เหยาเจิ้นชอบคบค้าสมาคมอยู่กับเฉินผิงอันจริงๆ แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่เฉินผิงอันจะไม่ได้พูดอะไร แม่ทัพผู้เฒ่าที่เวลาอยู่ในตระกูลและในกองทัพต่างก็ไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้ม ทว่าเมื่อมาอยู่กับเฉินผิงอันกลับคุยเก่งขึ้นมา ตอนนี้เขากำลังอธิบายถึงระดับขั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเทพวารีเทพภูเขาของราชวงศ์ต้าเฉวียนให้เฉินผิงอันฟัง บอกว่านอกจากองค์เทพแห่งห้าขุนเขาแล้ว ก็เป็นเทพวารีแม่น้ำหมายเหอแห่งนี้ที่ระดับขั้นสูงสุด คือฟู่จวินใหญ่ท่านหนึ่ง ไม่เพียงแต่สามารถบุกเบิกพื้นที่สร้างจวนขึ้นได้ด้วยตัวเอง ขนาดของจวนยังเท่าเทียมกับอ๋องเจ้าเมืองในโลกมนุษย์ด้วย
เพียงแต่ว่าจวนเทพวารีมักจะปิดประตูอยู่ตลอดทั้งปี เทพวารีแม่น้ำหมายเหอแทบไม่เคยไปมาหาสู่กับใคร สองร้อยปีที่ผ่านมาเคยมีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เขาเผยร่างจริง ส่วนใหญ่แล้วจะผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนเจียวหลงที่ว่ายวนอยู่ในเมฆหมอกมากกว่า เนื่องจากควันธูปรุ่งโรจน์เกินไป อีกทั้งยังเหนือกว่าทวยเทพห้าขุนเขาที่สืบทอดระบบดั้งเดิมซึ่งได้รับการเคารพบูชามากที่สุดด้วย ทุกครั้งที่มีงานประจำปี คนหลายแสนคนจากเหนือจรดใต้ต่างก็ต้องมารวมตัวกันที่ริมแม่น้ำหมายเหอ เป็นเหตุให้เทวรูปร่างทองของเขาที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลเทพวารีคล้ายตั้งอยู่ท่ามกลางไอน้ำตลอดทั้งปี
เหยาเจิ้นพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวานว่า “ขอแค่ทุกครั้งที่เจอกับภัยแล้ง ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาขอฝนที่ศาลเทพวารีด้วยตัวเอง ต่อให้ไม่สามารถมาได้ด้วยตัวเองก็ต้องส่งเชื้อพระวงศ์สกุลหลิวท่านหนึ่งให้ลงใต้มาพร้อมกับเจ้ากรมพิธีการ เทพวารีแม่น้ำหมายเหอแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก เขาแทบจะไม่เคยทำให้ชาวบ้านต้าเฉวียนผิดหวังเลย”
พอได้ยินเหยาเจิ้นพูดเช่นนี้ เฉินผิงอันก็เริ่มเสียดายที่ไม่ได้เดินทางผ่านศาลเทพวารีแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็คงได้ดื่มเหล้าบ๊วยพลางใช้มีดสลักทุกสิ่งที่พบเห็นลงไปในแผ่นไม้ไผ่
เดินตามแม่น้ำหมายเหอที่ระลอกคลื่นซัดกลิ้งหลุนๆ ไปประมาณสี่ห้าลี้ พวกเขาก็เจอเข้ากับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ริมตลิ่งเหม่อมองไปที่แม่น้ำ
เหยาเจิ้นหันกลับไปมองข้ารับใช้ผู้เฒ่า ฝ่ายหลังพยักหน้ารับเบาๆ แม่ทัพผู้เฒ่าถึงได้ก้าวยาวๆ เข้าหาผู้เฒ่าคนนั้น
สีหน้าของผู้เฒ่าทึ่มทื่อ แต่ลักษณะท่าทางยังแข็งแรงปราดเปรียว เพียงแต่ว่าตกใจกลุ่มของเหยาเจิ้นที่เดินมาจึงลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงเพราะกลืนน้ำลายลงคอ หลังจากเอ่ยเรียกว่าท่านขุนนางอย่างขลาดๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรวางมือสองข้างไว้ตรงไหนจึงจะดี
เหยาเจิ้นเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ชาย บอกผู้เฒ่าว่าไม่ต้องตื่นเต้น จากนั้นก็ถามชวนคุยว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร ผู้เฒ่าไม่กล้าปิดบังจึงตอบทุกคำถามตามความจริง คำตอบสุดท้ายของเขาทำให้ทุกคนตื่นตะลึง ที่แท้นอกจากผู้เฒ่าจะเป็นชาวไร่ชาวนาแล้วยังทำอาชีพช่วยคนงมศพอีกด้วย เขาจำเป็นต้องมาวนเวียนอยู่แถวแม่น้ำเป็นประจำ ตามกฎเกณฑ์เก่าแก่ที่สืบทอดกันมา คนที่ทำอาชีพเช่นเขาเรียกตัวเองว่าผีพรายน้ำ
เหยาเจิ้นสงสัยใคร่รู้จึงสอบถามเรื่องผีพรายน้ำกับเรื่องการงมศพอย่างละเอียด ผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย น่าจะเพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้พูดลำบาก กลัวว่าหลังจากผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายเหล่านี้ฟังแล้วจะรังเกียจ เหยาเจิ้นจึงเอ่ยปลอบใจด้วยถ้อยคำน่าฟังไปอีกรอบ ผู้เฒ่าถึงได้พูดเรื่องประเพณีท้องถิ่นบางอย่างและวิธีการมากมายที่ไม่มีใครรู้อย่างติดๆ ขัดๆ ที่แท้คนพายเรืออย่างพวกเขาที่เรียกว่าผีพรายน้ำนี้ถูกคนจ่ายเงินจ้างให้งมหาศพในแม่น้ำ หรือไม่หากเจอศพแล้วเอาขึ้นมา ถ้ามีคนมาตามหาศพ พวกเขาไม่สามารถเรียกร้องเงินทองได้ หากคนเหล่านั้นยินดีให้ก็รับไว้ แต่ถ้าไม่ให้ก็ต้องปล่อยไป คิดเพียงว่าเป็นการสั่งสมบุญกุศลในโลกแห่งความตาย ไม่อย่างนั้นไออัปมงคลจะติดตัวไปอย่างน้อยก็สามปี แต่หากญาติของศพไม่ยอมให้เงิน แล้วยังไม่ยอมเลี้ยงข้าวสักมื้อ รับรองว่าก็ต้องซวยเหมือนกัน
คงเป็นเพราะเห็นว่าใบหน้าของเหยาเจิ้นและเฉินผิงอันต่างก็เป็นมิตร พอได้ลองพูดแล้ว ผู้เฒ่าก็เริ่มไร้พันธนาการ ภาษาทางการต้าเฉวียนที่ตอนแรกฟังคลุมเครือเริ่มไหลรื่นมากขึ้น เป็นฝ่ายเล่าให้เหยาเจิ้นฟังถึงความพิถีพิถันในการงมศพ ระหว่างที่พูด ผู้เฒ่าท่าทางซื่อๆ ก็ยกยิ้มไปด้วย “ใต้เท้าคงไม่รู้ หากผู้ชายจมน้ำตาย หน้าจะคว่ำเข้าหาน้ำ แต่หากเป็นสตรีจะแหงนหน้าขึ้น เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น มองไปจากบนฝั่งก็รู้แล้วว่าเป็นชายหรือหญิง พอลากขึ้นฝั่งมาแล้ว หากไม่มีคนมารับศพก็ต้องช่วยฝังพวกเขาในสถานที่แห่งหนึ่งที่ห่างจากศาลท่านเทพวารีไปไม่ไกล จากนั้นค่อยไปจุดธูปสามดอกในศาล แล้วขอผ้าแดงเส้นหนึ่งมาจากนอกศาล เอามาพันไว้ที่ข้อมือ ก็จะถือว่าได้ทำความดี วันหน้าย่อมต้องได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน”
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองผิวน้ำแม่น้ำหมายเหอแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม “แต่มีสองอย่างที่งมไม่ได้ อย่างแรกคือคนที่หลังจากตายแล้วยืนตัวตรงอยู่ในแม่น้ำ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง พวกเราก็ไม่อาจไปลากขึ้นฝั่งได้ หากเส้นผมลอยอยู่เหนือผิวน้ำ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด ต่อให้คนจ้างจ่ายเงินมากแค่ไหน พวกเราก็ไม่กล้าไปงม อีกอย่างก็คือพวกคุณหนูในตระกูลใหญ่ที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย หากใช้ไม้ไผ่ลากมาสามครั้งแล้วยังไม่สามารถเอาขึ้นเรือได้ พวกเราก็จะไม่สนใจอีก เพราะหากศพนั้นโดนมือก็ล้วนไม่มีใครได้เจอเรื่องดี”
ตอนแรกเผยเฉียนยังฟังอย่างเพลิดเพลิน แต่ตอนหลังนางกลับรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ไม่กล้ามองแม่น้ำหมายเหออีกแม้แต่ครั้งเดียว
ผู้เฒ่าคลายหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปม ยิ้มซื่อๆ “วันใดที่จะไม่เป็นผีพรายน้ำแล้วก็ต้องหาช่วงเวลาที่แสงแดดส่องเจิดจ้ามาล้างมือที่ริมแม่น้ำ ถือเป็นการบอกกล่าวนายท่านเทพวารี”
เหยาเจิ้นพยักหน้ารับ ก่อนถามว่า “ตลอดหลายปีมานี้พี่ชายงมศพมามากน้อยแค่ไหนแล้ว?”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็ส่ายหน้า “จำไม่ได้แล้วล่ะ”
เหยาเจิ้นกล่าวเสียงหนัก “คนทำดีย่อมได้ดี พี่ชายอย่าได้รู้สึกว่าอาชีพงมศพนี้น่าอับอาย ทำบุญสั่งสมคุณความดีเป็นเรื่องดีนักล่ะ”
ผู้เฒ่ายิ้มเขินอาย “ใต้เท้าต้องเป็นขุนนางที่ดี เป็นนายท่านผู้เฒ่าฟ้าสีครามสดใสแน่ๆ” (ฟ้าสีครามสดใสมาจากคำว่าชิงเทียน เป็นสัญลักษณ์ของความเที่ยงตรง ยุติธรรม ดั่งเปาบุ้นจิ้นก็ถูกเรียกว่าเปาชิงเทียน)
นี่คือการชมเชยที่ผู้เฒ่าตั้งใจเค้นสมองคิดที่สุดแล้ว
เห็นว่าสีท้องฟ้าเริ่มมืดลง เหยาเจิ้นก็บอกลากับผู้เฒ่าด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันบอกว่าจะอยู่ต่ออีกสักครู่
ถึงท้ายที่สุดจึงเหลือแค่ผู้เฒ่าคนงมศพ เฉินผิงอัน เผยเฉียนและจูเหลี่ยน คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนกลับไปที่จุดพักม้ากันหมด
จูเหลี่ยนเลียบแม่น้ำต่อไปอีกครั้ง
เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายผู้เฒ่า ยื่นส่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าไปให้ด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงดื่มเหล้าได้ไหม?”
ผู้เฒ่ารีบโบกมือปฏิเสธ “คุณชายอย่าเหยียบย่ำของดีๆ เลย ท่านเก็บไว้ดื่มเองเถอะ”
เฉินผิงอันยังคงยื่นมือออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าดื่มได้”
ผู้เฒ่ายังคงไม่กล้ารับกาเหล้าไป เฉินผิงอันจึงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ท่านลุงอาจจะไม่เชื่อ ข้าเองก็มีชาติกำเนิดที่ยากจนเช่นกัน เคยทำงานเป็นช่างปั้นในเตาเผามาหลายปี”
ผู้เฒ่าเห็นว่าคุณชายท่านนี้ไม่มีท่าว่าจะเก็บกาเหล้าไปจึงได้แต่รับมาอย่างระมัดระวัง ชูขึ้นสูง แหงนหน้ากระดกดื่มหนึ่งคำก็รีบคืนให้กับเฉินผิงอัน
ดื่มเหล้าไปหนึ่งคำแล้ว คาดว่าเขาคงลิ้มรสชาติอะไรไม่ออกทั้งนั้น แต่ใบหน้าของผู้เฒ่ากลับเป็นสีแดงปลั่ง ท่าทางดูดีใจมาก
เฉินผิงอันดื่มเหล้าบ๊วยหนึ่งอึกแล้วถามว่า “วันนี้ท่านลุงเห็นศพลอยผ่านไปบ้างหรือไม่?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ตอนนี้น้ำในท้องน้ำแห้งขอด ไม่ง่ายหรอกที่จะเห็นศพ”
กล่าวมาถึงตรงนี้คล้ายผู้เฒ่ารู้สึกได้ว่าตัวเองพูดผิดไป จึงกล่าวอย่างอึดอัดใจว่า “ไม่เห็นสิถึงจะดี”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ดื่มเหล้าไปเงียบๆ
เดิมทีผู้เฒ่าก็มีนิสัยเป็นน้ำเต้าตันอยู่แล้ว วันนี้ที่พูดคุยกับเหยาเจิ้นได้มากขนาดนั้นอาจมากกว่าคำพูดทั้งหมดที่เขาพูดในเวลาปกติตลอดทั้งปีเลยก็ได้
เฉินผิงอันมองน้ำในแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ไพล่นึกไปถึงลำคลองหลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝูของบ้านเกิด
ผู้เฒ่าพลันหันหน้ามายิ้มพูด “ถือว่าคุณชายอดทนจนได้ดิบได้ดีแล้ว”
เฉินผิงอันเกาหัว ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไร บอกว่าตัวเองไม่มีเงินก็เหมือนคนยืนพูดไม่ปวดเอว ยอมรับว่าตัวเองได้ดิบได้ดีแล้วก็เหมือนว่าจะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่
เผยเฉียนรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันมีอะไรให้พูดคุยกับผู้เฒ่าคนนี้นักหนา ในใจคิดว่าเวลาเจ้าอยู่กับผู้เฒ่าเหยาที่เป็นแม่ทัพใหญ่คนนั้นก็ไม่เห็นจะพูดอะไรเลยนี่นา
คนทั้งสามเงียบงันกันไปนาน จู่ๆ ผู้เฒ่าที่นั่งยองอยู่ริมแม่น้ำก็ถอนหายใจ มองไปทางผิวน้ำของแม่น้ำหมายเหอ “หากข้าพูดจาอัปมงคลไม่น่าฟังออกไป คุณชายอย่าได้โกรธเลยนะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ท่านลุงพูดมาได้เลย”
ผู้เฒ่าเอ่ยเบาๆ “ตอนที่บุตรชายของข้าอายุพอๆ กับคุณชายได้เจอกับคนน่าสงสารที่ไม่ควรงมขึ้นมา เขาไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อม ดึงดันจะงมขึ้นมาบนฝั่ง ผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็จากไป ข้าควรจะห้ามเขาเอาไว้”
ตอนที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ใบหน้าของผู้เฒ่าไม่ได้แสดงความเศร้าโศกมากนัก
สุดท้ายตอนที่ผู้เฒ่าจากไป เขาเอ่ยขอบคุณเฉินผิงอันหนึ่งคำ บอกว่าสุรารสชาติดี ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขายังไม่เคยดื่มสุราที่รสชาติดีแบบนี้มาก่อน
เฉินผิงอันลุกขึ้นมองส่งผู้เฒ่าที่เดินจากไปไกลเรื่อยๆ
เผยเฉียนยังคงไม่กล้ามองไปที่ผิวน้ำ
จูเหลี่ยนเดินย้อนกลับมาทางเดิมแล้ว เผยเฉียนถึงได้เริ่มใจกล้ามากขึ้น
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิมองไปยังฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำ บอกให้จูเหลี่ยนพาเผยเฉียนกลับจุดพักม้าไปก่อน เพียงแต่ว่าเผยเฉียนไม่ยอม ยืนกรานจะอยู่ข้างกายเฉินผิงอันให้ได้ จูเหลี่ยนจึงได้แต่อยู่ริมแม่น้ำเป็นเพื่อนนางต่อ
เฉินผิงอันหลับตาลงคล้ายนอนหลับ
เผยเฉียนหยิบก้อนหินขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย แต่ไม่กล้าโยนลงไปในแม่น้ำ กลัวว่าหากไม่ระวังจะขว้างไปโดนศพที่ยืนอยู่ในแม่น้ำเข้า พอนางคิดถึงภาพที่ศพของสตรีคนหนึ่งผมยาวแผ่สยายอยู่บนผิวน้ำก็ขนลุกพรึ่บไปทั้งตัว เผยเฉียนขยับเข้าไปใกล้เฉินผิงอันตามจิตใต้สำนึก มือกำไม้เท้าเดินเขาไว้แน่น เริ่มท่องเนื้อหาในตำราเล่มนั้นในใจเงียบๆ เพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง
จูเหลี่ยนที่หลังโก่งงอหรี่ตามองไปไกล
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ ภูตผีปีศาจอะไร
จูเหลี่ยนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ย่อมไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังอยู่แล้ว
เงียบงันกันไปนาน ท้องฟ้ามืดครึ้ม แล้วเผยเฉียนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “บนแม่น้ำมีสะพานได้อย่างไร?”
จูเหลี่ยนอึ้งงันไปครู่ มองตามสายตาของเผยเฉียนไป สะพานอะไรกัน มีแค่คลื่นน้ำที่ไหลซัดสาดเท่านั้น
เผยเฉียนพยายามเบิกดวงตาให้กว้าง ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ “ว้าว สะพานสีทอง!”
จูเหลี่ยนชำเลืองมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน แต่ก็ยังไม่เห็นความผิดปกติใดๆ
ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่คิดว่านังหนูนิสัยพิลึกพิลั่นคนนี้กำลังพูดจาเลื่อนเปื้อน ต่อให้เจ้าโกหกว่าบนแม่น้ำมีศพลอยมาก็คงน่าเชื่อกว่าบอกว่าบนแม่น้ำมีสะพานสีทองกระมัง
เผยเฉียนรู้สึกสงสัย สีหน้าเลื่อนลอย
เพราะเหมือนนางได้ยินเสียงท่องหนังสือของเฉินผิงอัน และเนื้อหาที่เฉินผิงอันท่องก็เป็นบทที่เขาบอกให้เผยเฉียนท่องจำขึ้นใจพอดี นี่คือสิ่งเดียวที่เฉินผิงอันเรียกร้องให้นางจดจำเว้นจากตำราลัทธิขงจื๊อเล่มนั้น อีกทั้งยังตั้งใจใช้เหล็กหมาดหิมะเขียนลงไปช่วงท้ายของตำราเล่มนั้นด้วย ดังนั้นเผยเฉียนจึงจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
เขาไม่เคยเต็มใจจะอธิบายหลักการเหตุผลใดๆ กับนาง เฉินผิงอันแค่พูดหลักการนอกตำรากับเฉาฉิงหล่างเท่านั้น เผยเฉียนจึงรู้สึกว่าประโยคนี้คือจุดเดียวที่นางเหนือกว่าเจ้าหนอนหนังสือน้อยผู้นั้น
เวลานี้นางที่ในใจอัดแน่นไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจจึงท่องบทนั้นออกมาเสียงดัง
คือประโยคที่ว่า “กลุ่มดาวบนฟ้าเคลื่อนโคจร ตะวันจันทราผลัดกันส่องแสง สี่ฤดูกาลผันเปลี่ยนควบคุมอากาศ หยินหยางเปลี่ยนแปลงหมื่นสรรพสิ่ง ลมฝนพร่างพรมทุกหย่อมหญ้า…”
คือประโยคที่ว่า “วิญญูชนไม่หุนหันพลันแล่น ทำการใดต้องมีเหตุผล วิญญูชนไม่พูดจาพร่ำเพื่อ จะพูดจาต้องมีเหตุผล วิญญูชนไม่ละโมบ ต้องแสวงหาในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม วิญญูชนไม่ประพฤติตัวจอมปลอม ต้องประพฤติตัวมีคุณธรรม!”
—–