แรกเริ่มก็เป็นเจ้ากรมญาติบ้านดองของแม่ทัพผู้เฒ่า ที่ถูกสกุลหม่าฝานลู่ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตในราชสำนักแอบบงการให้ขุนนางทัดทานถวายคำร้องเรียนอย่างกำเริบเสิบสาน เจ้ากรมแห่งกรมขุนนางถูกฮ่องเต้ที่กริ้วหนักตำหนิตักเตือนอย่างรุนแรงไปรอบหนึ่ง ทำเอาเขาตกใจกลัวมาก พอกลับถึงบ้านก็รีบจับพู่กันเขียนฎีกาหนึ่งฉบับ ถ้อยคำที่ใช้น่าสงสารอย่างยิ่ง ‘ร่างกายอ่อนแอ แก่ชราเต็มที สู้พวกเด็กๆ ไม่ได้ ฟันเหลืออยู่แค่สองสามซี่ อยู่ห่างไกลกับคำว่า ‘สดใหม่’ มานานมากแล้ว’ หลักๆ แล้วก็คือต้องการลาออกกลับบ้านเกิด
ฮ่องเต้ไม่อนุญาต แต่ชื่อเสียงของเจ้ากรมผู้เฒ่าในที่ว่าการกรมขุนนางกลับดิ่งลงเหว
เพียงแต่ว่าคราวนี้นอกจากการแข่งขันในราชสำนักที่หยั่งรากลงลึกแล้ว จุดที่เป็นปัญหาอย่างแท้จริงยังเกี่ยวพันไปถึงตำแหน่งรัชทายาท อีกทั้งในเมืองหลวงยังมีคนต่างถิ่นที่ไม่ตามกฎเกณฑ์เพิ่มขึ้นเยอะมาก พวกเขาต้องการตำแหน่งสูงในราชสำนักเพื่อคอยผลักดันคลื่นลม ที่น่าสนใจก็คือ องค์ชายทั้งสามท่านต่างก็โดดเด่นอย่างมาก ต่างคนต่างมีความเชี่ยวชาญเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้ในรัชสมัยใดๆ ของต้าเฉวียนก็ล้วนเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับการเป็นรัชทายาทอย่างไม่ต้องสงสัย
การเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ของขุนนางในเมืองหลวง แม่ทัพชายแดนถูกโยกย้ายไปเหนือใต้ออกตก ทำให้คนมองตาลาย
แม้แต่กองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาที่อยู่ไกลถึงชายแดนใต้ก็ยังไม่สามารถเอาตัวออกมาอยู่นอกสถานการณ์ได้ ความอันตรายที่ซ่อนอยู่ในคลื่นใต้น้ำตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ของราชวงศ์ต้าเฉวียน แค่คิดก็พอจะรู้ได้
การเข่นฆ่าสังหารของผู้ฝึกกระบี่เกิดขึ้นแค่ในชั่วพริบตาเท่านั้น
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่หยุดนิ่งอยู่นอกวงล้อมหน้ากองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาพุ่งผ่านใจกลางของกองทัพม้า ยังดีที่เพื่อแสวงหาความเร็วขั้นสูงสุด ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนจึงเลือกเส้นทางที่เร็วที่สุดซึ่งไม่มีอุปสรรคกีดขวาง หาไม่แล้วกระบี่เล่มเดียวนี้คงตัดหัวคนไปหลายคนแล้ว
เฉินผิงอันผลักกระบี่ออกจากฝัก นิ้วสองข้างประกบกันเป็นท่ามุทรากระบี่ บังคับกระบี่อาคมชือซินที่โต้วจื่อจือต้องทุ่มทรัพย์สินจนหมดตัวกว่าจะซื้อมาได้ให้ต้านทานกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ที่พุ่งมาถึงจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ใจของผู้ฝึกกระบี่ร่วงดิ่งทันที แขกไม่ได้รับเชิญที่อายุน้อยคนนี้ไม่เพียงแต่เป็นอาจารย์กระบี่คนหนึ่ง กระบี่ที่เขาพกเล่มนั้นกลับยังสามารถต้านทาน ‘แสงเทียน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตนได้ด้วย? หรือว่านั่นคือสมบัติอาคมที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำชิ้นหนึ่ง? หาไม่แล้วด้วยความคมของแสงเทียน ศาสตราวุธคมกริบที่เรียกขานกันในยุทธภพก็แทบไม่มีชิ้นไหนต้านทานการโจมตีจากกระบี่บินแสงเทียนได้เลย ทว่ากระบี่เล่มนั้นกลับไม่มีความเสียหายแม้สักเสี้ยว
ข้ารับใช้ร่างกำยำกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “อาจารย์ ยังไม่รีบร้อนอีกไหม?”
ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนไม่ได้โกรธเคือง เพียงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ลองหยั่งเชิงความตื้นลึกของคนผู้นี้ ถือซะว่าเล่นเป็นเพื่อนเขาสักครู่ ข้าย่อมมีปัญญารักษาตัวรอดอยู่แล้ว”
“แบบนั้นย่อมดีที่สุด!”
ผู้ฝึกยุทธ์ที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานหัวเราะเหี้ยมเสียงดัง กระทืบเท้าหนึ่งครั้งก็เกิดเป็นแอ่งใต้ฝ่าเท้า เขาพลันกระโจนออกไปเบื้องหน้า ปล่อยหมัดเข้าใส่คนหนุ่มผู้นั้นขณะอยู่ห่างไปห้าหกจั้ง พายุหมัดรุนแรง ลมพายุขนาดหนาเท่าปากชาม
เฉินผิงอันเอามือหนึ่งไพล่หลัง ซ่อนมือไว้ในชายแขนเสื้อ ในขณะที่บังคับชือซินให้ต้านทานกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ยกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือรับพายุหมัดที่พุ่งมาหาด้วย
แล้วพลันขยุ้มนิ้วทั้งห้า
พายุหมัดถูกเฉินผิงอันขยี้จนแหลกไปโดยตรง
ข้ารับใช้ร่างกำยำหัวเราะฮ่าๆ ไม่มีสีหน้าลนลานแม้แต่น้อย เดิมทีนี่ก็เป็นหมัดที่เขาใช้หยั่งเชิงอยู่แล้ว ใช้แรงไม่ถึงห้าส่วนด้วยซ้ำ “อาจารย์ ตบะของคนผู้นี้ไม่ถือว่าตื้นเขินแล้ว! ส่วนข้อที่ว่าลึกเท่าไหร่นั้น…”
ชายฉกรรจ์ที่สวมชุดเกราะสีขาวหิมะร้องตวาดเบาๆ หนึ่งที แล้วพลันเพิ่มความเร็วพุ่งตัวไปด้านหน้า พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ห่างจากเบื้องหน้าเฉินผิงอันไปแค่ไม่กี่ก้าว เขาเหวี่ยงควงมือขวา เนื่องจากออกหมัดไวราวสายฟ้าแลบ ขณะที่ปล่อยหมัดนี้ออกไปตลอดทั้งไหล่ฝั่งขวาของชายฉกรรจ์จึงเกิดเป็นแสงสีขาวโพลนที่ส่องสว่างเจิดจ้า
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง
เฉินผิงอันยังคงใช้ฝ่ามือต้านรับหมัดจากชายฉกรรจ์สวมเสื้อเกราะ
ในสายตาของนักฆ่าผู้นี้ฉายแววไม่เข้าใจเสี้ยวหนึ่ง เหตุใดชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าถึงไม่ขยับเขยื้อนเลย?
แม้ว่าจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถ่วงรั้งการยกขาขึ้นตีเข่าอย่างแรงของเขา การเข่นฆ่าของผู้ฝึกยุทธ์ โดยเฉพาะศึกระหว่างยอดฝีมือที่ความคิดต้องแล่นฉับไว ขณะเดียวกันทุกครั้งที่ออกหมัดก็ล้วนต้องอาศัยสัญชาตญาณ ถึงขั้นที่ต้องไวกว่า ‘ความคิดและจิตใจ’ นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันเอามือข้างที่ไพล่อยู่ด้านหลังออกมาจากชายแขนเสื้อ ปัดเข่าของข้ารับใช้เสื้อเกราะขาวที่พุ่งมาตรงหน้าเบาๆ หนึ่งที จากนั้นก็ตีศอกใส่หน้าอกของคนผู้นี้
ผู้ฝึกยุทธ์ร่างกำยำที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานถูกตีศอกจนปลิวกระเด็นออกไปด้านหลัง
เพียงแต่ว่าหมัดนั้นยังคงถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในฝ่ามือ ร่างของเขาจึงถูกกระชากกลับมา แล้วเฉินผิงอันก็ปล่อยหมัดต่อยลงไปบนเสื้อเกราะน้ำค้างหวานด้านนอกตรงตำแหน่งหัวใจของคนผู้นั้น
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกระเด็นลิ่วออกไป ตกกระแทกลงบนพื้นที่ห่างไปไกลสิบกว่าลี้
แม้ว่าร่างกายที่สวมเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารจะได้รับบาดเจ็บน้อยมาก ทว่าลมปราณในร่างกลับกระเพื่อมแรงไม่น้อย เลือดสดหนึ่งเส้นไหลมาจากมุมปาก
ใช้ฝ่ามือค้ำยันพื้น ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืนได้ใหม่อีกครั้ง ถ่มน้ำลายที่มีเลือดปนออกมาทิ้ง แสยะปาก บ่นอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก “อาจารย์ ไอ้หมอนี่แม่งเป็นอาจารย์กระบี่ หรือว่าปรมาจารย์วิชาหมัดนอกที่หล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณกันแน่?”
ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนมายืนอยู่ข้างหลังเขา คลี่ยิ้มคลุมเครือ “เจ้าจะไม่ยอมให้คนที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์มีความสามารถควบคู่สองอย่างเลยหรือ?”
ชายฉกรรจ์สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที หันหน้าไปมองเว่ยเซี่ยนที่อยู่บนเนินเขา แล้วอารมณ์ของเขาก็ไม่ผ่อนคลายอีกต่อไป หันไปพูดกับผู้ฝึกกระบี่ว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเด็กนี่ก็สมควรตายจริงๆ อาจารย์ ท่านเล่นสนุกพอแล้วหรือยัง พวกเราจะปล่อยให้แผนการล้มเหลวในช่วงสุดท้ายไม่ได้นะ ไอ้หมอนี่ไม่ได้มาคนเดียวด้วย”
ผู้ฝึกกระบี่พยักหน้ารับ “ความสัมพันธ์ควันธูประหว่างสกุลหลิวต้าเฉวียนกับผู้เฒ่าเหยาน่าจะมีเพียงแค่นี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รวบแหได้แล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่ผิวปากเสียงแหลมดังอย่างถึงที่สุด
ครู่หนึ่งต่อมา ผู้ฝึกกระบี่ก็ห้อตะบึงไปด้านข้างด้านหนึ่งอย่างว่องไว กวักมือหนึ่งครั้ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ไม่โรมรันอยู่กับอาจารย์กระบี่หนุ่มผู้นั้นอีก แต่เปลี่ยนจากของจริงเป็นภาพมายาที่ผลุบหายเข้าไปตรงหน้าอกเขา เหมือนปลาที่จมลงไปในบ่อลึก พริบตาเดียวก็หายวับไป กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกลับไปยังช่องโพรงที่หล่อเลี้ยงมันด้วยความอบอุ่นอีกครั้ง
ผู้ฝึกยุทธ์ที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานผู้นั้นอึ้งตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มหนีตามผู้ฝึกกระบี่ไป
แม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าเหตุใดนักฆ่าสองคนนี้ถึงได้หนีไปทั้งอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขวาง
กองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาที่โชคดีรอดพ้นจากความตายมาได้ก็ยิ่งมึนงง หันมามองหน้ากันเอง
แม่ทัพผู้เฒ่าชั่งน้ำหนักอยู่ชั่วครู่ก็พลิกตัวลงจากหลังม้า ออกคำสั่งแก่นายกองหนุ่มข้างกายที่ช่วยประคองเขา “ส่งกองสอดแนมกองหนึ่งออกไปสืบสถานการณ์ คนอื่นให้พักผ่อนอยู่ที่เดิม”
ทหารสอดแนมห้านายกระจายตัวกันออกไป ควบม้าห้อตะบึงไปสี่ด้านแปดทิศเหมือนหว่านแห
เฉินผิงอันเดินช้าๆ เข้าไปหาเว่ยเซี่ยนและเผยเฉียน
แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยออกมา เขาอยากจะเอ่ยขอบคุณ แต่เพิ่งจะอ้าปากก็เจ็บแปลบที่บาดแผลตรงท้อง จึงได้แต่หุบปาก ทว่ากุมหมัดคารวะทิศทางที่คนหนุ่มนั้นจากไปอยู่ไกลๆ ถือว่าเป็นการขอบคุณอย่างไร้เสียงแล้ว
อีกฝ่ายให้ความช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวขัดขวางนักฆ่าสองคนที่กุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง ก็ถือว่าเขามีน้ำใจมากแล้ว ผู้เฒ่าจึงไม่มีหน้าจะเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมเหมือนคนได้คืบแล้วจะเอาศอก
ครึ่งก้านธูปต่อมา กองทหารม้ากองหนึ่งก็ควบตะบึงมาถึง นอกจากทหารตระกูลเหยาสิบกว่านายที่ทั่วร่างโชกไปด้วยเลือดแล้วยังมีคนแปลกหน้าเพิ่มมาอีกยี่สิบกว่าคน หากไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณที่ดวงตาสองข้างฉายประกายเจิดจ้า ผิวพรรณใสสว่างราวกับหยก ก็เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่แผ่พลังอำนาจไพศาล คนเหล่านี้เป็นเหมือนดาวล้อมเดือนที่ปกป้องบุรุษสวมชุดผ้าแพรคนหนึ่งไว้อย่างแน่นหนา คนผู้นี้อายุประมาณสามสิบกว่าปี หน้าตาหล่อเหลา เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้านายของยอดฝีมือเหล่านี้
พอขยับเข้ามาใกล้กองทหารตระกูลเหยาของผู้เฒ่า คนผู้นี้ก็โบกมือ เพียงไม่นานทหารม้ากองนั้นก็แยกตัวกันออกไป บุรุษควบม้าออกมาเพียงลำพัง พอมาถึงก็ดึงบังเหียนม้าให้หยุด หัวเราะเสียงดังกังวาน “แม่ทัพผู้เฒ่าเหยา โชคดีที่ข้าไม่ได้มาช้าไป”
แม่ทัพผู้เฒ่ากำลังจะลุกขึ้นตอบ คนผู้นั้นก็พลิกตัวลงมาจากหลังม้า โบกมือข้างที่ถือแส้เฆี่ยนม้าเป็นพัลวัน “แม่ทัพผู้เฒ่าบาดเจ็บ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
ผู้เฒ่ายังคงดึงดันจะลุกขึ้นต้อนรับ
เขาจูงม้าก้าวเร็วๆ มาหยุดอยู่ข้างหน้าผู้เฒ่า เอ่ยเบาๆ ว่า “หายนะครั้งนี้ของสกุลเหยา สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สาเหตุล้วนมาจากข้ากับหลี่ซีหลิง ในเมื่อครั้งนี้ข้าเองก็อยู่ที่ชายแดนพอดี ย่อมไม่มีเหตุผลให้นิ่งดูดาย หวังว่าแม่ทัพผู้เฒ่าจะเข้าใจ หากไม่เป็นเพราะสถานการณ์คับขัน ข้าก็ไม่มีทางเผยโฉมเด็ดขาด”
แม่ทัพผู้เฒ่าเปลี่ยนหัวข้อพูด เขากล่าวเสียงหนัก “พระวรกายขององค์ชายล้ำค่าดุจทองคำ จะมาเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ได้อย่างไร”
บุรุษเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในฐานะที่แม่ทัพเหยาเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์ชายแดนใต้ คือขุนนางระดับสองชั้นเอกของต้าเฉวียนข้า ใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายสิบปี จะไม่มีค่าเลยหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มเจื่อน “องค์ชาย!”
บุรุษโบกมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มาก็มาแล้ว ทำก็ทำไปแล้ว คำสั่งสอนของแม่ทัพเหยา ข้าก็รับฟังไปแล้ว ได้เวลากลับกันแล้วหรือยัง? ไม่แน่ว่านักฆ่าพวกนี้อาจยังมีแผนการอื่นรออยู่”
แม่ทัพผู้เฒ่ายิ้มอย่างจนใจ “ทุกอย่างทำตามคำสั่งขององค์ชาย”
บุรุษพลันยื่นแส้ม้าในมือชี้ไปยังเนินเขาฝั่งตรงข้าม “คนกลุ่มนั้นคือ?”
ผู้เฒ่าอธิบาย “หากไม่เป็นเพราะพวกเขาช่วยถ่วงเวลาไว้ให้ ข้าก็คงทนได้ไม่ถึงตอนนี้ เขามีบุคลิกท่วงท่าเหมือนจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ องค์ชายไม่ต้องทรงคิดมาก พบเจอกันโดยบังเอิญ พวกเราอย่าวาดงูเติมขาเลย”
บุรุษพยักหน้ารับ
แล้วจู่ๆ เขาก็ตบศีรษะตัวเอง รีบหยิบขวดกระเบื้องใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ดึงฝาจุกออก ทันใดนั้นกลิ่นหอมก็ตลบอบอวล เทยาเม็ดสีเขียวเข้มเม็ดหนึ่งมาไว้กลางฝ่ามือ ยื่นส่งให้ผู้เฒ่า “นี่คือยาลับรักษาบาดแผลที่ถูกเก็บไว้อย่างดีในวังหลวง แม่ทัพผู้เฒ่าแค่กินลงไปก็พอ”
ผู้เฒ่าไม่สงสัยในตัวเขา จึงเอ่ยขอบคุณองค์ชายคนนี้แล้วยัดยาใส่ปาก กลืนลงท้องอย่างไม่ลังเล
รอยยิ้มของบุรุษจึงยิ่งเข้มข้น ช่วยประคองผู้เฒ่าเดินไปยังรถม้าคันหนึ่งที่เขานำมาด้วยตัวเอง
บนเนินเขา เฉินผิงอันมองส่งพวกเขาจากไป
เขาหยิบเม็ดเสื้อเกราะเม็ดนั้นออกมายื่นส่งให้เว่ยเซี่ยน ฝ่ายหลังไม่ได้รีบรับไปในทันที
เฉินผิงอันจึงอธิบายว่า “นี่คือเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร มีชื่อว่าเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง กรอกลมปราณที่แท้จริงเข้าไปก็สามารถสวมเสื้อเกราะตัวนี้ไว้บนร่างได้แล้ว เหมือนกับเสื้อเกราะของผู้ฝึกยุทธ์คนเมื่อครู่นี้ สามารถต้านทานดาบกระบี่และวิชาอาคมได้ด้วยตัวเอง เว้นเสียจากว่าถูกแทงทะลุเสื้อเกราะในครั้งเดียว หรือถูกทุบตีตรงจุดเดิมซ้ำไปซ้ำมา โดยทั่วไปแล้วก่อนที่ปราณวิญญาณจะเผาผลาญหมดสิ้น ก็ถือว่าเป็นยันต์คุ้มกันกายชิ้นหนึ่ง มีประสิทธิภาพที่โดดเด่นในการรับมือกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่”
ระดับสูงต่ำของเม็ดเสื้อเกราะมักจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อที่ว่ามีปราณวิญญาณสะสมมากหรือน้อยเสมอ
ดังนั้นมันจึงแบ่งคร่าวๆ ได้สามชนิด ถูกคนบนภูเขาเรียกเล่นๆ ว่าเสื้อเกราะแอ่งน้ำ เสื้อเกราะบ่อน้ำและเสื้อเกราะทะเลสาบใหญ่
เสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างอยู่ในอันดับที่สาม แทบจะเป็นระดับของเสื้อเกราะแอ่งน้ำทั้งหมด ทว่าเสื้อเกราะที่หอหลิงจือของภูเขาห้อยหัววางขายชิ้นนี้กลับพิเศษอย่างถึงที่สุด มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเสื้อเกราะบรรพบุรุษ เป็นเสื้อเกราะน้ำค้างหวานรุ่นแรกสุด ซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างตั้งใจเพื่อมอบให้แก่ปรมาจารย์ใหญ่สำนักการทหาร เรียกได้ว่าหายากยิ่ง
เว่ยเซี่ยนผลักมือของเฉินผิงอันกลับคืน กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไร้คุณความชอบมิอาจรับของรางวัล ค่อยมอบให้ข้าตอนที่ข้าสร้างความชอบครั้งแรกก็ยังไม่สาย”
เฉินผิงอันจึงเก็บลงไปด้วยรอยยิ้ม
เผยเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรอคอย “เขาไม่ต้องการก็มอบให้ข้าสิ?”
เฉินผิงอันไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นเส้นทางของคนทั้งสามก็ไม่ใช่ทางเดียวกับกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาอีก พวกเขาเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็กริมชายแดนที่พอจะมองเห็นเค้าโครงได้รางๆ แห่งนั้น
ระหว่างที่เดินกันไป เว่ยเซี่ยนพูดหลายคำอย่างที่หาได้อย่าง
เขาถามคำถามสามข้อในรวดเดียว
“คุณชายอยากเป็นอริยะผู้มีคุณธรรม ยึดมั่นในหลักสามอมตะหรือ?” (สามอมตะได้แก่สร้างคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์และรังสรรค์ถ้อยคำ สามอย่างนี้แม้เนิ่นนานก็ไม่เสื่อมสลาย จึงเรียกว่าสามอมตะ)
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว”
หากเขามีปณิธานเช่นนี้จริง ตอนนั้นเฉินผิงอันก็คงยอมรับเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าเป็นอาจารย์ไปแล้ว และพอได้เดินทางมาเยือนใบถงทวีปครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้เฉินผิงอันยืนกรานในความคิดของตัวเอง
เว่ยเซี่ยนถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณชายต้องการอำนาจยิ่งใหญ่ ตั้งตนเป็นราชา เป็นผู้พิชิต?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ชี้มาที่ตัวเอง “อย่างข้าเนี่ยนะ?”
เว่ยเซี่ยนถามคำถามข้อสุดท้าย “ถ้าอย่างนั้นก็รักษาผลประโยชน์แห่งตน พิสูจน์มรรคาแห่งความเป็นอมตะ?”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้าถามคำถามพวกนี้ไปทำไม?”
เว่ยเซี่ยนไม่ตอบ
เฉินผิงอันเองก็ไม่อยากพูดอะไรอีก หลังจากนั้นคนทั้งสามจึงเดินทางกันต่อไปด้วยความเงียบเช่นนี้
—–