แก่นแท้ของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้านั้นอยู่ที่การชักดึงพายุลมกรดระหว่างหมัดทั้งสอง ประหนึ่งดวงอาทิตย์ที่ตกลงและดวงจันทร์ก็ลอยขึ้น ดั่งเกิดแก่เจ็บตายบนโลกมนุษย์ที่เป็นกฎเกณฑ์ยิ่งใหญ่มากและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เฉินผิงอันที่เลื่อนสู่ขอบเขตห้า เมื่อผ่านศึกบนภูเขากู่หนิวของพื้นที่มงคลดอกบัวมาแล้วก็สามารถแยกจิตวิญญาณออกจากกัน แบ่งหนึ่งเป็นสาม น่าเสียดายที่สามารถยืนหยัดได้แค่เวลาหนึ่งชั่วลมหายใจ แต่ว่าเมื่อนำมาใช้ร่วมกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ไร้เหตุผลแล้ว ขอแค่ปล่อยหมัดเดียวออกไปก็เพียงพอ และเห็นได้ชัดว่าเหลือเฟือ
เมื่อหมัดโจมตีโดนขันทีก็เหมือนเสียงรัวกลองที่ดังขึ้นบนสมรภูมิรบ พริบตาเดียวก็ปล่อยไปสิบกว่าหมัด ทุกหมัดปะทะเนื้อส่งเสียงดังอื้ออึง
จิตของเฉินผิงอันสองคนกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณที่แท้จริง จิตวิญญาณแยกออกจากร่างได้ไม่นานนัก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำลายพลังต้นกำเนิด
หันกลับมามองการลงมือครั้งแรกของขันทีชุดหม่าง พวกจิ่วเหนียงและเหยาหลิ่งจือที่นอกจากจะตกตะลึงกับตบะที่สูงส่งของขันทีใหญ่ท่านนี้ที่สามารถปล่อยจิตหยินจิตหยางออกมาจากช่องโพรงลมปราณได้ในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นตบะของเซียนดินแล้ว อันที่จริงคนสกุลเหยายังรู้สึกเหลือเชื่อด้วย ไหนบอกว่าโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนผู้นี้คือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์อย่างไรเล่า? ทำไมถึงกลายมาเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ฝึกวิชาอมตะขึ้นมาได้?
ขันทีผู้กุมตราประทับกองทหารม้าแห่งราชสำนักต้าเฉวียนคำนวณพลาดไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือคิดไม่ถึงว่าชุดคลุมบนร่างของเฉินผิงอันจะมีระดับขั้นสูงถึงเพียงนี้ ถึงขนาดต้านทานจิตหยินของตนไว้ได้ ท่าไม้ตายยื่นมือควักหัวใจทำให้ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพตายไปด้วยมือข้างนี้มาหลายคนแล้ว ไม่ได้มีภาพเลือดโชกไหลนองอย่างแท้จริง แต่ท่าไม้ตายนี้จะทำให้ ‘ผืนนาหัวใจ’ ของคนคนหนึ่งแตกระแหง เพียงชั่วพริบตาหลอดเลือดหัวใจก็ถูกตัดขาดการเชื่อมโยงกับช่องโพรงทั้งหมด หลังจากตายไปแล้ว เรือนกายจะเหมือนไม้แห้งเหี่ยว คล้ายคลึงกับวิชาหนึ่งหมัดต่อยสะพานอมตะขาดสะบั้น
การที่ขันทีถูกมองเป็นปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิถีวรยุทธ์ หาใช่เพราะคนผู้นี้ใช้เวทอำพรางตาต่ำช้าจงใจตบตาคู่ต่อสู้ไม่ แต่เป็นเพราะคนผู้นี้มีเรือนกายของปรมาจารย์อย่างแท้จริง เลือดลมอุดมสมบูรณ์ เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแกร่ง มากพอจะทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขั้นสูงสุดได้
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ประชิดตัว การคุมเชิงกันโดยใช้วิชาอาคมบนภูเขา หรือการใช้สมบัติอาคมโจมตีกันอยู่ไกลๆ ขันทีชุดหม่างต่างก็เชี่ยวชาญทั้งสิ้น นี่จึงเป็นเหตุให้เขาไม่กลัวการต่อสู้แลกชีวิตกับคนอื่นมากที่สุด
แต่พอโดนหมัดที่สองเข้าไป ขันทีก็ตระหนักได้แล้วว่าท่าไม่ดี ไม่ใช่เพราะพายุหมัดของฝ่ายตรงข้ามร้ายกาจอะไร แต่เป็นเพราะไม่ควรเลยที่เขาจะหลบไม่พ้น
ห้าหมัดผ่านไป ขันทีใหญ่ก็กระจ่างอยู่ในใจ พอจะไล่เรียงหลักการของหมัดนี้ออกมาได้คร่าวๆ
สิบหมัดผ่านพ้น ดูเหมือนขันทีจะล้มเลิกความคิดหลบเลี่ยงอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงไม่ได้ถอยหนี
แต่เลือกจะใช้การบาดเจ็บแลกมาด้วยการบาดเจ็บ
ในช่วงเวลานี้กระบี่บินชูอีกับสืออู่ต่างก็แยกกันจับจ้องเทพหยินและเทพหยางของขันที
ขันทีชุดหม่างที่มองดูเหมือนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้ฝึกลมปราณ กับเฉินผิงอันที่มองดูเหมือนผู้ฝึกกระบี่ แต่แท้จริงแล้วคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว
ในพื้นที่แคบๆ เพียงแค่สองช่วงแขน คนทั้งสองต่อสู้กันด้วยกระบวนท่าที่หยาบมาก เมื่อเทียบกับการบังคับกระบี่รับมือศัตรูของสุยโย่วเปียนที่อยู่บนชั้นสอง ประกายแสงดาบวาววับของหลูป๋ายเซี่ยงและสวี่ชิงโจว เว่ยเซี่ยนที่อยู่นอกประตูโรงเตี๊ยมที่ต่อสู้อย่างฮึกเหิมห้าวหาญ รอบกายมีแต่สมบัติอาคมที่ทอแสงเป็นประกายระยิบระยับ สร้างภาพปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลายแล้ว
การเข่นฆ่าระหว่างเฉินผิงอันกับขันทีแห่งต้าเฉวียน นอกจากคำว่าเร็วแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก ไร้รสชาติน่าเบื่อหน่าย แต่กลับอันตรายอย่างถึงที่สุด
ส่วนผู้ติดตามที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทั้งสองตัวต่างก็ไปหลบอยู่ตรงทางขึ้นบันไดหมดแล้ว พวกเขารู้ดีว่าศึกวุ่นวายในโรงเตี๊ยมครั้งนี้ พวกเขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะสอดมือเข้าแทรกด้วยซ้ำ
สำหรับคนเหล่านี้ จูเหลี่ยนที่เป็นคนเดียวที่อยู่ว่างไม่ได้ขัดขวาง แม้แต่จะมองให้เต็มตาสักครั้งยังไม่ทำ
บัณฑิตแซ่จงยืนเอนพิงโต๊ะคิดเงิน สายตาจับจ้องมองเฉินผิงอัน
เขาเดินทางท่องไปทั่วทิศ ไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนไหนปล่อยกระบวนท่าหมัดหนึ่งได้…คล่องแคล่วเหมือนเมฆคล้อยน้ำไหลเช่นนี้มาก่อน
ในเมื่ออายุยังไม่มากก็แสดงว่าคงต้องเคยเดินทางมาไกล เห็นภูเขาสูงและแม่น้ำสายใหญ่มามากมายแล้วกระมัง?
ปราณสังหาร ปราณดุดัน ปราณแห่งความเหี้ยมหาญล้วนไม่มีเลย แม้แต่กลิ่นอายของการช่วงชิงชัยชนะก็ยังไม่เข้มข้น
ทว่าพลังอำนาจของเขากลับเพียงพออย่างมาก
บัณฑิตรู้สึกใคร่รู้นักว่า จุดประสงค์ของวิชาหมัดนี้ของคนหนุ่มคืออะไรกันแน่
แต่คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง ร่างกายและจิตวิญญาณต้องแบกรับการสะท้อนกลับของปณิธานหมัด เดิมทีนี่ก็เป็นวิธีสังหารศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองเสียหายแปดร้อยอยู่แล้ว สำหรับหลี่หลี่โส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนที่ชื่อเสียงเลื่องลือคนนี้ หากคนหนุ่มหยุดวิชาหมัดไว้เพียงเท่านี้ ต่อให้ยอมทนรับอาการบาดเจ็บ หมัดสุดท้ายสามารถ ‘สังหาร’ หลี่หลี่ได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่พอ ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ได้รับความสำคัญจากคนในโลก ไม่ได้รับความเคารพนับถือจากคนในราชสำนัก แต่ผู้คนกลับกราบไหว้เลื่อมใสพวกผู้ฝึกตน นั่นเพราะมีเหตุผล
พันหมื่นคาถาอาคม หนึ่งกระบี่ทำลายสิ้น
ประโยคนี้ได้รับความนิยมอย่างมากบนภูเขา หลายคนต่างก็รู้สึกว่าประโยคนี้บอกถึงความกริ่งเกรงที่มีต่อพลังสังหารของผู้ฝึกกระบี่ แต่แท้จริงแล้วไม่ถือว่าถูกทั้งหมด คำว่าพันหมื่นนั้นได้บอกให้รู้ถึงความร้ายกาจของผู้ฝึกตนแล้ว
กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าหมัดสุดท้ายของเฉินผิงอันสามารถต่อยให้ร่างของขันทีชุดหม่างแหลกสลายได้จริงๆ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ชุดหม่างสีแดงก็คล้ายกลายเป็นวัตถุมายาเลื่อนลอยไปด้วย
แต่เมื่อเฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่มีเลือดสดสาดกระเซ็นออกมา ในใจเขาก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดีจึงรีบใช้กระบวนท่าสยบเสินโถวในคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริงเปลี่ยนมาเป็นท่าหมัดป้องกัน ถอยแล้วถอยอีก โชคดีที่ชูอีซึ่งโจมตีพลาดอย่างน่าแปลกใจมาโผล่อยู่ตรงหน้า บวกกับชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างก็น่าจะสามารถช่วงชิงเวลาผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เฮือกใหม่ได้
ใต้หล้าไพศาลไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัว อยู่ที่นี่ ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับขั้นเท่าเทียมกัน รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณทุกคนต่างก็พากันจับจ้องช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่เขม็ง
การกระทำนี้ของขันทีหลี่หลี่คล้ายการใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนของอาจารย์ผู้จัดวางค่ายกลที่อยู่นอกป้อมอินทรีบินคนนั้น เพียงแต่ว่าหลี่หลี่ใช้การสลายจิตหยางเข้าไปแทนที่เรือนกายที่แท้จริง เปลี่ยนไปอยู่ในตำแหน่งที่กระบี่บินชูอีคุมเชิงอยู่ กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ปล่อยไปอย่างไม่มีกักเก็บพลังครั้งนี้ของเฉินผิงอันจึงกลายมาเป็นม้าตีนปลายแรงแผ่วแล้ว
และการสลายจิตหยางก็แค่ทำให้โอสถทองที่ยังไม่สมบูรณ์แบบเม็ดนั้นของหลี่หลี่หม่นแสงลงเล็กน้อยเท่านั้น
เทพหยินตนนั้นใช้วิธีควักหัวใจ กางห้านิ้วเป็นตะขอยื่นเข้ามาอีกครั้ง ประหนึ่งหมัดต่อยลงบนกระดาษ ชุดคลุมอาคมจินหลี่เหมือนกระดาษเซวี่ยนจื่อที่มีความยืดหยุ่นทนทานอย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้จิตวิญญาณของเฉินผิงอันไม่ถึงขั้นแหลกสลายไปในคราวเดียว ยังคงปกป้องผืนนาหัวใจเอาไว้ได้ ทว่าด้วยเหตุนี้จินหลี่เองก็ถูกพันธนาการเอาไว้ ไม่เพียงเท่านี้ กระบี่บินชูอีที่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันก็เหมือนจมลงในบ่อโคลน ถูกกักอยู่ในร่างของจิตหยิน
หลี่หลี่มาโผล่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้ว เขาฝาดฝ่ามือหนึ่งตบสลายปณิธานหมัดของท่าสยบเสินโถว เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ประกบสองนิ้วทิ่มเข้าที่จุดไท่หยางของเฉินผิงอัน
ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันไถลปลิวออกไปในแนวขวาง
ความแข็งแกร่งของหลี่หลี่ไม่ได้อยู่ที่เขาคือเซียนดินครึ่งตัวซึ่งเหยียบอยู่บนธรณีประตูของขอบเขตโอสถทอง แต่เป็นเพราะเขาได้ทั้งรุกและรับโดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุนอกกาย
ส่วนข้อที่ว่าหลี่หลี่มีสมบัติอาคมก้นกรุหรือไม่ก็ยิ่งบอกได้ยาก
หลี่หลี่ไม่ได้ฉวยโอกาสตามไปโจมตีต่อ เขายืนอยู่ที่เดิม ฝ่ามือที่ก่อนหน้านี้สลายท่าสยบเสินโถวกำเป็นหมัดแล้วคลายออกอย่างรวดเร็ว รอจนฝ่ามือแบออก เส้นลายมือบนฝ่ามือก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนเส้นด้ายสีแดงสด สุดท้ายกลายมาเป็นยันต์สีชาดแผ่นหนึ่ง ใช้สองนิ้วที่ประกบกันแล้วทิ่มลงตรงจุดไท่หยางของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ปาดผ่านฝ่ามือ พร้อมกับที่หลี่หลี่ท่องในใจสองคำว่า ‘เปิดยันต์’
เฉินผิงอันที่พยายามจะผลัดเปลี่ยนลมปราณรู้สึกเพียงว่ามีขุนเขากดทับลงมาเหนือศีรษะ ชายแขนเสื้อสองข้างและไหล่แต่ละฝั่งของชุดคลุมอาคมจินหลี่ปรากฎยันต์หนึ่งแผ่นที่ส่องประกายแสงศักดิ์สิทธิ์
ตรงจุดของไท่หยางของเฉินผิงอันก็มีเลือดสดไหลลงมาเป็นสาย
“ข้าเองก็มีหนึ่งหมัด ถือซะว่านี่คือของขวัญรับแขกของราชวงศ์ต้าเฉวียนเราก็แล้วกัน”
หลี่หลี่ยิ้มบางๆ พลางเดินมาเบื้องหน้า ระหว่างที่พูดประโยคนี้ ขันทีเฒ่าที่ชายแขนเสื้อกว้างของชุดหม่างสั่นสะเทือนไม่หยุดเอียงก็ศีรษะหลบชูอีที่จู่โจมมาทางท้ายทอยด้านหลังไปด้วย เขาใช้ปลายนิ้วคีบกระบี่บินแล้วขว้างออกไปเบาๆ ชูอีก็ไปกระแทกโดนสืออู่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพอดี
แค่ก้าวเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน
มือซ้ายของหลี่หลี่ที่มียันต์อยู่กลางฝ่ามือวางลงบนหัวใจของเฉินผิงอันอย่างผ่อนคลาย ส่วนมือขวากำเป็นหมัดต่อยกระแทกลงบนหลังมือของตัวเอง
ประหนึ่งค้อนตอกตะปูให้ปักตรึงลงไปในชุดคลุมอาคมจินหลี่อย่างแน่นหนาด้วยพละกำลังหนักอึ้งมหาศาล
เฉินผิงอันถอยกรูดไปหลายก้าว
หลี่หลี่ตามติดเป็นเงา ยังคงใช้หมัดตีฝ่ามือซ้ำไปอีกหนึ่งหมัด ชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างของเฉินผิงอันโบกสะบัดอย่างรุนแรง ปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขารวมถึงลมพายุของผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในชายแขนเสื้อแตกสลายสาดกระเซ็นในเวลาเดียวกัน
เฉินผิงอันถอยแล้วถอยอีก
คราวนี้หลี่หลี่ไม่ได้ตามไป แค่ยื่นนิ้วออกมาคีบเชือกสีทองเส้นหนึ่งที่โผล่มาตรงลำคอ ออกแรงกระชากหนึ่งครั้ง ตรงลำคอก็ปรากฏเป็นรอยเลือด หลี่หลี่กลับไม่รู้สึกรู้สากับบาดแผลนี้ ปล่อยให้เชือกสีทองที่น่าจะเป็นเชือกพันธนาการปีศาจรัดพันข้อมือ ชายแขนเสื้อชุดหม่างถูกฉีกกระชากจนขาดวิ่น บนแขนถูกรัดเป็นรอยช้ำหลายเส้น หลี่หลี่จุ๊ปากพูด “บนร่างมีของดีเยอะจริงๆ นี่คงเป็นสมบัติอาคมอีกชิ้นหนึ่งสินะ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกกระบี่ และไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกลมปราณ เลยใช้พวกมันได้ไม่คล่องมือ ไม่อย่างนั้นหมัดที่สามของข้าคงไม่มีโอกาสส่งไปให้เจ้าเร็วขนาดนี้”
ที่แท้หลังจากที่มือขวาของหลี่หลี่ถูกเชือกพันธนาการปีศาจสีทองรัดพัน มือซ้ายที่มียันต์ก็กำเป็นหมัดอีกครั้งแล้วชี้ไกลๆ มายังหน้าผากของเฉินผิงอัน เพียงเท่านั้นตรงหว่างคิ้วของเฉินผิงอันก็เหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง ผิวหนังปริแตก เลือดซึมออกมา ศีรษะผงะหงายไปข้างหลัง เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันกระทืบเท้าลงบนพื้นหนักๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ฝืนบังคับตัวเองไม่ให้ล้มหงายลงบนพื้น
จุดลึกในดวงตาของหลี่หลี่มีพยับเมฆอึมครึมวูบผ่าน ด้านหลังของเขาก็คือกระบี่บินชูอีกับสืออู่ที่โรมรันอยู่กับจิตหยินซึ่งออกมาจากช่องโพรงของตนอย่างไม่ยอมเลิกรา
หลี่หลี่แค่นเสียงหัวเราะหยัน “เจ้าตัวน้อยทั้งสองมีใจจงรักภักดีเหมือนสกุลเหยาจริงๆ น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิต พลานุภาพจึงถูกลดทอน หากสามารถกำจัดสติปัญญาของพวกเจ้าได้ ไม่แน่ว่าเมื่อข้านำมาใช้งานอาจจะมีเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึง”
ทันใดนั้นจิตหยินของเขาก็พลันมีสามเศียรหกกร ใบหน้าแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่หน้าตาของ ‘ขันทีวัยกลางคน’ เหมือนหลี่หลี่ แต่เป็นใบหน้าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามองค์ในศาลบู๊ของราชวงศ์ต้าเฉวียน แบ่งออกเป็นชายฉกรรจ์เคราดก แม่ทัพฝ่ายบุ๋นลักษณะสุภาพสง่างาม และผู้เฒ่าท่าทางทึ่มทื่อคนหนึ่ง แขนสามคู่แบ่งเป็นถือคทาเหล็กหนึ่งคู่ ขวานหนึ่งคู่และทวนเหล็กหนึ่งด้าม ซึ่งอาวุธเหล่านี้ล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของควันธูป
แม้ว่าหลี่หลี่จะต้องแบ่งสมาธิไปจับตามองการ ‘ปะทะ’ กันระหว่างจิตหยินกับกระบี่บินสองเล่ม แต่ก็ไม่ส่งผลต่อการป้องกันเฉินผิงอันของเขา
โส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปในหลายแคว้นภาคกลางของใบถงทวีปผู้นี้ แม้จะพลาดโอกาสการโจมตีครั้งแรกไป แต่ภายหลังกลับยึดครองความได้เปรียบอย่างมั่นคง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนั่นจะทนรับหมัดได้มากขนาดนี้ ตอนนี้ตรงจุดไท่หยางของเขายังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่กลับยังทำท่าเหมือนไม่เป็นอะไร เขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ทว่าจิงชี่เสินที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่าปณิธานหมัดบนร่างของเขากลับไม่เพียงแต่ไม่ทรุดดิ่งลงเหว กลับยังไต่ทะยานขึ้นสูงอีกด้วย?
แต่ก็ไม่เป็นไร หลี่หลี่สามารถใช้มีดทื่อแล่เนื้อคน เขาจะค่อยๆ เผาผลาญรากฐานของคนหนุ่มผู้นี้ไปก็แล้วกัน ต่อให้คนหนุ่มสามารถปล่อยหมัดมั่วซั่วได้อีกชุดหนึ่ง อย่างมากตนก็แค่สูญเสียจิตหยินไปชั่วคราว ทว่าทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของคนหนุ่มย่อมไม่มีทางต้านทานได้ไหว ใช่ว่าหลี่หลี่จะไม่อยากรีบรบรีบจบ แต่เขากลับทำแบบนั้นไม่ได้ หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดหรือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรทั่วไป ป่านนี้คงถูกเขาฆ่าตายไปสองรอบแล้ว
ระหว่างที่หลูป๋ายเซี่ยงประมือกับสวี่ชิงโจวก็ตกเป็นรองเช่นกัน
หนึ่งเพราะหลูป๋ายเซี่ยงไม่เหมือนเว่ยเซี่ยน เขาเพิ่งเดินออกมาจากภาพวาด ยังปรับตัวเข้ากับการกรอกเทปราณวิญญาณสู่ร่างกายของใต้หล้าไพศาลไม่ได้ สองคือบนร่างของสวี่ชิงโจวสวมเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ย หากไม่เป็นเพราะดาบแคบหยุดหิมะในมือคือวัตถุของเซียนดินก่อกำเนิดที่หายสาบสูญไปนานของภูเขาไท่ผิง เกรงว่าหลูป๋ายเซี่ยงคงไม่เหลือพละกำลังให้เอาคืนแล้ว
แม้ว่าตรงหน้าอกและหัวไหล่ของหลูป๋ายเซี่ยงต่างก็มีแผลถูกมีดฟันลึกจนเห็นกระดูกขาว ทว่าบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมารของพื้นที่มงคลดอกบัวท่านนี้กลับยังมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเขารู้สึกสนใจวิชาดาบของสวี่ชิงโจวแม่ทัพฝ่ายบู๊ของต้าเฉวียนผู้นี้มากกว่าคิดจะเอาชนะเขา
แม้ว่าสุยโย่วเปียนจะมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่การเข่นฆ่าระหว่างนางกับสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่กลับเหมือนการประมือกันระหว่างผู้ฝึกลมปราณสองคนมากกว่า
เห็นได้ชัดว่าสวีถงคิดว่าสตรีผู้นี้คืออาจารย์กระบี่ ต่อให้รับมือได้ยาก แต่ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่หล่อเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ นั่นก็ไม่เป็นไร
เว่ยเซี่ยนที่อยู่นอกประตูต่อสู้อย่างเต็มคราบ
ลมพายุหนาข้นและแข็งแกร่งผุดขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย บวกกับเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่เฉินผิงอันมอบให้ ส่วนบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่มาจากฝีมือของพวกปลาที่หลุดรอดตาข่ายก็ยิ่งไม่เจ็บไม่คันสำหรับเขา
อันที่จริงสองฝ่ายที่เข่นฆ่ากันคอยจับตามองผลแพ้ชนะจากขันทีหลี่หลี่และเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา
สุยโย่วเปียนเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน “คุณชาย?”
เฉินผิงอันที่บาดแผลเต็มร่างแค่ส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นได้แต่ปล่อยค้างเติ่งเอาไว้ ไม่กล้าผลัดเปลี่ยน
หลี่หลี่ถามยิ้มๆ “ทำไม มีฝีมือแค่นี้เองหรือ?”
หากเฉินผิงอันไม่ได้สวมจินหลี่ เกรงว่าป่านนี้กลิ่นคาวเลือดจากร่างของเขาคงโชยคลุ้งให้คนทั้งโรงเตี๊ยมได้กลิ่นแล้ว
ยันต์กลางฝ่ามือที่หลี่หลี่ ‘ตอกเข้ามา’ ในหัวใจของเฉินผิงอัน จินหลี่ช่วยสกัดกั้นไว้แค่เกินครึ่งเท่านั้น ยังคงมีอีกเกือบครึ่งที่แทรกซอนเข้ามาในหัวใจ
ความเจ็บปวดนั้นไม่ต่างจากถูกคว้านหัวใจ
หน้าผากผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ พอปะปนกับเลือดบนใบหน้าก็ไหลมาตามโครงหน้าของคนหนุ่ม แล้วหยดติ๋งลงบนพื้น
จิตสังหารในใจหลี่หลี่ยิ่งเข้มข้นมากกว่าเดิม
หลี่หลี่กำลังรอให้ปราณที่แท้จริงของเฉินผิงอันถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น หากบอกว่าคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้สามารถอาศัยความเด็ดเดี่ยวฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดจากบาดแผลทางกายไว้ได้ ทว่าขอแค่ปราณแท้จริงแหลกสลาย โอกาสของหลี่หลี่ก็มาถึงแล้ว เขารอได้ แต่เฉินผิงอันรอไม่ได้ ดังนั้นหลี่หลี่จึงไม่คิดได้คืบจะเอาศอกโดยการต่อสู้ประชิดตัวกับเฉินผิงอันอีก แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีการควบคุมจิตหยินและจิตหยางให้ออกจากช่องโพรงในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว หากไม่เป็นเพราะโอสถทองครึ่งเม็ดทำให้รากฐานปราณวิญญาณของหลี่หลี่เหนือกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกันไปมาก เทพหยินที่อยู่ด้านหลังตนนั้น อย่าว่าแต่จะรักษาสภาพสามเศียรหกกรของอริยะบู๊ไว้ได้เลย แค่ต้องรับมือกับกระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีสืออู่ก็อาจจะแหลกสลายไปเอง และกลับคืนมาสู่ร่างจริงของหลี่หลี่นานแล้ว
หางตาของหลี่หลี่ชำเลืองมองไปยังผู้เฒ่าที่นั่งยองอยู่บนราวระเบียงชั้นสอง
เขารู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดอีกฝ่ายถึงเอาแต่นิ่งดูดายอยู่ตลอดเวลา
ในช่วงเวลาที่หลี่หลี่ทอดสายตามองไปยังจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ เฉินผิงอันคล้ายคว้าจับโอกาสที่กำลังจะผ่านเลยไปไว้ได้ เขาเริ่มทำการผลัดเปลี่ยนลมปราณ
หลี่หลี่หัวเราะหยันอยู่ในใจไม่หยุด ดิ้นรนก่อนตาย ทว่าคราวนี้เจ้าแพ้เดิมพันแล้ว
จิตหยินพลันพุ่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าเฉินผิงอันแล้วขว้างอาวุธห้าชิ้นที่ถือไว้ด้วยหกมือใส่เขาไม่ยั้ง
ส่วนหลี่หลี่นั้นหันไปรับมือกับกระบี่บินสองเล่มด้วยตัวเอง ปราณวิญญาณสีขาวหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาจากชุดหม่างสีแดง คล้ายรังแมงมุมขนาดใหญ่ยักษ์ที่บดบังขัดขวางทางไปช่วยเจ้านายของชูอีกับสืออู่อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าใยแมงมุมสีขาวเหล่านี้จะไม่สามารถกักตัวกระบี่บินไว้ได้ แต่ขอแค่ชะลอความเร็วของพวกมันได้เล็กน้อย หลี่หลี่ก็สามารถมาปรากฎตัวอยู่ใกล้กระบี่บิน จากนั้นก็ใช้นิ้วดีด หรือไม่ก็สะบัดชายแขนเสื้อโจมตีกระบี่บินทั้งสองเล่มได้อย่างง่ายดาย
หลี่หลี่รู้สึกขบขันเล็กน้อย
คนหนุ่มผู้นี้ไม่รู้จักกลัวตายเอาซะเลย ที่แท้เขาไม่ได้ผลัดเปลี่ยนลมปราณ แต่ที่ทำอย่างนั้นก็คงเพราะอยากหลอกให้ตนเข้าไปใกล้ แต่จะมีความหมายอะไรเล่า? วันนี้เขาบุ่มบ่ามออกหน้าให้ตระกูลเหยา ตอนนี้ที่ใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังคงบุ่มบ่ามอยู่ดี คงเป็นเพราะชาติกำเนิดของคนหนุ่มสูงส่งเกินไป อีกทั้งยังมียอดฝีมือเป็นข้ารับใช้ ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเจอแต่ความราบรื่นสมหวัง ก็เลยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
แต่คู่ต่อสู้ที่มีภูมิหลังน่าตะลึงเช่นนี้ ในเมื่อกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกันแล้วก็ควรจะตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก หากปล่อยเสือกลับภูเขา ไม่แน่ว่าตลอดทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียนอาจต้องเจอกับปัญหาใหญ่เทียมฟ้า
—–