาวน้อยได้รับสืบทอดหน้าตามาจากบิดามารดา คือตัวอ่อนสาวงามที่หาได้ยากยิ่ง แต่เมื่อนางนั่งอยู่ข้างนักพรตหญิงกลับยังรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ นางที่เดิมทีร่าเริงสดใส วันนี้กลับไม่กล้าพูดมาก คอยอิงแอบแนบชิดอยู่ข้างกายโจวซูเจินผู้เป็นมารดาแท้ๆ อยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกเคารพเลื่อมใสนักพรตหญิงที่งดงามดั่งเทพธิดาผู้นี้อย่างมากที่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อของนางกลับยังมีมาดของยุทธภพได้ยิ่งกว่า…ราชครูจ้งชิวเสียอีก!
หลายปีมานี้นางเก็บสะสมหนังสือต้องห้ามเอาไว้มากมาย แม้แต่พี่ชายทั้งสองคนก็ยังต้านทานการอ้อนวอนของนางไม่ไหว ต้องซื้อนิยายที่เล่าเรื่องประหลาดหลากหลายชนิดจากในหมู่ชาวบ้านมาให้นาง
ยุทธภพคืออะไร? ยุทธภพที่นางวาดฝันคือค่ำคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง มีจอมยุทธ์ชายหญิงซึ่งเป็นคู่รักเทพเซียนบุกเข้าไปในรังของคนชั่วที่ทำให้คนในยุทธภพอกสั่นขวัญผวา เมื่อฟ้าเริ่มเป็นสีขาวราวกับพุงปลา พวกมารร้ายและโจรชั่วทั้งหลายก็ล้วนถูกตัดหัว ชายหญิงคู่นั้นส่งยิ้มให้กัน สุดท้ายควบม้าจากไปเพื่อท่องยุทธภพต่ออีกครั้ง
ฮ่องเต้เว่ยเหลียงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ด้านนอกมีอวี๋เจินอี้ ด้านในมีเฉินผิงอัน จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
คำตอบของหวงถิงไม่ค่อยเกรงใจนัก “อันที่จริงต่อให้ทั้งสองคนอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่เป็นไร คนหนึ่งมีจิตแห่งการฝึกตนที่แข็งแกร่งผิดปกติ อีกคนหนึ่งไม่ให้ความสนใจพวกเจ้าเลยสักนิด เพียงแต่ว่าพวกเจ้าที่เป็นฮ่องเต้ล้วนชอบถ้อยคำทำนองว่า ‘จะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนอยู่ข้างเตียงตัวเองได้อย่างไร’ ในใจเจ้ารู้สึกไม่ดี ข้อนี้ข้าเข้าใจได้ บวกกับที่ข้าเองก็ไม่ชอบขี้หน้าอวี๋เจินอี้นัก ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองสู้กับเขาสักตั้งให้รู้แล้วรู้รอดไป”
คำพูดประโยคถัดมาของหวงถิงยิ่งกำเริบเสิบสาน “ข้ารับรองว่าจะออกแรงประมือกับอวี๋เจินอี้อย่างเต็มที่ หากข้าแพ้ แล้วกองทัพใหญ่ของแคว้นหนันเยวี่ยนยังไม่สามารถรั้งตัวอวี๋เจินอี้เอาไว้ได้ ยังปล่อยให้เขาบุกเข้าไปในวังหลวง สังหารพวกเจ้าทุกคน ถ้าอย่างนั้นก่อนจะบินทะยาน ข้าก็คงได้แต่ช่วยพวกเจ้าแก้แค้นเท่านั้น”
เว่ยเหลียงส่ายหน้า ดื่มเหล้าดับทุกข์
อันที่จริงคนที่กระอักกระอ่วนที่สุดคือฮองเฮาโจวซูเจิน ศิษย์น้องหญิงกลายมาเป็นอาจารย์ แล้วก็กลายมาเป็นหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงอีกที
คนที่ผิดหวังที่สุด เกรงว่าคงเป็นรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนแล้ว
ฝานกว่านเอ่อร์ที่เขาหลงรักไม่อาจกลับมาได้แล้ว ต่อให้นักพรตหญิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จะงดงามยิ่งกว่าฝานกว่านเอ่อร์ แต่เว่ยเหยี่ยนก็ยังชอบไม่ลง
คนที่กระวนกระวายไม่เป็นสุขมากที่สุดกลับเป็นองค์ชายรองที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเว่ยเหยี่ยน ติงอิงไท่ซ่างเจ้าลัทธิมาร ยาเอ๋อร์ ไปจนถึงยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงล้วนถูกราชครูจ้งชิวร่วมมือกับเทพธิดาแห่งหอจิ้งซินและข้ารับใช้ราชสำนักรวบตัวโยนเข้าคุก ยิ่งไปกว่านั้นกองกำลังสามฝ่ายของลัทธิมารก็ล้วนมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับองค์ชายสกุลเว่ยอย่างเขาโดยที่เลี่ยงไม่ได้
อาหารมื้อนี้ องค์ชายรองกินอย่างไร้รสชาติ ไม่ต่างจากเคี้ยวเทียน
เขารู้สึกอิจฉานิสัยไม่สนใจสิ่งใดของน้องสาว ยิ่งริษยาโชควาสนาเทียมฟ้าของรัชทายาทเว่ยเหยี่ยน
ใครจะไปนึกว่า ติงอิงมารเฒ่าที่ไร้ศัตรูทัดเทียมจะถูกคนฆ่าตายได้?
สตรีหน้าเหม็นที่ชื่อว่ายาเอ๋อร์คนนั้นเคยสาบถสาบานกับเขาว่า เจ้าแก่ตายไปแล้ว อาจารย์ปู่ของข้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่อย่างดีก็เป็นได้
ด้านนอกหอสุรามีเสียงความวุ่นวายผิดปกติดังขึ้นระลอกหนึ่ง
หวงถิงเอ่ยยิ้มๆ “แขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนแล้ว”
ฮ่องเต้เว่ยเหลียงรีบหันไปมองนอกหน้าต่างทันที เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แล้วก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เรียกราชครูจ้งชิวให้มาด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างราชครูกับคนผู้นั้นก็ถือว่าไม่เลว พอมีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันอยู่บ้าง
ทว่ารออยู่นานถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนผู้นั้นปรากฎตัวที่หน้าบันไดของหอสุรา จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดเข้ามาทางประตูใหญ่ตามกฎระเบียบ
เฉินผิงอันเจ๋อเซียนอายุน้อยผู้นั้นไม่ได้สวมชุดคลุมสีขาวที่เด่นสะดุดตาตัวนั้น แต่สวมชุดปกติทั่วไปของคนที่พอมีฐานะในแคว้นหนันเยวี่ยน
เว่ยเหลียงสงบจิตใจแล้วลุกขึ้นยืน
ขนาดฮ่องเต้ยังลุกขึ้นไปต้อนรับ โจวซูเจินและเชื้อพระวงศ์อีกสามท่านก็ยิ่งต้องรีบลุกตามไปติดๆ
หวงถิงไม่ได้วางท่าอะไร แต่ก็ไม่ได้กระตือรือร้นมากนัก นางลุกขึ้นยืนเหมือนกัน แต่กลับเดินไปตรงหน้าต่าง ราวกับต้องการดึงตัวเองออกจากสถานการณ์ มอบพื้นที่ให้แก่งูเจ้าถิ่นและมังกรข้ามแม่น้ำจัดการกันเอาเอง นางไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น
เว่ยเหลียงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “สกุลเว่ยของข้าดูแลไม่ทั่วถึง ก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เฉินเซียนซือโปรดให้อภัยด้วย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ฝ่าบาทมิต้องใส่พระทัยเรื่องพวกนี้ มรสุมในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแคว้นหนันเยวี่ยนสักเท่าไหร่”
ฮ่องเต้เว่ยเหลียงรู้สึกไม่แน่ใจนัก กังวลว่าคำพูดนี้จะมีความนัยลึกซึ้งที่ตนฟังไม่เข้าใจ
แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยขึ้นก่อนแล้วว่า “ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะคิดว่าในเมื่อฝ่าบาททรงเสด็จมาด้วยองค์เอง ถ้าเช่นนั้นก็มีคำพูดบางอย่างที่ข้าสามารถพูดออกมาได้ตามตรง แคว้นหนันเยวี่ยนจะคิดว่าข้าไม่มีตัวตนอยู่ก็ได้ ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หากไม่เป็นเพราะติงอิงกับอวี๋เจินอี้มาหาเรื่องถึงที่ สงครามครั้งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบก็อาจจะไม่มีเรื่องของข้าเฉินผิงอันแล้ว”
เว่ยเหลียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ยคล้อยตาม “เฉินเซียนซือคือเทพเซียนบนภูเขา ย่อมไม่สนใจเรื่องทะเลาะวิวาทในโลกมนุษย์อยู่แล้ว”
เฉินผิงอันเองก็พลันคลี่ยิ้ม “เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกท่านมีทิวทัศน์ที่งดงามมาก โดยเฉพาะอาหารอย่างหนึ่งที่ไม่เลวเลยจริงๆ ก่อนข้าจะไปจากเมืองหลวงต้องกลับไปกินซ้ำอีกรอบให้ได้”
ฮ่องเต้ถามด้วยความใคร่รู้ “ขอถามเซียนซือว่า คืออะไรและอยู่ที่ไหน? กว่าเหริน (คำเรียกแทนตัวของฮ่องเต้ในสมัยโบราณ) สามารถ…”
เพิ่งจะกล่าวมาได้แค่ครึ่งเดียว ตัวเว่ยเหลียงเองก็หยุดพูด ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด “เฉินเซียนซือเพิ่งตั้งกฎไว้ กว่าเหรินกลับทำผิดกฎซะแล้ว ต้องดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมา “อาจยังต้องรบกวนฝ่าบาทมอบเหล้าให้ข้าสักสองไห”
เว่ยเหลียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เฉินเซียนซือเกรงใจกันขนาดนี้ ช่างหลอกได้ง่ายยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้พูดล้อเล่น ฮองเฮาโจวซูเจินและองค์ชายสองท่านกับองค์หญิงน้อยต่างก็หัวเราะตามไปด้วย
เฉินผิงอันที่ความรู้สึกช้าก็หัวเราะตามคนอื่นๆ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะดูเป็นคนไม่น่าเข้าใกล้สักเท่าไหร่
นักพรตหญิงหวงถิงที่อยู่ห่างออกไป แม้จะหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง แต่มุมปากกลับตวัดโค้ง
เฉินผิงอันบรรจุเหล้าจนเต็มน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วก็ไปจากหอสุรา แต่ไม่ได้กลับไปยังที่พัก เขาอาศัยความทรงจำของตัวเองเดินไปยังตลาดกลางคืนใกล้กับวัดป๋ายเหอที่เคยไปในคืนนั้น กินอาหารชามใหญ่ที่ทั้งเผ็ดทั้งชาทั้งร้อนของร้านนั้น
ไม่กินเผ็ด ไม่กินเหล้า ไม่ดื่มเหล้าที่รสแรงที่สุด ไม่กินหม้อไฟที่เผ็ดที่สุด ชีวิตนี้ยังจะมีความน่าอภิรมย์อะไรอีก?
นี่คือคำพูดของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ย
ก่อนหน้านี้ไม่คิดว่ามีเหตุผลสักเท่าไหร่ แต่เวลานี้เมื่อเฉินผิงอันอยู่ในตลาดที่ผู้คนสัญจรเบียดเสียดกันอย่างคึกคัก กลับรู้สึกว่าคำพูดของผู้อาวุโสถูกต้องแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันจ่ายเงินเรียบร้อยก็ออกมาจากตลาดกลางคืนที่จอแจ เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่เงียบสงัดไร้ผู้คน จากนั้นก็ไปเยือนตระกูลขุนนาง เข้าไปในหอเก็บตำราของตระกูลพวกเขา คราวนี้ไม่ใช่เพื่อไปตรวจสอบหาประวัติศาสตร์และแผนที่ของ ‘ใต้หล้าแห่งนี้’ แต่ไปตามหาตำราที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสะพาน น่าเสียดายที่หาไม่เจอ เขาจึงคิดว่าจะลองไปค้นหนังสือและเอกสารคดีที่ที่ว่าการกรมโยธาเก็บไว้ แต่ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วก็คิดว่าหากมีโอกาสจะบอกเรื่องนี้แก่จ้งชิว ขอให้ท่านราชครูช่วยเหลือ น่าจะไม่ยากเกินไปนัก
นอกจากนี้ยังจะถามข่าวเกี่ยวกับบัณฑิตคนหนึ่งมาจากจ้งชิวด้วย
ออกจากหอหนังสือ
สุดท้ายเฉินผิงอันมาหยุดอยู่ใต้ชายคาของหอสูงแห่งหนึ่ง นั่งลงดื่มเหล้า พอดื่มไปถึงท้ายที่สุดก็ชูนิ้วกลางให้ท้องฟ้า
ไม่มีฟ้าผ่าลงมา
เฉินผิงอันเก็บน้ำเต้า แหงนหน้ารับลมเย็นๆ ที่โชยมา เริ่มเหม่อลอย
ระหว่างที่ออกจากป้อมอินทรีบินและก่อนจะเข้ามาในแคว้นหนันเยวี่ยน ได้เจอเมืองคนกระดาษแห่งหนึ่ง
ภิกษุเฒ่าผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดซินเซียงเคยพูดประโยคหนึ่งซ้ำกันว่า เจ้ามองดูมัน มันก็กำลังมองดูเจ้าเช่นกัน
หญิงสาวที่ตอนนั้นยังเป็นฝานกว่านเอ่อร์เคยจ้องมองตนอย่างจริงจังอยู่สองครั้ง คือที่วัดป๋ายเหอและตลาดกลางคืน สายตาของนางคล้ายรู้สึกคุ้นเคยกับเขา แต่นางกลับไม่ได้พูดอะไร น่าจะไม่ใช่เพราะนางไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะพูดไม่ได้มากกว่า
ลองครุ่นคิดอย่างละเอียดก็ยิ่งขนลุกขนชันขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
เฉินผิงอันถอนหายใจ
โลกมนุษย์จุดไฟสว่าง บนท้องฟ้าก็มีดวงดาว
เคยมีคนบอกว่า ฝ่ายหลังอาจเป็นโครงกระดูกของทวยเทพจำนวนมาก
ใครเป็นคนพูดกันนะ เฉินผิงอันตบหัวตัวเอง นึกไม่ออก อันที่จริงคืนนี้เขาไม่ได้ดื่มเหล้ามากนัก แต่ดันเมามายอย่างหนัก
เฉินผิงอันทิ้งตัวไปด้านหลัง หลับสนิททั้งยังกรนครอกๆ
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่บนชายคาโค้งที่ตวัดงอน ชำเลืองตามองเจ๋อเซียนหนุ่มที่กำลังหลับฝันหวาน
นึกถึงภาพที่ตนเห็นก่อนหน้านี้ นักพรตเฒ่าก็กระตุกมุมปาก
ในลานบ้านขนาดเล็ก ตอนที่คนหนุ่มพูดกับเด็กชายเบาๆ ว่าขอโทษ แท้จริงแล้วเขาน้ำตาไหลอาบหน้า
นักพรตเฒ่าพึมพำกับตัวเอง “ในสายตาของเจ้า บนโลกนี้ไม่มีเรื่องเล็กน้อยเลยหรือ?”
—–