ก่อนจะเข้าไปในเมืองเล็กริมชายแดนได้ผ่านโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว นอกร้านแขวนป้ายกระดาษชื่อร้านที่ยับย่นและเก่าขาด
เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าของตัวเองแล้วตัดสินใจว่าจะไปเติมเหล้า รสชาติของเหล้าดีหรือเลว เฉินผิงอันแค่ดื่มก็รู้ได้ เหล้าลืมทุกข์ของพื้นที่มงคลหวงเหลียง เหล้าหมักของเกาะกุ้ยฮวา เขาล้วนเคยดื่มมาก่อน เหล้าในร้านเหล้าข้างถนนก็ยิ่งเคยซื้อมาไม่น้อย เขาจึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรขนาดนั้น
ด้านนอกโรงเตี๊ยมมีสุนัขพันธ์พื้นบ้านที่ผอมแห้งราวกับท่อนไม้ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่กลางแดด พอเห็นพวกเฉินผิงอันสามคนก็ลุกขึ้นวิ่งกลับไปกลับมา แยกเขี้ยวเห่าใส่
นี่คือการรับแขกแบบใดกัน?
เด็กหนุ่มขาเป๋คนหนึ่งถือมีดวิ่งออกมา ใช้ปลายมีดชี้ไปที่สุนัขตัวนั้น พูดขู่อย่างดุดัน “หากยังเสียงดังอีก ข้าจะตัดหัวสุนัขของเจ้าซะ!”
สุนัขพันธ์พื้นบ้านกลับลงไปนอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างอ่อนระโหยโรยแรงอีกครั้ง
เด็กขาเป๋เงยหน้าขึ้นก็เห็นแขกสามคนที่พบเห็นได้ยาก จึงรีบซ่อนมีดไว้ด้านหลัง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกค้าอย่าได้กลัว พวกเราไม่ใช่ร้านเถื่อน รับรองว่าทำการค้าตรงไปตรงมาอย่างที่คนบริสุทธิ์โปร่งใสทั่วไปทำ!”
ราวกับกังวลว่าลูกค้าจะหนีไป เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งที่ขาพิการจึงชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ เขาหันหน้าตะโกนไปทางห้องโถงใหญ่ “เถ้าแก่เนี้ยะ ลูกค้ามาแล้ว รีบเช็ดโต๊ะให้สะอาด มีคุณชายหล่อเหลาแบบที่ท่านชอบที่สุดด้วย แถมยังเป็นบัณฑิตด้วยนะ!”
หลังจากลูกจ้างร้านแจ้งข่าวที่น่ายินดีแก่เถ้าแก่เนี้ยะแล้วก็รีบหันหน้ากลับมา โค้งตัวผายมือเชื้อเชิญ “เชิญลูกค้าเข้าไปนั่งข้างในก่อน เหล้าบ๊วยที่สืบทอดวิธีต้มมาจากบรรพบุรุษของเถ้าแก่เนี้ยะ และแกะย่างที่อาจารย์ของข้าปรุงเองล้วนอร่อยที่สุด ในเขตชายแดนพันลี้นี้มีแค่ร้านเราร้านเดียวเท่านั้น!”
เฉินผิงอันสามคนเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
ห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ดื่มเหล้ากินข้าวมีโต๊ะไม่มากนัก คิดดูแล้วสาเหตุคงเป็นเพราะกิจการซบเซา ส่วนชั้นที่สองเป็นห้องพัก เวลานี้ในห้องโถงใหญ่ไร้ลูกค้า มีสตรีแต่งงานแล้วอยู่คนเดียว เท้าข้างหนึ่งของนางเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวยาว กำลังแทะเมล็ดแตงโม นางชำเลืองตามามองบัณฑิตที่เจ้าเป๋น้อยพูดถึง ตอนแรกนางก็ไม่ได้หวังอะไรมาก เพราะเดิมทีเจ้าเป๋น้อยก็เป็นพวกหนอนน้อยในฟองใหญ่ของหลุมขี้อยู่แล้ว จะมีความรู้ประสบการณ์อะไรมากนัก ชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่มีทางรู้เลยว่าสองคำว่าหล่อเหลานั้นเขียนอย่างไร
สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดคลุมยาวผ่ากลาง แขนกว้าง ด้านล่างชุดเป็นสีแดง ด้านบนเป็นลายดอกไม้สีเหลือง เนื้อผ้าของชุดคลุมนี้ไม่ธรรมดา รูปแบบก็งดงาม เพียงแต่ว่าค่อนข้างจะเก่าแก่จึงเป็นมันเลื่อมคล้ายทาน้ำมันทับลงไปหนึ่งชั้น
ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วอิ่มเอิบแดงปลั่ง เรือนกายอรชร เดิมทีคนที่ผิวขาวดูอย่างไรก็ไม่อัปลักษณ์ แล้วนับประสาอะไรกับที่นางไม่ใช่คนขี้เหร่ เป็นสตรีที่อายุสามสิบกว่า แต่กลับไม่แพ้ให้เด็กสาวงดงามอายุสิบห้าสิบหกคนใดเลย
ดวงตาของนางพลันเป็นประกาย ร้องโอ๊ะโออย่างมีจริตจะก้าน โยนเปลือกเมล็ดแตงในกำมือทิ้งลงบนพื้น แล้วใช้รองเท้าปักลายดอกไม้ปัดกวาดเข้าไปใต้โต๊ะ เดินส่ายเอวอ้อนแอ้นเหมือนงูเลื้อยเข้าหาเฉินผิงอัน ยื่นฝ่ามือมาวางลงบนไหล่ของคุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาที่สวมชุดขาวคนนี้เบาๆ ถือโอกาสบีบไหล่อีกฝ่ายไปด้วย มองไม่ออกเลยแหะ ไม่นึกเลยว่าข้าจะเก็บได้ของดี หนุ่มน้อยนี่ไม่เพียงหน้าตาดี นึกไม่ถึงว่าบนร่างจะมีกล้ามเนื้อหนั่นแน่น ไม่ใช่พวกหมอนปักลายบุปผาที่ท่าดีทีเหลว
เฉินผิงอันเห็นว่านางได้คืบแล้วยังจะเอาศอก ทำท่าจะตบมาที่หน้าอกของตนก็ขยับเบี่ยงไปด้านข้างหนึ่งก้าว ทำให้นางตบลงบนความว่างเปล่า เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ ข้าต้องการซื้อเหล้าสามถึงห้าจิน ไม่กินข้าว ไม่นอนพัก ซื้อเหล้าเสร็จแล้วก็ไป ได้ยินลูกจ้างร้านบอกว่าที่นี่มีเหล้าบ๊วยที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่ทราบว่าราคาเท่าไหร่?”
สตรีแต่งงานแล้วหดมือกลับอย่างไม่พอใจ “คุณชายรีบร้อนจะไปเมืองหูเอ๋อร์นั่นหรือ? ข้าไม่ได้ข่มขู่คุณชายเพราะอยากทำการค้าหรอกนะ แต่ที่นั่นมักจะมีผีและปีศาจอาละวาดอยู่เป็นประจำ พวกมันสามารถมอมเมาจิตใจผู้คน ปีนี้ก็ยิ่งร้ายกาจ พวกพ่อค้าและนักท่องเที่ยวหลายคนต่างก็โดนเล่นงาน ไม่เคยมีคนตายก็จริง แต่พวกคนที่เป็นบ้าเสียสติอยู่ในเมืองแห่งนั้น นับรวมกันสองมือยังได้ เพราะฉะนั้นคุณชายท่านพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเราจะดีกว่า เหล้าบ๊วยต้องการกี่ไหเราก็มีให้ ไม่แพงหรอก เหล้าหมักที่ดีที่สุดคือห้าปี สองกาก็แค่ตำลึงเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นลองสั่งแกะย่างทั้งตัวมากิน กินดื่มอิ่มหนำสำราญแล้ว ตอนกลางคืนก็พักอยู่ที่นี่ ถึงเวลานั้น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เผยเสน่ห์เย้ายวนใจดุจสาวน้อยวัยแรกแย้ม “พี่สาวอย่างข้าจะยกน้ำล้างเท้าไปให้คุณชายด้วยตัวเอง”
เผยเฉียนที่อยู่ข้างๆ น้ำลายไหล พอได้ยินคำว่าแกะย่างทั้งตัวก็เดินไปไหนไม่ไหวอีก
นางเช็ดปาก กระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเบาๆ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็หันไปถามเว่ยเซี่ยน “ดื่มเหล้าได้ไหม?”
เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “คอแข็งมาก”
เฉินผิงอันจึงหันหน้าไปส่งยิ้มให้เถ้าแก่เนี้ยะคนนั้น “คงไม่พักค้างคืนแล้ว แต่จะกินข้าวมื้อหนึ่งที่โรงเตี๊ยม นอกจากเหล้าที่ยกมาบนโต๊ะแล้ว เตรียมเหล้าบ๊วยไว้ให้ข้าต่างหากอีกห้าจิน ข้าจะเอาไปด้วย”
สตรีแต่งงานแล้วหันไปโบกมือให้เด็กหนุ่มขาเป๋คนนั้น “ไปเลือกแกะให้ตาเฒ่าหลังค่อมอาจารย์ของเจ้าตัวหนึ่ง จำไว้ว่าต้องเลือกตัวที่อ้วนๆ ตั้งใจหน่อย วันๆ อย่าเอาแต่คิดว่าอาจารย์ที่หล่นมาจากฟ้าของเจ้าจะถ่ายทอดสุดยอดวิชายุทธ์ให้แก่เจ้า เรื่องดีๆ แบบนี้ไม่หล่นลงมาบนหัวเจ้าหรอก รีบไสหัวไป”
เด็กหนุ่มตะโกนรับคำแล้ววิ่งปรู๊ดจากไป
คนทั้งสามเดินไปนั่งบนโต๊ะซึ่งเป็นม้านั่งยาวตัวหนึ่งที่ว่างอยู่พอดี ส่วนสตรีแต่งงานแล้วเดินไปทางโต๊ะคิดเงิน หยิบกับแกล้มกินเล่นสองสามจานมาวางให้บนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับเฉินผิงอัน “ฟังจากสำเนียงของคุณชายแล้ว ไม่เหมือนคนต้าเฉวียนพวกเรา? คือบัณฑิตที่ทัศนาจรผ่านมากระมัง? มาจากทางเป่ยจิ้นหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ขยับไปทางใต้ยิ่งกว่านั้น”
สตรีแต่งงานแล้วโน้มตัวมาด้านหน้า เอื้อมมือมาหยิบผลไม้แห้งที่ซื้อมาจากเมืองหูเอ๋อร์ หน้าอกหนักล้นของนางจึงกดทับลงบนโต๊ะ สังเกตเห็นว่าคุณชายผู้นั้นคลี่ยิ้มมองใบหน้าของตนตลอดเวลา ดวงตาใสกระจ่าง นี่ทำให้สตรีแต่งงานแล้วประหลาดใจเล็กน้อย ใต้หล้านี้ยังมีแมวที่ไม่กินของคาวอยู่อีกหรือ? นางพลันคลี่ยิ้มหวานถามว่า “พวกเรามาดื่มเหล้าระหว่างรออาหารกันก่อนดีไหม? ข้าสามารถดื่มเหล้าเป็นเพื่อนคุณชายได้เล็กน้อย รอจนแกะย่างถูกยกมาแล้ว พวกเราก็กำลังกรึ่มๆ พอดี ถึงเวลานั้นฉีกน่องแกะเหลืองกรอบมันเยิ้มออกมากิน รสชาตินั้นยอดเยี่ยมนักล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับตอบตกลง
สตรีแต่งงานแล้วจึงไปหยิบเหล้าหนึ่งไหและถ้วยขาวใบใหญ่สี่ใบที่วางทับซ้อนกันออกมา แกะผนึกดินออก เทเหล้าลงในชาม เหล้าบ๊วยเป็นสีอำพัน ใสสะอาดเป็นพิเศษ ไม่มีความขุ่นมัวเลยแม้แต่น้อย หากมองปราดๆ ต่อให้เป็นคนที่ดื่มเหล้าเก่งก็น่าจะเมามายได้เลย สตรีแต่งงานแล้วค่อนข้างภูมิใจในตัวเอง นางยิ้มพลางอธิบายถึงเหล้าบ๊วยที่สืบทอดวิธีทำมาจากบรรพบุรุษนี้ บอกว่าเหล้าบ๊วยแบ่งเป็นเหล้าที่หมักครึ่งปี หมักสามปี หมักห้าปี ที่แย่ที่สุดคือหมักครึ่งปี เคยมีจอมยุทธ์จากเมืองหลวงคนหนึ่งเดินทางมาเที่ยวที่นี่ เขาจูงม้าตัวใหญ่มาด้วย พอดื่มเหล้าไปแล้วก็ยกนิ้วโป้งให้พร้อมเอ่ยชมไม่หยุด บอกว่าขนาดเมืองหลวงต้าเฉวียนก็ยังไม่เคยมีเหล้ารสเลิศขนาดนี้
เผยเฉียนถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “คนที่มาจากเมืองหลวงดื่มเหล้าที่หมักแค่ครึ่งปีน่ะหรือ?”
สตรีแต่งงานแล้วสะอึกอึ้ง ก่อนจะรีบแก้ไขคำพูดเสียใหม่ “ตอนแรกจอมยุทธ์ท่านนั้นแค่ลองชิมรสชาติดูก่อน ทว่าภายหลังก็ทำเหมือนคุณชายคือซื้อเหล้าบ๊วยหมักห้าปีไปหลายจิน”
เผยเฉียนหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง คนเมืองหลวงต้าเฉวียนขี้เหนียวซะจริง ซื้อเหล้าแค่นิดหน่อยยังต้องขอชิมก่อนด้วย ไม่เหมือน…พ่อของข้า ถ้าจะซื้อก็ซื้อเหล้าหมักห้าปีที่แพงที่สุดไปเลย…”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง ทำเอาเผยเฉียนต้องยกสองมือกุมหัว
เฉินผิงอันขยับถ้วยเหล้าบ๊วยใบใหญ่ที่วางตรงหน้าเผยเฉียนไปให้เว่ยเซี่ยนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ให้ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนที่บอกว่าตัวเอง ‘คอแข็งมาก’ คนนี้ดื่มคนเดียวสองชาม แค่สองชามเท่านั้น คิดดูแล้วน่าจะถือว่าเล็กน้อยสำหรับเขา
เผยเฉียนนวดคลึงศีรษะตัวเอง พูดอย่างน้อยใจ “ขอข้าดื่มแค่คำเล็กๆ ไม่ได้หรือ? เดินทางมาไกลขนาดนี้ ข้ากระหายน้ำ แทบจะมีควันผุดออกมาจากคออยู่แล้ว!”
เด็กหญิงริมฝีปากแห้งผากจนแทบจะมีเลือดซึมออกมา หากไม่เป็นเพราะบนหน้าผากแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเอาไว้ นางจึงแสดงพละกำลังกายที่น่าตะลึงออกมาได้ นางก็คงไม่สามารถทนเดินมาจนถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นแน่
มีเงินก็จ้างผีให้โม่แป้งได้ มียันต์ช่วยให้นางเดินทางได้เร็ว สรุปแล้วก็ยังคงเป็นเพราะเงิน
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใครบอกเจ้าว่าดื่มเหล้าสามารถแก้กระหายได้? ขอน้ำเปล่าถ้วยหนึ่งจากเถ้าแก่เนี้ยะเองสิ”
เผยเฉียนชำเลืองตามองสตรีที่แต่งกายเฉิดฉันแล้วแค่นเสียงเย็นในลำคอ ยกสองแขนกอดอก สะบัดหน้าไปทางอื่น ไม่มองสตรีแต่งงานแล้วคนนั้น
สตรีแต่งงานแล้วไม่ถือสา ลุกขึ้นไปยกน้ำชามาถ้วยหนึ่ง วางลงตรงหน้าเผยเฉียนเบาๆ “ดื่มเถอะ ไม่คิดเงิน”
เผยเฉียนรีบยกสองมือจับถ้วย ดื่มอึกๆๆ รวดเดียวหมด
ไม่ดื่มก็เสียเปล่าน่ะสิ แม้นางจะรังเกียจหญิงแก่ผู้นี้ แต่ไม่ได้รังเกียจน้ำชาตรงหน้าถ้วยนี้สักหน่อย
เฉินผิงอันมองสบตากับเว่ยเซี่ยน
แล้วถอนหายใจหนึ่งที ในใจคิดว่าเถ้าแก่คนนี้ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันเลย นิสัยอาฆาตแค้นไม่น้อยไปว่าเผยเฉียน เมื่อครู่นี้ตอนที่นางหันหลังให้คนทั้งสามก็เพิ่งจะแอบถุยน้ำลายลงไปในถ้วยน้ำชา เขย่าข้อมือเล็กน้อยให้น้ำชาแกว่งเบาๆ ยกมาวางบนโต๊ะก็ไร้ร่องรอยให้คนจับได้แล้วไม่ใช่หรือ
แต่รสชาติของเหล้าบ๊วยกลับสุดยอดจริงๆ นอกจากไม่มีปราณวิญญาณอยู่ด้านในแล้ว ด้านอื่นก็ไม่ด้อยไปกว่าเหล้าหมักกุ้ยฮวาบนเรือข้ามฝากที่เป็นเกาะแห่งนั้นเลย หลังจากนี้จะต้องเอาใส่ไว้ให้เต็มน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หากยังน้อยไปก็จะให้เว่ยเซี่ยนช่วยพกไปอีกสักสองสามไห ในเมื่อกล้าพูดว่าคอแข็งก็แสดงว่าต้องเป็นพวกชอบดื่มเหล้า
เฉินผิงอันจิบเหล้าบ๊วยที่แค่ได้ชิมก็ชื่นชอบคำเล็กๆ เหล้าบ๊วยนี้ไหลลงคอร้อนแผดเผาราวกับไฟ ไหลลงท้องกลับอุ่นซ่าน อารมณ์เขาพลันดีตามไปด้วย จึงถามว่า “เถ้าแก่ เคยได้ยินเรื่องของกองทัพชายแดนตระกูลเหยาบ้างไหม?”
สตรีแต่งงานแล้วตอบง่ายๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ใช้ชีวิตอยู่ในชายแดน ใครบ้างที่ไม่รู้จักบารมีของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยา ไม่ใช่ว่าข้าคุยโวให้คุณชายฟัง แต่โรงเตี๊ยมของข้าแห่งนี้เคยมีแม่ทัพน้อยแซ่เหยาคนหนึ่งพาผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งมากินแกะย่างแล้วถึงได้จากไป ทิ้งเงินก้อนใหญ่ไว้บนโต๊ะ ทว่าทหารที่รบทัพจับศึกพวกนี้ ต่อให้แค่มากินข้าวดื่มเหล้าก็ยังน่ากลัวอยู่ดี ขนาดข้ายังไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะรู้สึกว่าบนร่างของพวกเขามีปราณสังหาร”
สตรีแต่งงานแล้วตบหน้าอกตัวเองเบาๆ สงสารก็แต่เสื้อชุดนั้นของนางที่เดิมทีก็รัดรึงมากแล้ว พอโดนตบก็ยิ่งรับภาระหนักเข้าไปอีก
เฉินผิงอันถาม “ชื่อเสียงของกองทัพชายแดนตระกูลเหยาดีมากเลยหรือ?”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดีหรือไม่ดี ชาวบ้านอย่างพวกเราจะรู้ได้อย่างไร เดิมทีก็ไม่มีโอกาสได้คบค้าสมาคมกับผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ชื่อเสียงของพวกเขาก็ไม่ถือว่าแย่ ถึงอย่างไรโรงเตี๊ยมแห่งนี้ของข้าก็เปิดมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยได้ยินข่าวว่าคนตระกูลเหยารังแกใคร ที่ได้ยินบ่อยที่สุดก็คือ ใครๆๆ ในตระกูลเหยาสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ ใครๆๆ ได้รับรางวัลจากทางราชสำนัก ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางใหญ่ ใครๆๆ ตายอยู่ตรงไหนของแคว้นเป่ยจิ้นที่อยู่ทางชายแดนใต้ และภรรยาของพวกเขาก็กลายเป็นหญิงหม้ายจริงๆ ส่วนใหญ่ก็มีแต่ข่าวเล็กๆ ประมาณนี้ ฟังไปฟังมาหลายรอบ ฟังจนเอียน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ พอจะมีความเข้าใจคร่าวๆ ต่อสกุลเหยาสายนี้ที่ย้ายจากถ้ำสวรรค์หลีจูมายังใบถงทวีปบ้างแล้ว
เว่ยเซี่ยนดื่มเหล้าถ้วยใหญ่หมดไปถ้วยหนึ่งแล้ว ตอนนี้กำลังดื่มถ้วยที่สอง ใบหน้าของเขาแดงก่ำ แต่ดวงตากลับสว่างแจ่มใส “ทหารชายแดนทั้งไม่รบกวนชาวบ้านและไม่สร้างชื่อเสียง ชัดเจนว่าเป็นการแสดงท่าทีต่อฮ่องเต้ว่าไม่มีความคิดจะแยกตัวตั้งตนเป็นอิสระ นี่คือการกระทำที่ฉลาด ไม่อย่างนั้นฮ่องเต้ที่คิดว่านอกตั่งเตียงล้วนเป็นบ้านเกิดของตนจะกล้าวางใจได้อย่างไร”
สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึง “นายท่านผู้นี้ ท่านพูดอะไรน่ะ?”
เว่ยเซี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งคำแล้วตบโต๊ะ “ที่ใดที่กีบเท้าม้าย่ำไปถึง ล้วนเป็นผืนแผ่นดินของบ้านเมือง เหล้านี่รสชาติดีเยี่ยม!”
หลังจากพูดประโยคห้าวเหิมจบแล้ว ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนที่บอกว่าตัวเองคอแข็งก็เมาเละ ฟุบโต๊ะหมดสติไปทันที กรนเสียงดังสนั่นดุจเสียงฟ้าร้อง
คราวนี้จะไม่ค้างในโรงเตี๊ยมก็คงไม่ได้แล้ว
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มขาเป๋และผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งก็ช่วยกันยกแกะย่างทั้งตัวขึ้นมาวางบนโต๊ะ หาได้ยากนักที่เฉินผิงอันจะกินอิ่มขนาดนี้ เผยเฉียนก็ยิ่งกินอิ่มจนเกินอิ่ม ถึงท้ายที่สุดต้องเรียกว่าฝืนใจฉีกเนื้อแกะยัดใส่ปาก ส่วนเฉินผิงอันเคี้ยวละเอียด กินช้ามาก เหล้าก็ดื่มไม่เร็ว
เถ้าแก่เนี้ยะไปนั่งตรงโต๊ะคิดเงิน ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันชวนนางให้กินข้าวด้วยกัน แต่นางปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ดื่มเหล้าเล็กๆ น้อยๆ เป็นเพื่อนได้ไม่มีปัญหา แต่หากทำหน้าหนากินข้าวกับแขกก็ออกจะไม่เหมาะไม่ควร ไม่มีกิจการโรงเตี๊ยมที่ไหนทำการค้ากันอย่างนี้ เผยเฉียนกินจนต้องยืดพุง ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเดินวนไปรอบโต๊ะ ไม่อย่างนั้นต้องอึดอัดตายแน่
เฉินผิงอันขอห้องพักสามห้องที่อยู่ติดกัน เผยเฉียนพักอยู่ห้องตรงกลาง จากนั้นก็ช่วยกันประคองเว่ยเซี่ยนขึ้นไปชั้นบน โยนเขาลงบนเตียง ยังดีที่ถึงแม้จะคออ่อน แต่สภาพหลังจากเมามายนับว่ายังดี เมาแล้วก็แค่หลับ ไม่อาละวาดบ้าคลั่ง ไม่พูดเพ้อเจ้อ เผยเฉียนไปที่ห้องของตัวเอง ปิดประตูแล้วก็เริ่มเรอดังเอิ้กๆ เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่วางไว้ในห้องของตัวเองเรียบร้อยก็ออกจากห้อง เตรียมจะลงไปชั้นล่างเพื่อสืบข่าวเรื่องขนบธรรมเนียมของราชวงศ์ต้าเฉวียนจากเถ้าแก่เนี้ยะเพิ่มเติมอีกนิด
เฉินผิงอันค้นพบว่ามีลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยม คนผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีเขียว หนวดเฟิ้มรุงรัง อายุประมาณสามสิบปี เขานั่งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง มองมาทางสตรีแต่งงานแล้วที่ทำหน้าเย็นชาอยู่ตรงโต๊ะคิดเงินด้วยรอยยิ้มโง่งม บนโต๊ะไม่มีเหล้าหรือกับแกล้มใดๆ แม้แต่อาหารกินเล่นจานเล็กๆ สักจานก็ยังไม่มี เด็กหนุ่มขาเป๋ลูกจ้างร้านคนนั้นนั่งอยู่ตรงหน้าบันไดที่เชื่อมต่อกับชั้นล่าง มองไปยังบุรุษผู้นั้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
ตรงผ้าม่านที่แขวนห้อยไว้หน้าประตูเชื่อมระหว่างห้องโถงใหญ่กับห้องครัว ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งไขว่ห้างสูบยาอยู่บนม้านั่งยาว
เฉินผิงอันไม่รีบร้อนลงไป เขายืนฟุบพิงราวระเบียง
ก่อนหน้านี้ตอนที่ขัดขวางนักฆ่าสองคนซึ่งไล่ล่ากองทัพชายแดนตระกูลเหยา เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกกระบี่หนึ่งในนักฆ่ายังมีแผนการรับมือรออยู่เบื้องหลัง เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงลมปราณความดุร้ายผลุบๆ โผล่ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไกล น่าจะเป็นปีศาจใหญ่ตัวหนึ่งที่ตบะไม่ตื้นเขิน อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีขอบเขตเท่าเทียมกับผู้ฝึกกระบี่ เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วมันที่ปรากฏตัวกะทันหันกลับหายวับไปในทันทีเช่นกัน เพราะถูกลมปราณที่ยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมขุมหนึ่งสยบกำราบ ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนถึงได้รีบร้อนหนีไป ผู้ฝึกยุทธ์ที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซึ่งเป็นข้ารับใช้ของเขาจึงได้แต่เผ่นหนีตามไปด้วย
เฉินผิงอันเห็นบุรุษสวมชุดเขียวที่ยับยุ่งเหยิงแล้ว ความรู้สึกแรกของเขาก็คือ คนผู้นี้น่าจะเป็นคนที่ซ่อนตัวอยู่ซึ่งสังหารปีศาจใหญ่ตนนั้นไปในชั่วพริบตา หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์จากสำนักใหญ่ในใบถงทวีป ถ้าอย่างนั้นก็ต้อง…เป็นเหมือนโจวจวี้หรันที่มีชาติกำเนิดจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ!
ทว่าเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็เริ่มไม่มั่นใจ เพราะคนผู้นี้ถูกเถ้าแก่เนี้ยะรังเกียจ ถูกเด็กขาเป๋มองตาขวางใส่ ถูกผู้เฒ่าหลังค่อมเมินเฉย อีกทั้งกระเป๋าเงินยังฟีบแบน ประเด็นสำคัญคือคนในโรงเตี๊ยมต่างก็รู้ฐานะของเขาดี คิดจะตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วนก็ยังไม่มีโอกาส ทันใดนั้นเขาก็ทำหน้าเศร้าสร้อย มองไปทางสตรีแต่งงานแล้วพลางพูดอย่างคนลุ่มหลงในรัก “จิ่วเหนียง ข้าไม่รังเกียจที่เจ้าเป็นแม่หม้าย ทั้งยังมีลูกติด จริงๆ นะ…”
เฉินผิงอันตบหน้าผากตัวเอง ยังไม่ต้องพูดถึงตัวตนและตบะของคนผู้นี้ พูดแค่เรื่องความสัมพันธ์ชายหญิง เขายังสู้ตนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ สมควรแล้วที่ไม่ได้รับการต้อนรับจากคนในโรงเตี๊ยม มีใครเขาพูดแบบนี้กับผู้หญิงกันบ้าง? นี่มันใช่คำหวานรื่นหูซะที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นการหยิบมีดแทงกลางใจของสตรีแต่งงานแล้วต่างหาก
แล้วก็จริงดังคาด สตรีแต่งงานแล้วที่เดิมทีแค่ทำสีหน้าเย็นชา ตอนนี้กลับเงยหน้าขึ้น จ้องคนสารเลวผู้นั้นเขม็ง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะไปเอาขี้แกะในคอกมาเทใส่หัวเจ้าเดี๋ยวนี้?!”
เฉินผิงอันเหลือบตามองสตรีแต่งงานแล้ว
บุรุษชุดเขียวนอนฟุบลงไปบนโต๊ะ ป่ายมือป่ายเท้าเป็นพัลวัน โดยเฉพาะมือสองข้างที่ปัดป่ายเหมือนผ้าเช็ดโต๊ะ เขากล่าวอย่างเสียใจว่า “จิ่วเหนียง ทำไมเจ้าถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ แบบนี้จะให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่ออย่างไร ข้าก็แค่จนไม่ใช่หรือ แต่คนที่มีพรสวรรค์ทางวรรณกรรมมักชะตารันทดและถูกคนริษยาอยู่เสมอ บัณฑิตจะไม่ยากจนไม่ได้หรอกนะ ไม่อย่างนั้นก็เขียนบทประพันธ์พันปียอดเยี่ยมสุดวิเศษออกมาไม่ได้…”
เจ้าเด็กขาเป๋ขากน้ำลายแล้วถุยทิ้งแรงๆ “บทประพันธ์พันปีกับปู่ทวดเจ้าน่ะสิ กลอนเลี่ยนๆ พวกนั้นของเจ้า ขนาดข้าที่ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แค่ฟังก็ยังรู้สึกขนลุกอยากจะอ้วก”
ผู้เฒ่าหลังค่อมเองก็สำลักเพราะคำพูดของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็หวาดผวากับบทประพันธ์พันปีของคนผู้นั้นอยู่เช่นกัน
บุรุษสวมชุดเขียวทำท่าเหมือนสติปัญญาถูกเปิดโล่ง เขาพลันนั่งตัวตรง คลี่ยิ้มมองสตรีแต่งงานแล้ว “จิ่วเหนียง คงไม่ใช่เพราะเจ้ากลัวว่าจะถ่วงรั้งอนาคตอันรุ่งโรจน์ของข้า ก็เลยไม่เต็มใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับข้าหรอกนะ? ไม่เป็นไร ข้าไม่สนใจสายตาของคนในโลก…”
สตรีแต่งงานแล้วทนไม่ไหวอีกต่อไป พูดเสียงเย็นว่า “เจ้าเป๋น้อย ตาเฒ่าหลังค่อม หยิบมีดมา ใครฟันเขาตายได้ ข้าจะให้เงินคนผู้นั้นสิบตำลึง!”
ผู้เฒ่าหลังค่อมไม่ได้ขยับตัว แต่เด็กหนุ่มขาเป๋กลับวิ่งปรู๊ดไปหยิบมีดที่ห้องครัวแล้ว
บุรุษชุดเขียวลุกขึ้นยืน ขยับจัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบ จากนั้นก็หมุนตัววิ่งหนีไปอย่างว่องไว
เฉินผิงอันไม่ลงไปข้างล่างอีก เขากลับไปที่ห้องของตัวเอง พอปิดประตูลงแล้วก็หยิบม้วนภาพม้วนที่สองออกมาวางบนโต๊ะ เป็นภาพของจูเหลี่ยน คนบ้าคลั่งวรยุทธ์
—–