พอเฉินผิงอันเปิดประตู เผยเฉียนก็พูดเสียงสั่นว่า “เมื่อครู่นี้มีแมวตัวหนึ่ง พูดภาษาคนได้ด้วย!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าได้ยินแล้ว”
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทางตกใจ เผยเฉียนก็พูดอย่างเหม่อลอย “ที่นี่ไม่ใช่ในภูเขาเสียหน่อย ยังมีปีศาจได้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่ข้างโต๊ะ พลิกเปิดตำราเทพเซียนที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นต่ออีกครั้งพลางพยักหน้ากล่าวว่า “ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด มีภูตผีปีศาจอยู่มากมาย ไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะไม่ออกมารังควานคนบนโลกมนุษย์ ตระกูลใหญ่บางตระกูลยังเลี้ยงภูตที่น่าสนใจไว้หลายชนิด ยกตัวอย่างเช่นสตรีที่มีฐานะร่ำรวยบางคนจะต้องมีเจ้าตัวน้อยหลายชนิดอยู่รวมในสินเจ้าสาว บ้างก็เป็นภูตมีปีกที่สามารถบินอยู่กลางอากาศ คอยช่วยหวีผมแต่งหน้าให้กับเจ้านายเหมือนสาวใช้”
เผยเฉียนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ฟุบตัวลงบนโต๊ะ พูดอย่างน้อยใจ “ไม่ทำให้คนตกใจตายหรอกหรือ? เมื่อครู่นี้ข้าเกือบขวัญกระเจิงเลยนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ รอให้เจ้าเดินทางผ่านแม่น้ำและภูเขามากกว่านี้ก็จะเคยชินไปเอง”
เผยเฉียนพูดอย่างสะท้อนใจ “เป็นอย่างนี้เองหรือ”
เฉินผิงอันชวนคุย “ผู้เฒ่าที่ต้มชาอยู่ตรงน้ำพุบนยอดเขา และยังมีหญิงสาวที่สระผมอยู่ริมลำธารที่พวกเราเห็นก่อนหน้านี้ อันที่จริงก็เป็นภูตเหมือนกัน แต่พวกเขากลับไม่มีความคิดจะทำร้ายผู้คน กลับกันยังอยากใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปบนโลก เจ้าก็พูดคุยกับพวกเขาอย่างถูกคอไม่ใช่หรือ?”
เผยเฉียนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
ไม่เพียงแต่ผู้เฒ่าที่ใจดีน่าใกล้ชิด พี่สาวคนสวยคนนั้นที่พอสระผมเสร็จแล้ว ยังหยิบเอาใบไม้มาเป่าเป็นเพลงให้นางฟังด้วย
เผยเฉียนยู่หน้าด้วยความอกสั่นขวัญผวา
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “มีแค่พวกเขาที่ไม่ใช่คน คนอื่นๆ ที่เจอล้วนไม่ต่างจากพวกเรา”
ตลอดทางที่ผ่านมานี้ อันที่จริงยังเจอกับขุนนางท้องถิ่นที่คอยควบคุมเร่งรัดให้ชาวบ้านปูถนนสร้างสะพาน ลูกหลานคนรวย นักประพันธ์และปัญญาชนที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ตามภูเขาและแม่น้ำ รวมไปถึงหญิงคณิกาผู้มีชื่อเสียงที่ทำให้เผยเฉียนตาเป็นประกาย อีกฝ่ายแต่งตัวเต็มยศหรูหราราวกับห้อยเงินไว้เต็มร่าง และยังมีจอมยุทธ์ที่ท่องไปในยุทธภพด้วยหนึ่งคนหนึ่งม้า นั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูง ถามทางจากพวกเฉินผิงอันด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง ทำเอาเผยเฉียนโมโหไม่น้อย
เผยเฉียนพลันถามขึ้นว่า “เจ้าตัวน้อยนั่นล่ะ?”
ที่นางพูดถึงคือคนจิ๋วดอกบัว
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะ “มันไม่อยากพบเจ้า”
เผยเฉียนลุกขึ้นยืน กลับไปที่ห้องตัวเอง หยิบเอาหนังสือเล่มนั้นออกมาจากในห่อสัมภาระ แล้วกลับมาหาเฉินผิงอัน มาอ่านหนังสืออยู่กับเขา
ตอนนี้นางยังไม่กล้าไปอยู่ที่ห้องตัวเอง กลัวว่าแมวขาวตัวนั้นจะกลับมาแก้แค้น นางยังฝึกวิชากระบี่ไม่ได้เรื่อง คิดจะกำจัดปีศาจปราบมาร ย่อมไม่มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น
เฉินผิงอันปิดหนังสือ หยิบม้วนภาพแผ่นนั้นออกมาเงียบๆ ตอนนี้เขาทุ่มเงินฝนธัญพืชไปเก้าเหรียญแล้ว แต่กลับยังไม่สามารถทำให้ฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้เดินออกมาจากภาพวาดได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันคลี่ม้วนภาพออก ในมือถือเงินฝนธัญพืชไว้หนึ่งเหรียญ
เหรียญสุดท้าย หากยังไม่ได้ผลก็คงต้องตัดใจแล้ว
ใช้เงินฝนธัญพืชไปเติมเต็มถ้ำที่ไร้ก้น เงินของเขาเฉินผิงอันไม่ได้ร่วงลงมาจากฟ้าเสียหน่อย
ทว่าหลังจากที่เฉินผิงอัน ‘โยน’ เงินเข้าไปในภาพวาดแล้ว ก็ยังคงเป็นเหมือนรูปปั้นวัวดินที่จมลงสู่มหาสมุทร มีไอหมอกลอยขึ้นมาก็จริง แต่ก็แค่นี้เท่านั้น
เผยเฉียนวางหนังสือที่ค่อนข้างจะยับย่นและเสียหายแล้วเล่มนั้นลง ขยับมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่ได้จงใจจะปิดบัง ดังนั้นเผยเฉียนจึงเห็นภาพที่ม้วนภาพสามารถกินเงินได้มาหลายครั้งแล้ว เห็นว่าเฉินผิงอันต้องผิดหวังอีกครั้ง นางก็หัวเราะคิกคัก “หากข้าเปลี่ยนมาใช้แซ่เจิ้งจะดีกว่าเดิมไหม?”
เผยเฉียน ชดใช้เงิน เจิ้งเฉียน ได้เงิน (เจิ้งที่เป็นแซ่ ออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่าเจิง เจิงเฉียนแปลว่าได้เงินที่มาจากการทำงาน)
เฉินผิงอันถอนหายใจ เตรียมจะเก็บม้วนภาพลงไป
แต่แล้วเขาก็หันขวับไปมองทางหน้าต่างที่เปิดอ้าเพื่อให้ลมพัดเข้ามา ตรงนั้นมีแมวขาวตัวหนึ่งยืนอยู่ มันไม่ได้มองเฉินผิงอัน แต่พูดเยาะเย้ยเผยเฉียนว่า “นังเด็กน้อย เจ้ากินขี้ไปซะเถอะ”
หลังจากนั้นมันก็พุ่งตัวไปขี้ทิ้งไว้บนโต๊ะของห้องข้างๆ
เผยเฉียนงงงัน แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แมวตัวนี้จดจำความแค้นได้ดีจริงๆ นิสัยเหมือนเผยเฉียนเปี๊ยบเลย
ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ต้องตกตะลึงอยู่ในใจ รีบลุกขึ้นยืนแล้วลากเผยเฉียนไปไว้ด้านหลังตัวเอง
นักพรตน้อยคนหนึ่งที่แบกน้ำเต้ายักษ์สีทองนั่งอยู่บนหน้าต่าง ยิ้มตาหยีมองมาทางเฉินผิงอัน แมวขาวกระโดดขึ้นไปบนไหล่เขาแล้วขดตัวนอน
ตอนอยู่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เฉินผิงอันเคยมองเห็นนักพรตน้อยอยู่ไกลๆ ภายหลังเมื่อได้พูดคุยกับจ้งชิวจึงพอจะรู้ตัวตนของเจ้าหมอนี่คร่าวๆ นักพรตผู้เฒ่าที่เขาเรียกว่า ‘นายท่านผู้เฒ่าของข้า’ คือคนที่รับผิดชอบการตีกลองบินทะยานของพื้นที่มงคลดอกบัว
นักพรตน้อยชำเลืองมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันแล้วหลุดหัวเราะพรืด “ระดับขั้นธรรมดา ไม่ถือว่าโดดเด่นที่สุด ห่างไกลกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ของข้าหนึ่งแสนแปดพันลี้”
เฉินผิงอันถามสีหน้าไร้อารมณ์ “มาหาข้ามีธุระอะไร?”
นักพรตน้อยยังคงพูดกับตัวเองต่อไป “แจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้ามีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ดีที่สุดแค่สองลูกไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ได้อยู่ในมือเจ้าเล่า?”
ก่อนหน้าที่เทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงจะตกต่ำ นางเคยครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทองลูกหนึ่ง
เว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาแห่งศาลลมหิมะก็มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินอยู่หนึ่งลูก ภายหลังได้ตกไปอยู่ในมือของอาเหลียง แล้วอาเหลียงก็มอบให้หลี่เป่าผิงอีกที
นักพรตน้อยยันฝ่ามือสองข้างไว้บนขอบหน้าต่าง แกว่งเท้าไปมา “บนโลกมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่มาจากเถาน้ำเต้าเส้นหนึ่งที่มรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้ปลูกเองกับมือ ล้ำค่ามากที่สุด กระบี่บินที่ฟูมฟักออกมาได้มีจำนวนมากที่สุด เป็นรูปเป็นร่างเร็วที่สุด แข็งแกร่งทนทานมากที่สุด คมกริบไร้เทียมทานมากที่สุด สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าของได้ดีที่สุด กระบี่บินเล็กที่สุด เรียกได้ว่าปลิดชีพคนไม่ทิ้งร่องรอยอย่างแท้จริง ส่วนลูกสุดท้ายก็อยู่บนหลังข้านี่ไง รู้ไหมว่ามันมีความลี้ลับอะไร?”
เฉินผิงอันไม่ตอบ
เผยเฉียนหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน แม้จะสงสัยใคร่รู้ แต่ไม่กล้ายื่นหน้าออกมา
นักพรตน้อยเห็นว่าเฉินผิงอันเงียบเหมือนคนใบ้ก็รู้สึกเบื่อหน่าย เขาที่บนไหล่มีแมวขาวนอนขดตัวอยู่กระโดดลงมาจากหน้าต่างอย่างปราดเปรียว เดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ ชี้ภาพที่ม้วนอยู่พลางกล่าวว่า “นายท่านผู้เฒ่าของข้าให้ข้านำความมาบอกเจ้าว่า คนห้าคนที่ช่วยเจ้าเลือก รวมไปถึงเรื่องที่รีบร้อนไล่เจ้าออกมา ทำให้เขารู้สึกผิดเล็กน้อย จึงยอมแหกกฎให้ข้ามาบอกเรื่องบางอย่างกับเจ้า นั่นคือร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นจงเก็บไว้ให้ดี อย่าทิ้งส่งเดช มีมันอยู่ข้างกาย เจ้าจะสามารถอำพรางลมปราณบนร่างได้ สองคือภาพแรกที่เจ้าเลือก ข้าจะเตือนเจ้าหนึ่งครั้ง แค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือจะบอกถึงจำนวนเงินฝนธัญพืชที่ต้องใช้กับภาพนั้นแก่เจ้าโดยตรง ยกตัวอย่างเช่นภาพนี้ที่มีเว่ยเซียนอยู่ด้านใน ก็คือ…”
เขายิ้มแล้วยื่นมือออกมาสองมือ
แมวขาวที่อยู่บนไหล่ยื่นกรงเล็บออกมาหนึ่งข้าง นักพรตน้อยจึงยิ้มพูดว่า “ก็คือสิบเอ็ดเหรียญ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพรตน้อยรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เกี่ยวกับจำนวนรวมของเงินฝนธัญพืชที่ต้องใช้กับภาพวาดทั้งสี่ นักพรตเฒ่าเป็นคนกำหนด ทว่าแบ่งแยกให้แต่ละภาพต้องใช้กี่เหรียญ กลับเป็นเขาที่เป็นคนจัดการ เรื่องวงในเหล่านี้ เฉินผิงอันย่อมไม่มีทางรู้ เดิมนักพรตน้อยนึกว่าเฉินผิงอันจะต้องเลือกจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็ต้องเจอกับความยากลำบากแล้ว
นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนจิ๋วดอกบัวนั่นจะเป็นจระเข้ขวางคลอง ช่วยเฉินผิงอันเลือกเว่ยเซี่ยนโดยบังเอิญ
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าเพิ่งมาบอกจำนวนข้าตอนนี้?”
นักพรตน้อยหัวเราะคิกคัก “มีเพียงช่วงก่อนที่เจ้าจะโยนเหรียญสุดท้ายเข้าไป ข้ามาบอกคำตอบแก่เจ้าถึงจะไม่ผิดกฎ แล้วนายท่านผู้เฒ่าของข้าก็จะไม่กล่าวโทษ”
นักพรตน้อยเห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีสีหน้าอับอายจนพานเป็นความโกรธอะไรก็ยิ่งเบื่อหน่าย จึงโบกมือ “แค่นี้แหละ หวังว่าวันหน้าพวกเราสองคนจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว เห็นหน้าเจ้าแล้วหงุดหงิดชะมัด”
เฉินผิงอันไม่ถือสาเขา ถามว่า “ช่วงนี้มีเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่สามารถเดินทางไปยังแจกันสมบัติทวีปบ้างหรือไม่?”
นักพรตน้อยไม่เต็มใจจะบอกเฉินผิงอันเลยสักนิด แต่พอนึกถึงนิสัยของนายท่านผู้เฒ่าของตัวเองจึงจำต้องบอกสถานที่แก่อีกฝ่าย ไม่กล้าเล่นแง่
นักพรตน้อยเห็นศีรษะเล็กๆ ที่โผล่ออกมาด้านหลังเฉินผิงอันก็แค่นเสียงเย็นราวกับไม่พอใจอย่างมาก ไม่เต็มใจจะมองนางให้นานไปมากกว่านี้ จึงถอยกรูดไปด้านหลัง พาแมวขาวที่อยู่บนไหล่หายตัวไปจากตรงหน้าต่าง
เฉินผิงอันเปิดม้วนภาพวาดออกอีกครั้ง โยนเงินฝนธัญพืชเหรียญที่สิบเอ็ดลงไป
อย่างไม่มีความลังเลใจ
ไอหมอกแผ่อบอวลปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
เฉินผิงอันดึงเผยเฉียนถอยไปข้างหลัง ขยับออกห่างจากโต๊ะไปประมาณห้าหกก้าว ชูอีกับสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ตั้งท่าพร้อมรับมือกับศัตรู
มีผู้ชายร่างเล็กเตี้ยสวมชุดคลุมมังกรคนหนึ่ง ‘กระโดดทะยาน’ ออกมาจากในม้วนภาพวาด เขายืนอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็เดินลงไปบนม้านั่ง แล้วค่อยขยับลงไปยืนบนพื้น พอเห็นเฉินผิงอัน ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้ก็พูดหน้าเคร่งว่า “เว่ยเซียนคารวะนายท่าน วันหน้าหากต้องการสังหารศัตรู นายท่านโปรดสั่งมาได้เลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จากนั้นคนทั้งสองที่มองหน้ากันต่างก็พากันเงียบ บรรยากาศชะงักค้าง ค่อนข้างกระอักกระอ่วน
เว่ยเซี่ยนพลันกล่าวว่า “นายท่านมีกลิ่นอายแห่งความเด็ดขาดของราชาเข้มข้นนัก”
เฉินผิงอันไร้คำพูดโต้ตอบ
เผยเฉียนรู้สึกว่าได้เปิดโลกทัศน์แล้ว มารดามันเถอะ ไอ้หมอนี่หน้าไม่อายเกินไปหน่อยไหม?
เว่ยเซี่ยนกวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “นายท่านมีเสื้อผ้าที่ไม่สะดุดตาสักชุดหรือไม่ ข้าอยากเปลี่ยนชุด คืนนี้จะออกไปเดินดูข้างนอก ทำความรู้จักกับแม่น้ำและภูเขาของใต้หล้าไพศาลสักหน่อย เมื่อใดที่นายท่านออกเดินทางต่อ ข้าจะปรากฏตัวเอง”
เฉินผิงอันหยิบชุดใหม่เอี่ยมชุดหนึ่งให้เขา เว่ยเซี่ยนถอดชุดคลุมมังกร เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดของเฉินผิงอัน เอามือข้างเดียวยันบนขอบหน้าต่าง กระโดดออกไปข้างนอก จากนั้นก็กระโดดขึ้นบนหัวกำแพง แล้วหายไปท่ามกลางสีของรัตติกาล
เผยเฉียนถาม “ดึกดื่นขนาดนี้ จะไปดูแม่น้ำภูเขาอะไร?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเขาคิดอะไรอยู่”
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างสงบสุข
เผยเฉียนกลับไปที่ห้องของตัวเอง มองเห็นขี้แมวกองนั้น นางก็บดฟันด้วยความโมโห
ออกเดินทางวันต่อมา เว่ยเซี่ยนก็มาปรากฏตัวด้านนอกโรงเตี๊ยมจริงๆ
หลังจากนั้นมาเว่ยเซี่ยนก็ไม่พูดอะไรอีก
เว่ยเซี่ยนตัวเตี้ยกว่าเฉินผิงอันเสียอีก ยากจะจินตนาการได้ว่านี่คือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นท่านหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าของยุคสมัยนั้น วิชาการต่อสู้เลิศล้ำ ถูกคนรุ่นหลังขนานนามให้ว่า ‘ตกอยู่ในวงล้อมบนสมรภูมิรบ หมื่นศัตรูก็มิอาจต่อกร’
นานวันเข้าเผยเฉียนก็เคยชินกับการดำรงอยู่ของเว่ยเซี่ยน เพราะแค่คิดว่าเขาไม่มีตัวตนก็ได้แล้ว
ปลายฤดูหนาว คนทั้งสามขยับเข้าไปใกล้เมืองเล็กริมชายแดนแห่งหนึ่ง หากขยับขึ้นเหนือไปอีกนิดก็คือราชวงศ์ต้าเฉวียนซึ่งค่อนข้างจะมีอิทธิพลในใบถงทวีปแล้ว และท่าเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่นักพรตน้อยพูดถึงก็อยู่ทางเหนือสุดของราชวงศ์ต้าเฉวียนแห่งนี้
เดินทางอยู่บนเขตชายแดน ก่อนจะมองเห็นเมืองเล็ก เผยเฉียนก็ขอร้องเฉินผิงอันว่า “ให้ยันต์ข้าอีกแผ่นหนึ่งเถอะ แผ่นที่ส่องแสงสีทองนั่นน่ะ ฟิ้วทีเดียวก็ขัดขวางควายยักษ์สีดำตัวนั้นไว้ได้แล้ว”
เฉินผิงอันยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
เผยเฉียนไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “ไม่ได้ขอให้เจ้ายกให้ข้าเลยเสียหน่อย ข้าแค่จะเอามาแปะไว้บนหัว จะได้เดินได้เร็วอย่างไรล่ะ ขอร้องเจ้าล่ะ พวกเรากำลังเร่งเดินทางกันอยู่ไม่ใช่หรือ เจ้าไม่อยากให้ข้าเดินเร็วๆ กลับไปถึงหลงเฉวียนต้าหลีอะไรนั่นไวๆ หรือไง?”
เสียงเพี๊ยะดังขึ้น
ยันต์มาแปะอยู่บนหน้าผากของเผยเฉียนอย่างที่นางปรารถนา
ยังคงแปะแบบเอียงๆ ไม่บดบังการมองเห็นของนาง
เผยเฉียนคลี่ยิ้มดุจดอกไม้ผลิบานทันที แล้วก็เดินเร็วเหมือนบินดังที่บอกไว้
บนหัวของตัวเองแปะบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไว้หลังหนึ่งเชียวนะ จะรู้สึกเหนื่อยได้อย่างไร? แปะมันไว้เวลาเดินทางก็เหมือนตนกำลังเดินเล่นอยู่ในบ้านหลังใหญ่
เว่ยเซี่ยนที่เดินอยู่ด้านหลังคนทั้งสองมองเผยเฉียน คาดว่าอารมณ์ของเขาคงไม่ต่างจากแมวขาวตัวนั้นสักเท่าไหร่ นั่นคือรู้สึกว่านังหนูนี่สมองมีปัญหา
ตรงเอวของเฉินผิงอันห้อยกระบี่ยาวชือซินและดาบแคบหยุดหิมะ เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ
ตอนแรกเว่ยเซี่ยนที่อยู่ด้านหลังก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่ค่อนข้างหนักแน่น ทว่าตอนนี้กลับผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเอง เผยเฉียนมองเบาะแสอะไรไม่ออก แต่เฉินผิงอันกลับกระจ่างชัดอยู่ในใจ
เมื่อคนทั้งสามเดินขึ้นไปบนเนินเขาแห่งหนึ่งก็พบว่าห่างไปไม่ไกลมีฝุ่นกลุ่มใหญ่คลุ้งตลบ ทหารม้าร้อยกว่านายทั้งรบทั้งถอยไปในคราวเดียวกัน บนพื้นมีศพอยู่หลายสิบศพแล้ว ดูเหมือนว่าทหารม้าเหล่านั้นจะสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องผู้เฒ่าคนหนึ่ง
สายตาของเฉินผิงอันจับจ้องไปยังผู้ฝึกลมปราณสองคนที่ไล่ฆ่าเหล่าทหารม้า ซึ่งมีคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่
ส่วนเว่ยเซี่ยนกลับให้ความสนใจกับทหารกองนั้น ในสายตาของเขามีแววชื่นชม พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ทหารร้อยศึก ลงจากหลังม้าคือทหารกล้าผู้ชาญศึก ขึ้นขี่หลังม้าคือกองทัพม้าเหล็ก นี่น่าจะเป็นกองทัพชายแดนของตระกูลเหยาแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนแล้ว”
ตอนนี้เผยเฉียนไม่กลัวบุรุษร่างเล็กเตี้ยผู้นี้แล้ว นางกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ปกติเวลาเจ้าเตร็ดเตร่ไปทั่วก็เพราะไปสืบข่าวเรื่องพวกนี้มาหรือ?”
เว่ยเซี่ยนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สายตาของเขาฉายประกายเร่าร้อน
แคว้นหนันเยวี่ยนเคยมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าจากกองทัพม้าเหล็ก พวกเขาโจมตีให้กองทัพม้าของทุ่งราบถอยกลับออกไปนอกด่าน อีกนิดเดียวก็เกือบจะทำให้พวกเขายอมส่งบรรณาการเรียกตนเป็นข้ารับใช้แคว้นหนันเยวี่ยน
ทั้งหมดนี้คือคุณความชอบของเว่ยเซี่ยนคนเดียว
เฉินผิงอันพลันหันกลับมา ถามเสียงทุ้มหนัก “กองทัพชายแดนตระกูลเหยา? แน่ใจรึ?”
เว่ยเซี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม ไม่คิดจะพูดให้เปลืองน้ำลายของตัวเอง
เนินเขาพลันสั่นสะเทือน เฉินผิงอันทะยานร่างขึ้นสูง พลิ้วกายลงมาจากฟากฟ้า ขัดขวางอยู่ระหว่างสองฝ่ายอย่างกองทัพม้าที่กำลังหลบหนีและผู้ฝึกลมปราณสองคนพอดี
เขาเคยรับปากอาจารย์ฉี หรือควรจะพูดอีกอย่างว่าเคยรับปากใบไหวเพียงใบเดียวที่เต็มใจร่วงหล่นลงมาบนมือของเขา
ดังนั้นวันนี้เขาจึงหยุดเมื่อพบเหยา
—–