ชายหญิงที่มายืนด่าขวางหน้าประตูโรงเตี๊ยมมีมากถึงยี่สิบกว่าคน บนใบหน้าของชายฉกรรจ์เต็มไปด้วยความเดือดดาล ส่วนสตรีแต่งงานแล้วก็เท้าเอวด่ากราด พวกเด็กๆ กลับไม่สนใจใยดีอะไร หากไม่เอียงหัวเลียถังหูลู่ในมือก็แอบดีดแผ่นผ้าป้ายร้านเล่น
เฉินผิงอันยืนอยู่ในกลุ่มคนครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ เพราะพวกเขาพูดภาษาถิ่นของเมืองหูเอ๋อร์ แต่ดูจากสีหน้าลนลานของเผยเฉียนหลังจากที่เห็นตนแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มจะเข้าใจ เดิมทีเผยเฉียนนั่งยองอยู่บนราวระเบียงชั้นสอง ถ้าไม่แคะขี้มูกก็แคะขี้หู ไม่ยี่หระเลยสักนิด แถมยังจงใจทำท่ากวนโอ้ยชวนให้คนโมโห คนข้างนอกด่าแรงมากเท่าไหร่ เผยเฉียนก็ยิ่งหัวเราะชอบใจมากเท่านั้น
ยังดีที่ชายหญิงเหล่านั้นของเมืองหูเอ๋อร์ต่างก็ไม่กล้าเข้าไปในโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มขาเป๋รำคาญเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนเหล่านี้ก็จริง แต่ก็แค่ก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดโต๊ะอาหารไปเงียบๆ ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งสูบยาอยู่ห่างๆ จิ่วเหนียงแทะเมล็ดแตงอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน ไม่รังเกียจหากจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต บัณฑิตตกอับที่มารับหน้าที่เป็นคนคิดบัญชี เดิมทีคิดจะทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย ผลคือถูกชายฉกรรจ์คนหนึ่งผลักออกอย่างแรงจนเซถอยกลับเข้ามาในโรงเตี๊ยม จึงกลับไปอยู่ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วอย่างขลาดๆ แสร้งทำเป็นหยิบสมุดบัญชีสีขาวที่ว่างเปล่าขึ้นมาอ่าน จิ่วเหนียงที่อยู่ข้างกันค้อนขวับ
รอจนเฉินผิงอันเดินหน้าเคร่งข้ามธรณีประตูเข้าไป เผยเฉียนคิดจะวิ่งกลับเข้าห้อง แต่กลับถูกเฉินผิงอันเรียกตัวไว้ บอกให้นางลงมาจากชั้นบน
เผยเฉียนเดินลงมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยถามก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังด้วยตัวเองรวดเดียวจบเหมือนเทถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่ ตามคำบอกเล่าของนางคือตัวนางไปที่เมืองหูเอ๋อร์เพราะอยากไปซื้อยาที่ร้านยาให้เฉินผิงอัน แต่กลับถูกคนวัยเดียวกันในเมืองรังแก คนหลายคนรุมรังแกนางที่เป็นคนต่างถิ่นคนเดียว ตอนแรกก็แย่งถังหูลู่ไม้ที่นางกะว่าจะเอากลับมาให้เฉินผิงอันไป นางก็ยอมทน บอกว่าอ่านหลักการเหตุผลในตำรามามากมาย จึงเข้าใจแล้วว่าความปรองดองเป็นสิ่งมีค่า แต่คนเหล่านั้นกลับยังเดินตามหลังมาพูดจาร้ายกาจหยาบคายใส่นาง แถมยังจับกลุ่มกันปาหินใส่นาง นางไม่สนใจ ภายหลังพอนางซื้อว่าวกระดาษรูปกบก็มีคนอิจฉาตาร้อน กระชากเอาไปจากนางแล้วปล่อยไป พริบตาเดียวว่าวกระดาษก็ลอยลิ่วออกจากเมืองหูเอ๋อร์ หายไปไม่เห็นเงา นางโมโหจึงต่อยตีกับคนพวกกนั้น คนห้าหกคนสู้นางไม่ได้ ยังร้องไห้กลับบ้านไปฟ้องพ่อแม่ให้มาตีนาง นางไม่ได้โง่สักหน่อย เลยรีบวิ่งหนีมา อีกอย่างว่าวกระดาษรูปกบอันนั้นราคาตั้งยี่สิบอีแปะเชียวนะ อยู่ดีๆ ก็หายไปอย่างนี้ นางเจ็บปวดใจจะตายอยู่แล้ว ทำเอานางเสียเวลาตามหาอยู่นอกเมืองเกินครึ่งวัน…
แม้เผยเฉียนจะไม่มีความมั่นใจอะไร แต่ตอนที่แต่งเรื่องโกหกก็คอยสังเกตสีหน้าเฉินผิงอันไปด้วย เตรียมพร้อมรับการถูกตีอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลานั้นก็แค่ยกมือกุมหัวก็ได้แล้ว อาจถูกเฉินผิงอันเตะท้อง หรืออาจถูกหยิกแขน ก็ไม่เป็นไร กินข้าวอิ่มหนึ่งมื้อก็กลับมาองอาจผึ่งผายได้อีกครั้งแล้ว
แต่เฉินผิงอันเพียงแค่รับฟังเผยเฉียนอธิบายจนจบ แล้วถึงถามว่า “โกหกเสร็จแล้ว บอกความจริงกับข้ามาอีกรอบ หรือจะไม่พูดก็ได้ วันหน้าทิ้งเจ้าไว้ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ เจ้าก็คงไม่ต้องอดตาย”
เผยเฉียนไม่พูดอะไรอีก
เฉินผิงอันเดินไปทางโต๊ะคิดเงิน จิ่วเหนียงชำเลืองตามองเด็กหญิงผอมแห้งที่อยู่ตรงทางขึ้นบันไดแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “คุณชายเฉิน ท่านสอนปีศาจน้อยผู้นี้ออกมาอย่างไร นางเกือบจะทำให้คนทั้งตรอกในเมืองหูเอ๋อร์โกลาหลปั่นป่วนกันไปหมด ตอนแรกก็หลอกกินอาหารของเด็กบ้านอื่น ทำเอาพวกเด็กๆ ที่เล่นดินเล่นโคลนตกใจกันแทบขวัญกระเจิงเพราะเชื่อว่าเป็นความจริง คิดว่านางคือองค์หญิงของเมืองหลวงต้าเฉวียนที่พลัดถิ่นต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับหมู่ชาวบ้าน สักวันหนึ่งจะต้องได้กลับวังหลวง พอคุ้นเคยกันดีแล้ว นางก็พาเด็กเหล่านั้นเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็ก ภายหลังเพื่อกระดาษว่าวตัวหนึ่งก็ยิ่งก่อเรื่องราวใหญ่โตจนไม่อาจสลัดหลุดพ้น ดูเหมือนว่าสุดท้ายนางจะถูกผู้ใหญ่คนหนึ่งตีสองที หากเป็นคนอื่นเสียเปรียบแล้วก็คงยอมหยุด แต่นังหนูของเจ้านี่กลับดีนัก บอกว่าตัวเองเป็นญาติห่างๆ ของข้า อาศัยเรื่องนี้จ่ายเงินจ้างอันธพาลสองสามคนในเมืองหูเอ๋อร์ ฉวยโอกาสตอนฟ้ามืดแอบไปตีผู้ชายคนนั้น ตอนหลังก็ยิ่งไร้ขื่อไร้แป พวกเด็กๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพื่อนบ้านในตรอกเดียวกัน ตอนกลางคืนมีผีอาละวาด อย่าว่าแต่พวกเด็กๆ เลย ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ก็ยังตกใจจนกลางคืนไม่กล้าดับไฟนอน คุณชายเฉินเจ้าเองก็รู้ ตอนนี้ที่เมืองหูเอ๋อร์มีผีอาละวาดอยู่จริงๆ ด้วยเรื่องนี้ มือปราบหลายคนต้องเฝ้ายามกันตลอดทั้งคืนกว่าจะลากตัวนังหนูที่แสร้งเล่นผีหลอกเจ้าออกมาได้ ผลเป็นยังไงเจ้าลองเดาดูสิ ทุกคนกลับถูกนังหนูของเจ้าสยบไว้ได้อย่างอยู่หมัด ไม่รู้นางพูดอะไร พวกเขาถึงพาตัวนางกลับมาส่งอย่างเกรงใจ จะว่าไปแล้วตอนที่มือปราบสวมชุดขุนนางคุ้มครองนังหนูเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมก็เหมือนองค์รักษ์คุ้มครององค์หญิงอยู่จริงๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวโตขึ้นในฉับพลัน เขาหันหน้าไปมองเผยเฉียน แต่มองไม่เห็นหน้านาง เห็นแค่ขาสองข้าง นางน่าจะนั่งอยู่บนขั้นบันได
จิ่วเหนียงปิดปากหัวเราะ “จ่ายเงินฟาดเคราะห์ จะเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว แค่เงินเล็กๆ น้อยๆ มากสุดก็แค่สิบตำลึงเท่านั้น เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยหรอก ให้ข้าจัดการเองก็พอ ด้วยนิสัยใจดีของคุณชาย คนพวกนั้นจะยิ่งเรียกร้อง เรื่องใหญ่เท่าก้นกลับถูกพวกเขาเอามาพูดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เหมือนท้องฟ้าถูกเจาะเป็นรู”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ลงบัญชีเอาไว้ เดี๋ยวคิดพร้อมกับค่าห้อง”
จิ่วเหนียงหุบยิ้ม กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายเฉินมีพระคุณช่วยชีวิตคนทั้งตระกูลเหยาของพวกเรา ยังจะต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้อีกหรือ แบบนั้นข้าจิ่วเหนียงจะยังมีหน้าพบปะผู้คนได้อย่างไ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าวว่า “นี่มันคนละเรื่องกัน”
จิ่วเหนียงยังจะพูดต่อ แต่เฉินผิงอันกลับชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า “เรื่องวันนี้คงต้องรบกวนฮูหยินแล้ว”
จิ่วเหนียงรับปากแล้วเดินนวยนาดออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน ใช้ข้อศอกดันคนคิดบัญชีผู้นั้นออก ดึงลิ้นชักหยิบเศษก้อนเงินออกมา แล้วนำเงินไปจัดการกับปัญหาที่อยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม
เมืองหูเอ๋อร์ที่ตั้งอยู่ริมชายแดนมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถสูง แต่สายตาของพวกเขาย่อมไม่คับแคบอย่างแน่นอน ผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย เรื่องแปลกใหม่แบบใดบ้างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงยังพอมีความคิดและสติปัญญาอยู่บ้าง อีกอย่างไม่แน่ว่าอาจมียอดฝีมือนอกโลกที่ปิดบังชื่อแซ่มาเยือน ยกตัวอย่างเช่นจิ่วเหนียง (ท่านหญิงเก้า) และซานเหย่ (นายท่านสาม/ท่านปู่สาม) ของตระกูลเหยานี้
ก่อนหน้านี้ที่โรงเตี๊ยมมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตเกิดขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เว่ยเซี่ยนผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่กับผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นที่สะดุดตาอย่างมาก ภาพเหตุการณ์ที่เทพเซียนตีกันอย่างแท้จริง เมื่อมองไกลๆ มาจากเมืองหูเอ๋อร์ นอกจากจะครึกครื้นแล้ว ย่อมต้องสร้างความกริ่งเกรงเลื่อมใสด้วย ภายหลังยังมีกลุ่มทหารม้าควบอาชาตะบึงขึ้นเหนือไป จึงมีข่าวลือต่างๆ แพร่ออกมา บ้างก็บอกว่าจิ่วเหนียงแห่งโรงเตี๊ยมคือปีศาจจิ้งจอกที่ชอบล่อลวงชายหนุ่ม เป็นปีศาจจิ้งจอกจริงๆ คนที่พูดแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีที่แต่งงานแล้วหรือสตรีมีอายุของเมืองหูเอ๋อร์ บ้างก็พูดจาคลุมเครือยิ่งกว่านั้น บอกว่าหลายปีมานี้เมืองหูเอ๋อร์ไม่เคยสงบสุขก็เพราะที่นี่คือถิ่นของภูตผีปีศาจ คราวนี้มีมังกรที่แท้จริงข้ามผ่านอาณาเขต ปราณปีศาจและปราณมังกรปะทะกันจึงเกิดการกำจัดปีศาจปราบมารขึ้น
จิ่วเหนียงเดินส่ายเอวคอดอ้อนแอ้นนั้นไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตู เสียงโวยวายด้านนอกเบาลงทันที
บัณฑิตจงขุยถามยิ้มๆ ว่า “ใบถงทวีปมีพรรคในยุทธภพที่ใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? คือพรรคในยุทธภพที่เทียบเท่าได้กับตระกูลเซียนที่มีคำวาสำนักในชื่อแล้ว?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ บัณฑิตก็หัวเราะอยู่กับตัวเอง ราวกับรู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของตนค่อนข้างจะแปลกใหม่และน่าสนใจไม่น้อย
บุรุษผู้แกร่งกล้าที่สมกับคำว่าหนึ่งคนคือด่านกั้นขวาง ผู้เฒ่าหลังค่อมผู้ดุร้ายกระหายเลือด บุรุษใช้ดาบที่ปล่อยให้แม่ทัพบู๊แห่งต้าเฉวียนอย่างสวี่ชิงโจวป้อนกระบวนท่าดาบให้ดู สตรีงามเลิศล้ำที่ใช้มือเดียวบังคับกระบี่ก็สามารถสยบกำราบเซียนซือสวีถงไว้ได้
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือสี่คนนี้เมื่ออยู่ในศึกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจหรือตบะก็ล้วนเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ
แน่นอนว่ายังรวมถึงคุณชายหนุ่มที่ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่กลับสามารถบังคับกระบี่อีกคนหนึ่งด้วย เพียงแต่ว่าเขารูปงามไปหน่อย หากไม่มาแย่งทำตัวโดดเด่นต่อหน้าจิ่วเหนียง ตนคงกอดไหล่คล้องคอ เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับคนผู้นี้ไปแล้ว
เฉินผิงอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังเลือกบอกอีกฝ่ายไปตามตรง “พวกเราไม่ใช่คนของใบถงทวีป”
จงขุยอืมรับหนึ่งที “มาจากทักษินาตยทวีปงั้นรึ?”
ทักษินาตยทวีปมีชื่อเสียงอย่างถึงที่สุด ต่อให้เป็นคนในใบถงทวีปที่สายตามองเห็นแต่จุดสูง ชอบดูแคลนวีรบุรุษในใต้หล้า แต่สำหรับทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้ภูเขาห้อยหัวที่สุดแล้ว พวกเขาก็ยังต้องยอมให้ เพราะที่นั่นมีคนสกุลเฉินอิ่งอิน มีเฉินฉุนอันที่แทบจะยึดครองฉายา ‘ผู้รอบรู้แห่งลัทธิขงจื๊อ’ ไว้เพียงผู้เดียว
จงขุยเองก็เลื่อมใสในทักษินาตยทวีปมานานมากแล้ว เพียงแต่ติดอยู่ที่สถานะของสำนักศึกษา รวมไปถึงคำสอนของอาจารย์ผู้มีพระคุณ ถึงไม่สามารถออกเดินทางไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ได้เสียที
นอกจากสกุลเฉินอิ่งอินแล้ว ทักษินาตยทวีปยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มากมาย จงขุยอยากจะไปเที่ยวชมสักรอบ อยู่ที่ใบถงทวีปน่าเบื่อเกินไป ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านล่างภูเขาหรือผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ล้วนไม่ชอบเดินทางไปไหน
เฉินผิงอันชี้ไปทางทิศเหนือ
จงขุยดวงตาเป็นประกาย “เจ้ารู้จักอาจารย์ฉีแห่งสำนักศึกษาซานหยาหรือไม่?”
เฉินผิงอันสะอึกอึ้ง ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไร
จงขุยหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าน่าจะรู้จักอาจารย์ฉี แต่อาจารย์ฉีไม่รู้จักเจ้าสินะ ไม่เป็นไรๆ พวกเราสองคนก็เหมือนกัน”
ส่วนเพื่อนบ้านทางเหนือที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างแจกันสมบัติทวีปนั้น จงขุยไม่ค่อยเห็นอยู่ในสายตาสักเท่าไหร่ เพราะที่นั่นน่าจะมีแค่ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่โดดเด่นอยู่คู่เดียว ความรู้ของฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยา ฝีมือการเล่นหมากล้อมของชุยฉานราชครูต้าหลี เพียงแต่ได้ยินมาว่าถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา อาจารย์ฉีท่านนั้นก็ร่างมอดม้วยมรรคาสลายไปแล้ว แม้แต่อาจารย์ผู้มีพระคุณของจงขุยยังรู้สึกเสียดายอย่างมาก ถึงขั้นพูดกับจงขุยเป็นการส่วนตัวว่าหากฉีจิ้งชุนอยู่ที่ใบถงทวีปจะไม่มีทางได้รับความอัปยศเช่นนี้แน่นอน ต่อให้แย่ที่สุดก็ไม่มีทางเดียวดายเพียงลำพังเช่นนี้
เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “ดื่มเหล้าพลางคุยกันไปด้วยดีไหม?”
เพื่อสามคำว่า ‘ฉีจิ้งชุน’ ที่ออกมาจากปากจงขุย เฉินผิงอันยินดีจะดื่มเหล้ากับคนผู้นี้หนึ่งกา
จงขุยมองสตรีแต่งงานแล้วที่กำลังให้คำชี้แนะอยู่หน้าประตูแล้วพูดเสียงเบา “ดื่มเหล้าน่ะได้ แต่หากจิ่วเหนียงบ่นขึ้นมา เจ้าต้องช่วยข้าพูดด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
จงขุยหิ้วเหล้าบ๊วยมาสองกา ใช้สถานะของคนคิดบัญชีใช้ให้เด็กหนุมขาเป๋ยกกับแกล้มสองสามจานมาให้พวกเขา
จงขุยนั่งขัดสมาธิบนม้านั่งตัวยาวอย่างไม่มีมาด
เฉินผิงอันถาม “ได้ยินว่าท่านมาจากสำนักศึกษาต้าฝู?”
จงขุยตอบด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ใช่น่ะสิ แถมยังเป็นวิญญูชนด้วยนะ ร้ายกาจไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าคารวะเขาหนึ่งถ้วย
คารวะให้กับคำว่าวิญญูชน
จงขุยรีบยื่นมือมาห้าม เพียงแต่เฉินผิงอันกระดกดื่มหมดแล้ว วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่พเนจรอยู่ในยุทธภพท่านนี้จึงถอนหายใจกล่าวว่า “เรื่องแค่นี้ก็คู่ควรให้ดื่มเหล้าคารวะด้วยหรือ? ข้าว่าเจ้าอยากดื่มเหล้ามากกว่ากระมัง?”
เฉินผิงอันไพล่นึกไปถึงนักปราชญ์ของสำนักศึกษาที่เจอในแคว้นซูสุ่ยอย่างโจวจวี่ อีกฝ่ายไม่ค่อยเหมือนกับวิญญูชนตรงหน้าเท่าใดนัก ตอนนั้นบทความที่โจวจวี่ท่องออกมาต่อหน้าผู้อาวุโสซ่งในหมู่บ้านวารีกระบี่ก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนคนหนึ่งได้แล้ว สมกับคำว่าคำพูดดุจกฎแห่งสวรรค์ยิ่งนัก
คนเรียนหนังสือ อ่านตำราที่แตกต่างกันออกไป ก็คงจะมีบุคคลท่าทางต่างกันกระมัง
—–