ตอนที่ 341.2 ตวัดพู่กันมีเทพช่วย

ที่แท้เผยเฉียนกับจงขุยนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกัน จงขุยจิบเหล้าคำเล็กๆ กำลังตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอน เผยเฉียนก็รับฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าเหมือนคนถูกเปิดสติปัญญาให้โล่งกว้าง

จงขุยถาม “รู้หรือไม่ว่าทำไมถึงต้องกล่าวว่า วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ?”

เผยเฉียนตอบ “ก็บัณฑิตต่อยตีกับคนอื่นไม่เป็นอย่างไรล่ะ”

จงขุยกดเสียงลงต่ำ พูดด้วยท่าทางลึกลับ “ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ก็คือ ขอแค่วิญญูชนขยับปาก อีกฝ่ายก็ซี้แหงแก๋ไปแล้ว”

เผยเฉียนสงสัย “วิญญูชนทะเลาะกับคนเก่งขนาดนี้เชียว ถึงขั้นด่าคนให้ตายได้เลยหรือ?”

จงขุยยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบบนม้านั่งตัวยาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ เขาเลิกคิ้วสูงบอกเป็นนัยให้เด็กหญิงรินเหล้าให้ตนก่อน ตนถึงจะบอกคำตอบ

เผยเฉียนเหลือกตาใส่อย่างรังเกียจ ชำเลืองตามองจงขุย บนใบหน้าเล็กๆ ที่ดำเกรียมของนางเขียนคำว่า ‘เจ้าคือหอมต้นไหน’ ไว้อย่างชัดเจน

จงขุยเองก็ไม่ขุ่นเคือง ยื่นนิ้วมาชี้หน้าเด็กหญิงที่ผิวดำเกรียมราวกับถ่านแล้วหัวเราะฮ่าๆ “เจ้านี่ไม่ยอมเสียเปรียบใครเลยจริงๆ”

เผยเฉียนกลับเป็นฝ่ายโมโหเสียเอง นางลุกขึ้นยืน เอื้อมตัวมาตีนิ้วข้างนั้นของจงขุย

จงขุยขยับตัวหลบเลี่ยง ยังคงชี้นิ้วใส่เผยเฉียน ส่วนเผยเฉียนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ปัดตบฝ่ามือข้างนั้นอยู่ตลอดเวลา

จิ่วเหนียงที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินมองจงขุย ไม่ได้รู้สึกว่าการที่บุรุษตัวโตๆ คนหนึ่งมีจิตใจเป็นเด็กจะมีค่าพอให้สตรีหันมามองข้อดีของเขา

แต่ในเมื่อจงขุยเป็นแบบนี้ได้ ก็น่าจะไม่ใช่คนเลวร้ายสักเท่าไหร่

เผยเฉียนไม่เคยเจอบัณฑิตคนไหนไร้ยางอายเท่านี้มาก่อน นางเหนื่อยจนหอบดังฮักๆ กลับไปนั่งที่เดิม พูดเหน็บแนมว่า “ในเมื่อวิญญูชนร้ายกาจขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงยังพูดว่ายินดีล่วงเกินวิญญูชน แต่ไม่คิดล่วงเกินคนถ่อยเล่า?!”

จงขุยยิ้มบางๆ ตอบว่า “นั่นเป็นเพราะไม่ได้เจอกับข้า”

เผยเฉียนกระตุกมุมปาก “เจ้าแต่งเรื่องโกหกแล้วกระมัง หนังสือที่เจ้าอ่านจะมากกว่าท่านพ่อข้าได้หรือ?”

จงขุยตบหน้าตัวเอง ไร้คำพูดให้ตอบโต้ ท่าทางราวกับว่าไม่มีหน้าไปเจอเหล่าอาจารย์อริยะปราชญ์ที่รูปปั้นถูกตั้งบูชาบนแท่นบูชาอีกแล้ว “ถือว่าข้าแพ้แล้ว”

เฉินผิงอันเดินไปหาจิ่วเหนียง หยิบเงินที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมา คราวนี้จิ่วเหนียงไม่ได้ปฏิเสธ เงินเล็กน้อยแค่ยี่สิบสามสิบตำลึง ในเมื่อผู้มีพระคุณของสกุลเหยาตรงหน้าผู้นี้ยินดีมอบให้ นางก็ได้แต่รับเอาไว้ นางยิ้มจืดเจื่อนกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เข้าเมืองหลวงคราวนี้ หวังว่าเจ้าจะช่วยข้าดูแลหลิ่งจือสักหน่อย นางมีนิสัยหยิ่งผยอง ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเท่าใดนัก ขอคุณชายช่วยโอนอ่อนผ่อนตาม ถือซะว่าข้าได้คืบจะเอาศอกแล้วกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็ยิ้มพลางยื่นมือออกมา

จิ่วเหนียงไม่เข้าใจ

เฉินผิงอันจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ค่าตอบแทนในการดูแลแม่นางเหยา หากไม่ถึงยี่สิบสามสิบตำลึงก็คงพูดยากแล้ว”

จิ่วเหนียงไม่เคยอารมณ์ดีอย่างนี้มาหลายปีแล้ว นางตบเงินลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอันหนักๆ สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะอย่างขำขันสุดขีด “โอ้โห คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายจะเป็นคนทำการค้าที่ชาญฉลาดด้วย!”

เฉินผิงอันเก็บเงินไปจริงๆ เขาเอ่ยสัพยอกนางว่า “ออกเดินทางอยู่ข้างนอก จำเป็นต้องรู้จักคิดวิธีหาเงิน”

จงขุยหันหน้าไปมองจิ่วเหนียงกับเฉินผิงอันที่พูดคุยกันอย่างถูกคอ แล้วตะโกนใส่ทางห้องครัวเสียงดัง “เดี๋ยวพอยกอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ อย่าลืมเอาน้ำส้มสายชูมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง ต้องถ้วยใหญ่ด้วย!” (น้ำส้มสายชูในภาษาจีนมีความหมายอีกอย่างคือความหึงหวง ในภาษาจีนคำว่าหึงจะพูดว่าชือชู่ที่แปลว่ากินน้ำส้ม)

ทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นบนทางหลวงนอกโรงเตี๊ยม ยิ่งนานยิ่งชัดเจน

การจากลากำลังจะมาถึง

เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามหยั่งเชิงจงขุย “ช่วยเขียนโคลงคู่ให้ข้าสักแผ่นได้ไหม?”

เฉินผิงอันคิดว่าจะดีจะชั่วบัณฑิตตรงหน้าก็เป็นวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษา คิดดูแล้วลายมือของอีกฝ่ายน่าจะงดงามมาก ให้อีกฝ่ายเขียนกลอนคู่ถือว่าเป็นสัญญาณการเริ่มต้นอันดีสำหรับเขา

ดวงตาจงขุยเป็นประกาย “จ่ายเงินไหม?”

จิ่วเหนียงหัวเราะอย่างฉุนๆ “ในสายตาเจ้ามีแต่เงินหรือไง?!”

จงขุยจึงวิ่งตุปัดตุเป๋ไปทางโต๊ะคิดเงิน ถูมือกล่าวอย่างขลาดๆ “จิ่วเหนียง พู่กันกับหมึกอยู่ไหนหรือ?”

จิ่วเหนียงตวัดค้อนใส่ “เจ้าเป็นคนคิดบัญชี หาเองไม่เจอรึไง?”

โรงเตี๊ยมมีพู่กันกับหมึกและกระดาษสีแดงว่างเปล่าที่ตัดเป็นแถบสำหรับใช้เขียนโคลงคู่อยู่แล้ว เพราะในอดีตเวลาถึงช่วงปีใหม่ล้วนเป็นผู้เฒ่าหลังค่อมที่ลงมือเขียนตัวเอง อีกทั้งยังเขียนสวยมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องสามของเหยาเจิ้น แม้ว่าสกุลเหยาจะเป็นทหารชายแดนตระกูลใหญ่ แต่สำหรับเรื่องการแต่งกลอนเขียนบทความ สกุลเหยาก็ไม่เคยละเลย การเคลื่อนทัพจัดขบวนรบ การวางกลยุทธ์ทำสงคราม หากลูกหลานสกุลเหยาทุกคนเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่หยาบกระด้างจริงๆ ก็ไม่อาจรับหน้าที่เหล่านี้ได้

เฉินผิงอันบอกว่าไม่ต้องเตรียมพู่กันกับหมึก เขามี

ก่อนจะพูดประโยคนี้เขาแอบพลิกข้อมือเบาๆ หยิบเอาเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่นแล้ว

เผยเฉียนไปรับกระดาษแดงที่ใช้เขียนคำกลอนคู่มาอย่างประจบประแจง แล้วนำมาปูวางลงบนโต๊ะ

นางยังไม่ลืมเอ่ยกำชับจงขุยที่ยืนม้วนชายแขนเสื้ออยู่หน้าโต๊ะว่า “เจ้าต้องตั้งใจให้มากนะ เขียนให้ดีหน่อย วันหน้ายังต้องเอาไปแปะไว้บนผนังบ้านของข้า!”

พวกจูเหลี่ยนสี่คนต่างก็ขยับเข้ามาดู เพราะอยากรู้อย่างยิ่งว่าวิญญูชนท่านนี้จะเขียนอะไร

ส่วนเรื่องที่ว่าเฉินผิงอันไปเอาพู่กันมาจากไหน แล้วทำไมไม่ต้องใช้หมึกก็สามารถเขียนตัวอักษรได้ จิ่วเหนียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

หลังจากรับพู่กันมาแล้ว ลมปราณของจงขุยก็ลดตัวลงไปที่จุดตันเถียน สีหน้าเคร่งเครียด ตวาดเบาๆ หนึ่งที พู่กันที่จรดลงไปก็เหมือนมังกรว่ายวน เขียนตัวอักษรลงไปห้าตัว

ตัวอักษรที่เขาเขียนแค่เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น ส่วนเรื่องท่วงทำนองหรือความมีชีวิตชีวาอะไรเทือกนั้น แทบไม่มีอยู่เลย

ตัวอักษรทั้งห้ามีเนื้อความว่า ‘จรดพู่กันสะเทือนลมฝน’

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ตัวอักษรที่ควรมีในโคลงคู่ กลับเหมือนว่าพอจงขุยคว้าโอกาสที่หาได้ยากเอาไว้ได้ก็เลยพยายามจะโอ้อวดตัวตนบัณฑิตของตนมากกว่า

จูเหลี่ยนที่หลังโก่งงอพินิจตัวอักษรทั้งห้านั้นอย่างละเอียดพลางยิ้มตาหยี

สุยโย่วเปียนหันหน้าไปมองทางประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม อีกไม่นานคนตระกูลเหยาก็ใกล้จะถึงแล้ว

จิ่วเหนียงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าเป๋น้อยไปหยิบไม้กวาดมา มีคนคันผิวอยากโดนฟาด”

จงขุยทำหน้าไร้เดียงสา “อย่านะ ข้าตั้งใจเขียนมากแล้วนะ หากไม่ได้จริงๆ ข้าจะเขียนอีกแผ่นแล้วกัน เงินค่ากระดาษกลอนคู่สองแผ่นนี้ เดี๋ยวข้าจ่ายให้เอง”

เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม “ดีมากแล้ว เอาแผ่นนี้นี่แหละ เขียนอีกแค่ห้าตัวอักษรก็ใช้ได้แล้ว”

จิ่วเหนียงจ้องจงขุยเขม็ง ฝ่ายหลังรีบผลักเด็กหนุ่มขาเป๋ที่ท่าทางมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นออกไป “ไปหยิบกระดาษในห้องอาจารย์เจ้ามาอีกแผ่นหนึ่ง ช่างเถอะ เอามาสองแผ่นเลยแล้วกัน หากจิ่วเหนียงไม่พอใจ ข้าจะได้แก้ใหม่”

จงขุยเขียนตัวอักษรท่อนหลังของกลอนคู่แผ่นแรกให้เสร็จก่อน คือประโยคว่า ‘กลอนเขียนสำเร็จ ผีและเทพร่ำไห้’

บางทีอาจรู้สึกว่าตัวเองเขียน ‘ใหญ่’ ไป จงขุยจึงหัวเราะแห้งๆ รอบหนึ่งแล้วหาทางลงให้กับตัวเองโดยการพูดว่า “ไม่ได้เขียนมานาน เลยเขียนได้ไม่ค่อยดี เขียนได้ไม่ค่อยดี ไม่ถึงครึ่งของฝีมือเวลาปกติเลย”

กลอนคู่อีกสองบทหลัง จงขุยเขียนอย่างมีกฎมีเกณฑ์ เหมาะแก่การนำไปใช้ในการเฉลิมฉลองอย่างมาก คือโคลงคู่ที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่ได้ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอย่างกลอนแผ่นแรก

“ปีใหม่สุขสำราญ ฤดูใบไม้ผลิยาวนานตลอดไป”

หลังจากเขียนกลอนบทที่สองเสร็จ ตัวจงขุยเองก็พึงพอใจอย่างยิ่งยวด บอกว่าเนื้อหาในกลอนบทนี้คือบรรพบุรุษของกลอนคู่ทุกแผ่นทั่วหล้า

ส่วนกลอนบทที่สามนั้นจิ่วเหนียงพอใจมากที่สุด เพราะว่าเข้ากับสถานการณ์อย่างมาก คือคำว่าชาติรุ่งเรือง บ้านรุ่งเรือง บ้านเมืองรุ่งเรือง คนแก่ปลอดภัย คนเด็กสงบสุข ปวงประชาปลอดภัยสงบสุข

ต่อให้เป็นเผยเฉียนก็ยังรู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว ในที่สุดก็ยอมทำสีหน้าดีๆ ให้จงขุย

เฉินผิงอันเก็บกลอนคู่ทั้งสามแผ่นลงไปอย่างระมัดระวัง กุมหมัดขอบคุณจงขุย

จงขุยรับการคารวะจากเขาอย่างตรงไปตรงมา

คนทั้งสองสบตากัน

เฉินผิงอันเอ่ยเตือนอย่างจนใจ “พู่กัน”

จงขุยถาม “ข้าอุตส่าห์มอบกลอนคู่ที่งดงามเปี่ยมไปด้วยความมงคลให้เจ้าตั้งสามแผ่น เจ้าจะมอบพู่กันให้ข้าสักด้ามไม่ได้เลยหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้”

จงขุยยังคิดจะต่อรอง แต่สังเกตเห็นสีหน้ามืดทะมึนของจิ่วเหนียงเสียก่อน สีหน้านั้นเกรงว่าไม่ต้องให้เจ้าเป๋น้อยไปหยิบไม้กวาด นางอาจจะลงมือกวาดตนออกจากประตูไปด้วยตัวเองก็เป็นไป เขาจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง ส่งเหล็กหมาดหิมะให้กับเฉินผิงอันอย่างอาลัยอาวรณ์ พูดพึมพำว่า “คำว่าตวัดพู่กันดุจเทพช่วยที่สลักไว้บนด้ามมีวาสนากับข้ามากเลย เหมาะสมกันมากขนาดนี้ เจ้าเฉินผิงอันกลับเอาไม้ตียวนยางให้แยกจาก ช่างทำลายบรรยากาศยิ่งนัก”

เฉินผิงอันเก็บเหล็กหมาดหิมะที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้โดยไม่ได้จงใจจะปิดบัง ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มอบให้เจ้าไม่ได้จริงๆ”

เห็นสีหน้าน่าสงสารของจงขุย จิ่วเหนียงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องจ่ายเงินค่ากระดาษโคลงคู่แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ เห็นแก่โคลงคู่สามแผ่น วันนี้เจ้าเอาเหล้าบ๊วยหมักห้าปีไปได้หนึ่งไห”

จงขุยยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งทันที

ทางหลวงนอกโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยฝุ่นผงที่ตลบคละคลุ้ง

เด็กสาวห้อยดาบเหยาหลิ่งจือและเด็กหนุ่มเหยาเซียนจือลงจากม้าพร้อมกัน เดินมาหยุดอยู่ตรงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเพื่อรอรับกลุ่มของเฉินผิงอัน

จิ่วเหนียงพูดประโยคหนึ่งกับเหยาหลิ่งจือว่าเดินทางระมัดระวัง แล้วก็เริ่มสะอึกสะอื้นอยู่ในลำคอ

เด็กสาวเองก็ตาแดง ก้มหน้าลงหมุนตัวกลับ ไม่ต้องการเห็นใบหน้ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์ของมารดาตัวเองอีก

เหยาเจิ้นที่สวมชุดลำลองยืนอยู่ข้างรถม้าคันหนึ่ง ครั้งนี้ในขบวนของตระกูลเหยาที่เดินทางเข้าเมืองหลวง นอกจากเขาจะตั้งใจหารถม้าที่ว่างเปล่ามาสามคันแล้ว ยังเตรียมม้าสูงใหญ่ไว้ให้เฉินผิงอันอีกห้าตัว ม้าทุกตัวล้วนเป็นม้าศึกระดับหนึ่งในกองทัพของต้าเฉวียน ต่อให้เป็นลูกหลานคนร่ำรวยในเมืองหลวงก็ยังไม่อาจได้ครอบครอง

เหยาเจิ้นคิดไม่ถึงว่านอกจากเด็กหญิงผอมแห้งและหญิงสาวสะพายกระบี่ที่หน้าตางดงามอย่างถึงที่สุดแล้ว คนอื่นๆ อีกสี่คนซึ่งรวมถึงเฉินผิงอันด้วยต่างก็เลือกขี่ม้าเดินทางขึ้นเหนือ

สำหรับเรื่องนี้เหยาเจิ้นไม่มีความเห็นต่าง หลังจากทักทายเฉินผิงอันแล้ว แม่ทัพผู้เฒ่าก็กลับเข้าไปนั่งในห้องโดยสารรถม้าของตัวเอง ด้านในมีตำราพิชัยยุทธสิบกว่าเล่ม ล้วนเป็นตำราที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลเหยา หนังสือทุกเล่มเขียนคำอธิบายและข้อสรุปตามความเข้าใจของบรรพบุรุษตระกูลเหยาหลายท่านยามที่อ่านตำราเหล่านี้เอาไว้ และเป็นอย่างนี้แทบทุกหน้า

บางทีนี่ต่างหากถึงจะเป็นการสืบทอดอย่างมีระบบระเบียบของตระกูลสูงศักดิ์ ทำให้ควันธูปสืบเนื่องได้อย่างยาวนาน

คราวนี้เหยาเจิ้นพาลูกหลานสกุลเหยาไปด้วยแค่สามคน คนทั้งสามต่างก็อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน เหยาจิ้นจือที่นั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่งเพียงลำพัง เหยาเซียนจือและเหยาหลิ่งจือที่ขี่ม้าเคียงคู่กันอยู่ท้ายสุดของขบวน

ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพเจ็ดแปดคนกระจายตัวอยู่รอบๆ ขบวน

เหยาเจิ้นบอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า ในบรรดาผู้ฝึกตนเหล่านี้มีสองคนที่เป็นข้ารับใช้ลับๆ ของราชวงศ์ต้าเฉวียน หากไม่เป็นเพราะครั้งนี้ได้รับคำสั่งให้เข้าวัง แม้แต่แม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนที่ระดับขั้นสูงสุดอย่างเขาก็ยังไม่มีอำนาจโยกย้ายผู้ฝึกตนสองคนนี้

ทหารม้าที่เหลืออีกหกสิบนายล้วนเป็นทหารเก่าแก่ที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูเป็นอย่างดี และยังมีคนในครอบครัวของทหารเก่าแก่เหล่านี้อีกเล็กน้อย คนส่วนใหญ่จะเป็นพวกพ่อบ้านหรือไม่ก็สาวใช้ในจวนตระกูลเหยา

เฉินผิงอันปะปนอยู่ในกลุ่มคน ขี่ม้าไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

จูเหลี่ยนที่ต่อให้จะนั่งอยู่บนหลังม้าก็ยังคงอยู่ในท่าห่อไหล่หลังค่อม เมื่อหลังม้ากระเด้งกระดอนแกว่งซ้ายเอียงขวา เขาจึงมองดูเหมือนคนที่น่าเข้าใกล้และเรียบง่ายที่สุดในบรรดากลุ่มผู้ติดตามของเฉินผิงอัน

หลูป๋ายเซี่ยงกำลังหลับตาทำสมาธิ

เว่ยเซี่ยนที่อยู่ในกลุ่มทหารม้าเหมือนปลาที่ได้น้ำ เป็นธรรมชาติกลมกลืนมากที่สุด

ที่โรงเตี๊ยม จิ่วเหนียงจ้องมองขบวนเดินทางอยู่นานไม่ยอมดึงสายตากลับ

ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งยองสูบยาอยู่ตรงหน้าประตู ควันที่พวยพุ่งขึ้นมาบดบังใบหน้าแก่ชราที่ยับย่นของเขาเหมือนไอหมอกที่ลอยอวลอยู่เต็มร่องลึกระหว่างเทือกเขา

เด็กหนุ่มขาเป๋ปีนขึ้นไปบนหลังคา ทอดสายตามองไปไกล เพิ่งจะจากลาก็ทำให้เขาเริ่มคาดหวังที่จะได้พบกับพี่สาวสะพายกระบี่คนนั้นอีกครั้งในคราวหน้าแล้ว

จงขุยมาหยุดอยู่หน้าหลุมศพขนาดเล็ก ป้ายหินหน้าหลุมศพล้มคว่ำลงไปแล้ว แถมยังมีคนขุดดินเอาสิ่งของที่อยู่ในหลุมอีกวนออกไป

ก็เด็กนี่นะ ถึงอย่างไรก็ชอบเล่นสนุก

จงขุยลูบคลำศีรษะ หันหน้าไปมองขบวนเดินทางขนาดใหญ่แวบหนึ่งแล้วถอนสายตากลับ เอาสองมือไพล่หลัง เดินเตร็ดเตร่กลับไปที่โรงเตี๊ยมพลางพึมพำกับตัวเอง “ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือทะเลบูรพา แสงทองอร่ามตาส่องหมื่นลี้ ยามจันทราตกลงสู่ภูเขาทักษิณ เสียงวานรร้องครวญ น่าเสียดายที่ไม่คล้องจอง ไม่อย่างนั้นคงได้กลายเป็นบทกวีที่เลื่องลือไปทั่วหล้าแน่ๆ”

จงขุยครุ่นคิด ลังเลว่าจะไปที่เมืองหูเอ๋อร์สักรอบดีหรือไม่

อาจารย์ก็ขี้ขลาดไปหน่อย จะดีจะชั่วก็เป็นถึงเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดจากจวนของอริยะบางท่านในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

แม้ว่าชื่อของจิ้งจอกเก้าหางตนนั้นจะอยู่บนสุดของหน้าสองในตำรา ‘บทชื่อที่แท้จริง’ ที่นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเขียนไว้ แต่ในเมื่อตนรู้ชื่อจริงของนางแล้ว คิดจะให้นางตายก็แค่เอ่ยประโยคเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ?

จงขุยสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า

ราวกับว่ายังมีลมฤดูใบไม้ร่วงโชยมาเป็นระลอกแล้วหมุนวนเป็นเกลียวอยู่ในชายแขนเสื้อสองข้างที่ชูขึ้นสูงของเขา

จงขุยที่เป็นเช่นนี้ สตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ในโรงเตี๊ยมไม่เคยเห็นมาก่อน

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset