ใจคนไม่ใช่ผิวถนนที่พอฝนห่าใหญ่ผ่านพ้นไปแล้วจะกลับมาสะอาดสะอ้านได้ในเวลาไม่นาน
ในสายตาของเหล่าชนชั้นสูงและชาวบ้านร้านตลาดของเมืองหลวง คลื่นมรสุมจากการตีกันของเทพเซียนยังคงทิ้งริ้วคลื่นกระเพื่อมแผ่ไว้ไม่หยุด ตอนนั้นเฉินผิงอันช่วยสอนหมัดให้แก่พวกเหยียนสือจิ่งลูกศิษย์ของจ้งชิว พวกสหายของเด็กหนุ่มที่มาร่วมชมเรื่องสนุกก็คือหนึ่งในริ้วคลื่นเหล่านั้น หลังจากที่แม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียวเดินลงจากหัวกำแพงเมือง แล้วกลับบ้านมาคุยโวให้หลานชายหลานสาวฟังว่าตัวเองเป็นสหายต่างวัยของเฉินผิงอันก็คือหนึ่งในริ้วคลื่นเช่นกัน การย้ายบ้านของคนมากมายที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับตรอกจ้วงหยวนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ติงอิงตายไปแล้ว อวี๋เจินอี้ขี่กระบี่จากไป ทิ้งเศษซากอันเละเทะไว้ให้จ้งชิวเก็บกวาดคนเดียว
หลังจากส่งเฉาฉิงหล่างถึงโรงเรียนแล้ว เฉินผิงอันก็ย้อนกลับมาทางเดิม เขาถือร่มเดินบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบ เมื่อราชสำนักเริ่มคลายการป้องกันอันเข้มงวดที่มีต่อเมืองแห่งนี้จึงพอจะมองเห็นผู้คนมาเดินบนถนนได้อย่างบางตา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในยุทธภพที่ค่อนข้างใจกล้า มาที่นี่เพื่อชมสนามรบ จุ๊ปากชื่นชมร่องลึกที่ถูกกระบี่ของลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นแหวกผ่าเอาไว้
ส่วนแถบภูเขากู่หนิวยังคงเป็นพื้นที่ต้องห้าม ถูกล้อมอาณาเขตห้ามคนเข้าออก ราชสำนักออกคำสั่งว่าผู้ที่ละเมิดกฎสามารถสังหารได้ทันที รอบด้านมีเงาร่างของขุนนางกองดาราศาสตร์ให้เห็นอยู่หลายคน กระท่อมที่สร้างขึ้นหยาบๆ ซึ่งอวี๋เจินอี้ทิ้งไว้หลังนั้นก็ถูกรื้อทิ้งเช่นกัน
จอมยุทธ์ในยุทธภพบางส่วนที่เห็นเฉินผิงอันก็คิดแค่ว่าเขาคือคนที่เดินทางมาที่นี่เพราะชื่นชมเลื่อมใสมาดของปรมาจารย์เช่นเดียวกับพวกเขา
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะแวะไปเยี่ยมเยือนที่ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ คนเฝ้าประตูเห็นว่าเขาไม่เหมือนคนที่ ‘มาหาเรื่อง’ อีกทั้งบุคลิกยังดูไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าเพิกเฉย รีบไปแจ้งข่าวแก่เจ้าของศูนย์อย่างรวดเร็ว อาจารย์ผู้เฒ่าที่เป็นผู้สอนหมัดออกมาต้อนรับเฉินผิงอันด้วยตัวเอง ได้ยินว่าฝ่ายหลังมาเยือนเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงของศูนย์ฝึกพวกเขาก็ให้ภาคภูมิใจ ลูกศิษย์ที่ติดตามมาด้วยก็รู้สึกได้หน้าได้ตา ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันยังสามารถพูดถึงวิชาหมัดของศูนย์ฝึกวรยุทธ์ได้เป็นฉากเป็นตอนและมีเหตุผล พูดคุยกันไม่กี่คำก็ได้ใจผู้เฒ่าไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงของศูนย์ฝึกวรยุทธ์แห่งนี้มาจริงๆ รายได้ที่แท้จริงของศูนย์ฝึกวรยุทธ์ในเมืองหลวงนั้นมาจากการตกปลาตัวใหญ่ที่ฝันใฝ่ในยุทธภพอีกทั้งในกระเป๋ายังมีเงินมาก มีลูกหลานคนรวยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่พวกนี้ช่วยหนุนหลัง ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ถึงได้มีกำไร ลูกศิษย์ที่ทนกับความลำบากได้และมีพรสวรรค์คือส่วนใน คุณชายที่มาเรียนในศูนย์ฝึกวรยุทธ์เพราะหวังความบันเทิงคือหน้าตาส่วนนอก สองอย่างนี้จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้
อาจารย์ผู้เฒ่ารับรองเฉินผิงอันอยู่ในห้องรับแขก เขาบอกให้ลูกศิษย์ไปยกน้ำชามา แล้วเริ่มพูดคุยกัน
พอคุยถึงเรื่องการปรับแก้มังกรใหญ่ซึ่งเป็นรากฐานของการเรียนวรยุทธ์ ผู้เฒ่าไม่ได้ลงรายละเอียดลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเพิกเฉยเสียเลย ยังคงพูดถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถบอกแก่คนนอกได้ เพียงแต่ทอดถอนใจเอ่ยว่าไหนเลยจะหาต้นกล้าที่ดีเยี่ยมได้ง่ายขนาดนั้น หากโชคดี ใช้เวลาสี่ห้าปีก็คงได้เจอลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจนี้ หากโชคไม่ดี สิบปีก็อาจจะไม่เจอเลยสักคน
อาจารย์ผู้เฒ่ายังพูดอีกว่าการฝึกหมัดไม่ใช่แค่เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งเท่านั้น ยังเหมือนการส่งอาวุธคมกริบให้แก่คนที่เรียนวิชาหมัดด้วย พวกเขาให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์การใช้วรยุทธ์เป็นอันดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นยิ่งลูกศิษย์ที่สอนมามีวรยุทธ์สูงส่ง แต่หากจิตใจไม่ดีงาม ชอบใช้อำนาจรังแกคนอื่นก็จะยิ่งสร้างภัยร้ายได้มากเท่านั้น พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็ต่อยตีคนอื่นให้ตาย สุดท้ายยังจะทำให้สำนักและศูนย์ฝึกวรยุทธ์เดือดร้อนไปด้วย
เฉินผิงอันถามถึงเรื่องหลักการของวิชาหมัดนอกอีกเล็กน้อย ตอนแรกอาจารย์ผู้เฒ่ายังอึกๆ อักๆ สีหน้าลำบากใจ เฉินผิงอันแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง บอกว่าตัวเองลืมเรื่องสำคัญไป ก่อนจะหยิบเงินยี่สิบตำลึงออกมาวางไว้บนโต๊ะชาที่อยู่ด้านข้าง บอกว่าช่วงนี้คิดจะมาเรียนวิชาหมัดที่ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ แต่ไม่รับรองว่าจะมาทุกวัน ดวงตาของอาจารย์ผู้เฒ่าเป็นประกายวาบ แล้วถึงได้พูดถึงหลักการของวิชาหมัดที่ทุกคนต่างก็รู้กันดีให้เฉินผิงอันฟังอย่างหมดเปลือก
เฉินผิงอันจดจำทุกเรื่องไว้ในใจแล้วลองเอามาเปรียบเทียบกับ ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ เมื่อได้ฟังหลักการวิชาหมัดอย่างหยาบๆ เหล่านี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็ตัดสินใจได้แล้วว่า วิชายุทธ์ของฟ้าดินแห่งนี้ที่จะรวบรวมมาควรเริ่มจากต่ำไปสูง ไม่ต้องมากเกินไป วันหน้าเวลาว่างจากการฝึกหมัดก็สามารถเอามาพลิกเปิดอ่านได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีเกิดขึ้น เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เอาการเดินนิ่งหกก้าวมาผสานรวมเข้ากับท่าหมัดใหญ่ยอดเขาของจ้งชิว จึงทำให้เฉินผิงอันฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตสี่ไปได้สำเร็จ อีกทั้งเมื่อน้ำมาคลองก็เสร็จ (เปรียบเปรยว่าเมื่อเงื่อนไขสุกงอม เรื่องต่างๆ ก็สำเร็จลงด้วยดี) เป็นไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะ ‘พลังอำนาจ’ ตอนที่ติงอิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของวัดป๋ายเหอ และตอนที่จ้งชิวปรากฎตัวครั้งแรกแล้วเดินเข้ามาหาตน คำว่าฟ้าและคนผสานรวมกันเป็นหนึ่งของสถานที่แห่งนี้ เฉินผิงอันรู้สึกว่ามีความลี้ลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ ไม่แน่ว่าเมื่อกลับไปถึงใต้หล้าไพศาลอาจจะได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นมาเพิ่มเติม
อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่า โอกาสในการฝ่าขอบเขตห้าสู่ขอบเขตหกในอนาคตก็อยู่ในความลี้ลับที่ว่านี้ เฉินผิงอันเดาเอาว่าเมื่อเขาออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวที่ปราณวิญญาณบางเบาแล้ว ตัวเองก็จะตกอยู่ในสภาพจมโคลนซึ่งคล้ายคลึงกับตอนที่ฝานกว่านเอ่อร์อยู่นอกตำหนักใหญ่วัดป๋ายเหอ นั่นคือความรู้สึกอืดอาดชักช้าเหมือนบนร่างแบกหินหนักอึ้ง แล้วก็เหมือนตอนที่หยางเหล่าโถวฝังยันต์ปราณที่แท้จริงสี่แผ่นลงบนข้อมือและข้อเท้าของตน
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันมีชีวิตนับตั้งแต่ฝึกวิชาหมัดมา เขาเริ่มนึกถึงผลได้ผลเสียของตัวเอง ระหว่างที่รับมือกับศัตรูแล้วบรรลุวิชาหมัดใหญ่ยอดเขาของจ้งชิวก็คือตัวอย่าง
ตอนแรกที่เรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาก็เพื่อต่อชีวิต นั่นเป็นการตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอย่างยากลำบาก ทำไปตามขั้นตอน ไม่กล้าเดินออกนอกเส้นทางแม้แต่น้อย เดินนิ่งหกก้าวและยืนนิ่งเจี้ยนหลูถูกฝึกครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระบวนท่าหมัดเกือบจะถูกเขาต่อยให้เละละเอียด จดจำได้ขึ้นใจ ผสานรวมเข้าไปยังจิตวิญญาณ ภายหลังผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้ หรือแม้กระทั่งผู้เฒ่าสอนอะไร เฉินผิงอันก็เรียนสิ่งนั้น
ไม่ได้บอกว่าไม่ดี แต่ฝึกหมัดมาจนถึงก้าวนี้ หากอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าแซ่ชุยแล้วเรียกว่าร่อแร่เกือบตาย ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่พอ หากคิดจะพัฒนาไปอีกก้าวก็ต้องทนรับความลำบากให้ได้มากกว่าเก่าถึงจะทำสำเร็จ จำเป็นต้องได้รับโอกาสในการเปิดสติปัญญาของตัวเองให้โล่งกว้าง คนอื่นไม่อาจบอกได้ เพราะบอกแล้วกลับจะทำให้ไม่ศักดิ์สิทธิ์
แต่เฉินผิงอันกลับตระหนักไม่ได้ว่า เขาฝึกท่าหมัดหนึ่งล้านครั้งถึงจะเริ่มมีความคิดความอ่านเช่นนี้ ทว่ากับเรื่องการฝึกกระบี่ เขากลับเรียนรู้แล้วเอามาปฏิบัติใช้จริงได้ตั้งนานแล้ว กระบี่ที่อาจารย์ฉีทำลายค่ายกลของหลิ่วชื่อเฉิงชุดชมพูในวัดร้าง กระบี่ที่วิญญาณกระบี่ ‘ชักออกจากฝัก’ ในภาพวาดภูเขาและแม่น้ำ กระบี่ที่ตนฟันไปยังภูเขาสุ้ยซาน
ล้วนเป็นกระบี่ของเขาเฉินผิงอันทั้งสิ้น
อาเหลียงเคยบอกว่าหากเขาเฉินผิงอันฝึกวิชากระบี่ต้องได้ดีกว่าวิชาหมัดอย่างแน่นอน
ซึ่งก็คือเหตุผลข้อนี้
คนที่สอนวิชาหมัดหรือสอนวิชากระบี่ วิชาหมัดสูงส่งเกินไป วิชากระบี่เลิศล้ำเกินไป คนที่เรียนวิชาหมัดและวิชากระบี่ก็ยิ่งยากจะเปลี่ยนจากตายตัวมาเป็นมีชีวิต
อุปสรรคและความยากลำบากระหว่างเส้นทางที่ก้าวไป เจิ้งต้าเฟิงก็คือตัวอย่างที่ชัดเจน พรสวรรค์ดีพอ ขอบเขตสูงมากพอ เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าพอไปอยู่นครมังกรเฒ่า เมื่อคาบเกี่ยวอยู่ตรงเส้นระหว่างความเป็นความตาย กลับต้องอาศัยประโยคจากคนที่มองอยู่ด้านข้างอย่างเฉินผิงอัน ที่บอกว่า ‘ศิษย์ไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าครูเสมอไป’ ถึงจะฝ่าทะลุคอขวดได้
ฝึกหมัดต้องฝึกจิตใจ เฉินผิงอันถามเหยียนสือจิ่งลูกศิษย์น้อยผู้เป็นที่ภาคภูมิใจมากที่สุดของจ้งชิวถึงสองครั้งว่า ทำไมถึงไม่กล้าออกหมัด
เหตุใดจ้งชิวถึงไม่ได้ผิดหวังในตัวของเหยียนสือจิ่งสักเท่าไหร่ หาใช่เพราะจ้งชิวไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่หนุ่มน้อยคนนี้ แต่เป็นเพราะตัวเฉินผิงอันเองเคยให้คำตอบไว้ก่อนแล้ว สี่คำที่จ้งชิวบอกว่า ‘เจอหมัดสูงไม่ออกหมัด’ ตอนนี้เหยียนสือจิ่งยังพูดไม่ออกและทำไม่ได้ นี่ก็เป็นหลักการเดียวกับ ‘เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์ของสามลัทธิ ปณิธานหมัดเขย่าขุนเขามิอาจอ่อนข้อ’ หลังจากผ่านการฝึกฝนขัดเกลามานับพันนับหมื่นครั้ง เฉินผิงอันจึงพูดได้และทำได้ แต่ตอนนี้เหยียนสือจิ่งยังจับแก่นสำคัญไม่ได้ จึงไม่จำเป็นต้องสร้างความลำบากใจให้เขา
เส้นทางคดเคี้ยววกวนเหล่านี้ จำเป็นต้องออกหมัดล้านครั้งด้วยตัวเอง ท่องไปในยุทธภพด้วยตัวเองถึงจะมองออกอย่างแท้จริง
ฟังจากบทสนทนาระหว่างเหยียนสือจิ่งกับศิษย์น้องหญิงคนเล็กของเขา เฉินผิงอันเข้าใจแล้วว่าตัวเอง ‘ไม่เหมือนคนทั่วไป’ ลูกรักแห่งสวรรค์อย่างลูกศิษย์ของจ้งชิว ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารและโจวซื่อหนุ่มปักบุปผา ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือสภาพจิตใจกลับสู้เขาไม่ได้สักคน แต่ตอนนี้เฉินผิงอันยังมองความยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานของตัวเองในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ออก ยังดีที่เฉินผิงอันพอจะสัมผัสได้ถึงวี่แววของ ‘ฟ้าและคนผสานรวมเป็นหนึ่ง’ ได้อย่างเลือนรางแล้ว นี่ก็คือก้าวหนึ่งที่มั่นคง คือก้าวใหญ่ของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด ขอบเขตเก้าหลายคนในใต้หล้าไพศาลก็ยังไม่มีโอกาสที่จะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้
หลังออกมาจากศูนย์ฝึกวรยุทธ์แล้วเฉินผิงอันก็กลับไปยังที่พัก เด็กหญิงร่างผอมแห้งนั่งเหม่ออยู่ใต้ชายคา ฝนที่เทกระหน่ำเปลี่ยนมาเป็นฝนเม็ดเล็กปรอยๆ พอนางเห็นเฉินผิงอันก็ยิ้มกว้างให้เขา
เฉินผิงอันเห็นว่าบนร่างนางมีบางส่วนที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หยิบห่อสัมภาระที่ด้านในคือผีผาขึ้นมา เตรียมจะไปหาบัณฑิตยากจนแซ่เจี่ยง เขาอยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณสามช่วงถนน ไม่ถือว่าใกล้นัก
รอจนเฉินผิงอันออกจากบ้านไปแล้ว เขาเพิ่งจะเดินออกจากตรอก เด็กหญิงที่ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ก็รีบปิดประตูลงกลอน แล้ว ‘ฝึกหมัด’ อย่างเข้าท่าเข้าทีอยู่ใต้ชายคา นี่เป็นท่าวิชาอสนีที่นางแอบมองจากเฉินผิงอันซึ่งเลียนแบบมาจากติงอิงและผู้เฒ่าตาบอดอีกที ฝ่ามือข้างหนึ่งหงายขึ้นฟ้า อีกข้างกำเป็นหมัดวางไว้ด้านหน้า เดินออกไปอย่างเชื่องช้า
ธรณีประตูของทั้งสองฝ่ายต่างก็สูงมาก คนหนึ่งคือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งนี้ อีกคนหนึ่งเกี่ยวพันกับวิชาอสนีของผู้ฝึกลมปราณ ตอนนี้เฉินผิงอันยังได้แค่ตั้งท่าให้คล้ายคลึงอย่างหยาบๆ อีกทั้งยังไม่อาจบรรลุถึงความหมายที่แท้จริง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กหญิงที่แม้แต่วิชาหมัดก็ยังไม่เคยเรียนมาก่อนเลย หลังจากที่นางฝึก ‘วิชาหมัด’ ท่านี้เสร็จแล้วก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ จึงเปลี่ยนมาเป็นท่าอื่น ล้วนเป็นท่าที่นางแอบจำมาจากศึกบนถนนใหญ่ มีการออกหมัดครั้งหนึ่งของจ้งชิว มีกระบี่ที่ลู่ฝ่างผ่าถนน มีท่าเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอัน ร่างของเด็กหญิงขยับอย่างงกๆ เงิ่นๆ เอียงๆ เอนๆ ไม่ได้เข้าขั้นเลยสักนิด แน่นอนว่าแค่คำว่าเป็นวรยุทธ์อย่างผิวเผินก็ยังแตะไม่ถึง
ฝึกท่าหมัดมั่วซั่วอยู่พักใหญ่ เด็กหญิงก็ร้องตวาดออกมาหนึ่งครั้ง แล้วกระโดดเตะอย่างเหี้ยมหาญ ผลคือทำให้ตัวเองกระแทกล้มอย่างแรง พอลุกขึ้นยืนก็รู้สึกหิว จึงเดินกะเผลกๆ ไปขโมยของกินในห้องครัว นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นวรยุทธ์ที่สูงส่งแล้ว กะว่ารอให้เฉาฉิงหล่างกลับมาจะเอาเขามาเป็นคู่ซ้อม แน่นอนว่าจะทำอย่างนั้นได้ เฉินผิงอันต้องไม่อยู่ด้วย
เฉินผิงอันมองนางทำตัวเหลวไหลจากบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง ขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อคืนวานตอนที่คุยกับนางแล้วถามว่านางอายุเท่าไหร่ นางบอกว่าตัวเองอายุเก้าขวบ แถมยังชูฝ่ามือขึ้นมาสองข้าง มือข้างหนึ่งงอนิ้วก้อยลง นิ้วที่เหลืออีกสี่นิ้วกลับตั้งตรงดุจพู่กัน
อีกทั้งเวลาที่นางหิ้วน้ำกลับมาจากบ่อน้ำ เฉินผิงอันยังเคยสังเกตลมหายใจและฝีเท้าของนางอย่างละเอียด
เฉินผิงอันที่เดินกางร่มอยู่บนถนนตัดสินใจว่าวันหน้าจะไม่ฝึกวิชาเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านหลังเล็กนั่นอีกแล้ว
เจี่ยงเฉวียนคือลูกหลานคนยากจน ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนมาสิบกว่าปี ในท้องเต็มไปด้วยวิชาความรู้ ได้รับการยอมรับจากเขตการปกครองของบ้านเกิดว่าเป็นเด็กอัจฉริยะและคนมีพรสวรรค์ เพียงแต่ว่าสอบไม่ติดระบบเค่อจวี่ แม้ว่าทุกวันนี้จะตกอับ แต่ก็ไม่เคยกล่าวโทษฟ้าดิน เขาเช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่ร่วมกับบัณฑิตที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน ทุกวันยังคงมุมานะใฝ่เรียน เพียงแต่ว่าตรงหว่างคิ้วกลับมีความกลัดกลุ้มอยู่จ่างๆ ทุกวันหลังจากอ่านหนังสือเหนื่อยแล้วจะเดินออกมาจากซอย มาหยุดยืนตรงมุมถนนคล้ายกำลังรอคอยใคร
คนบ้านเดียวกันสองคนต่างก็รู้ว่าปมในใจของเจี่ยงเฉวียนคืออะไร วันนี้จึงพาเขาไปซื้อหนังสือที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง แม้จะพูดว่าซื้อหนังสือ แต่อันที่จริงแล้วกระเป๋าเงินของคนทั้งสามต่างก็ฟีบแบน ได้แต่เปิดอ่านตำราของอริยะปราชญ์ที่ฉบับพิมพ์มีไม่มาก เหลือบมองตำราที่มีเล่มเดียว ตำราหายากประหนึ่งสาวงามเลิศล้ำที่อยู่ไกลๆ หลายทีเพื่อคลายความอยาก
ท่ามกลางสายตาหงุดหงิดใจของเถ้าแก่ร้าน คนทั้งสามได้แต่เดินออกมาจากร้านหนังสืออย่างขลาดๆ เห็นว่าด้านนอกมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนถือร่ม ด้านหลังสะพายห่อสัมภาระ มองมาทางเจี่ยงเฉวียนแล้วถามว่า “เจี่ยงเฉวียนใช่ไหม? ข้าคือญาติของกู้หลิงที่อยู่ในเมืองหลวง มีธุระจะคุยกับเจ้า”
ใบหน้าของเจี่ยงเฉวียนเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี กล่าวอย่างลิงโลดว่า “ข้าเองๆ ข้าคือเจี่ยงเฉวียน นางอยู่ไหนหรือ?”
ตอนนี้เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไม่ค่อยสงบสุข คราวก่อนหลังจากนางไปขอยืมเงินจากญาติก็เงียบหายไปเลย บวกกับที่ตรอกบริเวณใกล้เคียงกับที่พักของเขามีคนตาย ตอนนั้นคนของที่ว่าการขับไล่พวกคนที่มามุงดูด้วยท่าทางดุดัน แล้วเอาเสื่อม้วนศพออกไป รู้แค่ว่าคนตายเป็นสตรีในยุทธภพที่ตายอนาถ มีคนเดาว่าต้องตายเพราะถูกคนแก้แค้นแน่นอน นี่ทำให้เจี่ยงเฉวียนเป็นกังวลอยู่นาน วันแล้ววันเล่า ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีวันใดที่เขาสงบใจอ่านหนังสือได้
คนผู้นั้นกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “จะดีจะชั่วตระกูลกู้ของพวกเราที่อยู่เมืองหลวงก็เป็นตระกูลขุนนาง แม้ว่าสกุลกู้สายของกู้หลิงจะไม่มีอนาคตก้าวหน้า ได้ยินว่ายังมีคนไปปะปนอยู่กับคนในยุทธภพ ไม่มีหน้าไปมาหาสู่กับพวกเรามาหลายปีแล้ว คราวนี้นางเป็นฝ่ายไปหาพวกเราถึงที่ แค่อ้าปากก็บอกว่าจะยืมเงิน ผู้อาวุโสในตระกูลไม่ชอบใจนัก ไม่ใช่ว่าเสียดายเงินเล็กน้อยเพียงเท่านี้ แค่รู้สึกว่านี่เป็นการทำให้วงศ์ตระกูลขายหน้า จึงไม่ยอมรับญาติอย่างนาง กู้หลิงดึงดันจะยืมเงินให้ได้ แถมยังสาบานว่าเจ้าต้องสอบติดตำแหน่งสูงๆ แน่นอน ดังนั้นอีกไม่นานนางก็จะหาเงินมาคืนได้ คนผู้นั้นยังจะแต่งนางเป็นภรรยาอย่างถูกต้อง ผู้อาวุโสในตระกูลรู้ดีว่าการสอบติดเค่อจวี่ไม่ใช่เรื่องง่าย มีหรือจะเชื่อว่าบัณฑิตยากจนคนหนึ่งจะสอบติดจิ้นซื่อได้ จึงบอกกู้หลิงว่าต้องมอบผีผาชิ้นนี้ให้พวกเขา ถึงจะยอมให้นางยืมเงิน ขณะเดียวกันก็บอกให้นางรับปากเรื่องหนึ่งด้วยว่า มีเพียงเจ้าสอบติดจิ้นซื่อได้เท่านั้น ถึงจะยอมให้พวกเจ้าได้พบหน้ากันอีกครั้ง ตอนนี้นางกำลังเดินทางกลับบ้านเกิด และจะไม่มีทางเขียนจดหมายติดต่อกับเจ้าเด็ดขาด”
คนผู้นั้นปลดห่อสัมภาระยื่นส่งให้เจี่ยงเฉวียน และยังควักเงินตุงๆ ถุงหนึ่งออกมา “ข้างในนี้มีเงินห้าสิบตำลึง และยังมีตั๋วเงินอีกสองแผ่น หากใช้จ่ายอย่างประหยัดก็มากพอให้เจ้าประคับประคองตัวเองไปถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า หากเจ้าเจี่ยงเฉวียนไม่มั่นใจว่าจะสอบติด อันที่จริงข้าสามารถนำคำพูดไปบอกแก่กู้หลิงได้ จากนั้นพวกเจ้าก็หนีตามกันไป คนหนึ่งทอดทิ้งวงศ์ตระกูล อีกคนหนึ่งละทิ้งตำราของอริยะปราชญ์ จะดีจะชั่วก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าทนความยากลำบากไปถึงสามปี ถึงเวลานั้นค่อยรอให้ผู้อาวุโสในตระกูลตีคู่ยวนยางให้แยกจากกันอย่างโจ่งแจ้ง ใช่แล้ว ผู้อาวุโสในตระกูลโมโหที่นางดื้อดึงจึงขว้างผีผาชิ้นนี้ วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสจะซื้อให้นางใหม่ก็ได้”
เจี่ยงเฉวียนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
—–