ผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ โชคชะตาลำคลองและภูเขาของแคว้นเป่ยจิ้นถูกทำลายอย่างหนัก อีกไม่นานเจ้าเมืองเทพภูเขาจินหวงก็จะถูกคุมตัวส่งไปที่เมืองเซิ่นจิ่ง ส่วนศาลเทพวารีทะเลสาบซงหูที่ไม่ถูกกันมานานหลายร้อยปีก็ยิ่งพินาศเร็วกว่า พวกกากเดนที่เหลือของศาลเทพวารีมีเพียงพวกกุ้งหอยปูปลาตัวน้อยที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย หากไม่ทำให้พื้นที่แถบนั้นวุ่นวายก็ถือว่าเป่ยจิ้นโชคดีแล้ว
แต่เส้ายวนหรานก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหลุดหัวเราะพรืด ฮูหยินเทพภูเขาที่เพิ่งแต่งเข้าจวนเจ้าเมืองจินหวงกลับต้องกลายเป็นนักโทษในชั่วพริบตา สตรีผู้นี้โชคไม่ดีเลยจริงๆ เดิมนึกว่าสามีภรรยาจะได้ครองรักกันไปหลายร้อยปี น่าอิจฉายิ่งกว่าคู่ยวนยางชายหญิงในโลกมนุษย์ ไหนเลยจะคิดว่าจุดจบจะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมืองเซิ่นจิ่งจะจัดการกับนางอย่างไร
แต่เรื่องหยุมหยิมไม่สลักสำคัญเหล่านี้ก็เป็นแค่เรื่องสนุกน่าสนใจบนเส้นทางของการฝึกตนเท่านั้น
สิ่งที่สายตาของเส้ายวนหรานมองเห็นคือความอิสระเสรีบนมหามรรคาของเหล่าผู้อาวุโสเซียนดินทั้งหลาย สิ่งที่ในใจของเขาคิดถึงคือความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย มีชีวิตยืนยาวเคียงคู่ฟ้าดิน
ความห้าวเหิมเอ่อล้นอยู่ในใจของเส้ายวนหราน เห็นว่าบนชายฝั่งทั้งสองด้านของลำคลองหมายเหอไร้ผู้คนจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “อาจารย์ ข้าจะลองเลียนแบบเจียวหลงลงแม่น้ำดูบ้าง!”
นักพรตหนุ่มแห่งอารามจินติ่งกล่าวจบก็พลิ้วกายไปที่ผิวน้ำ เอาเท้าเหยียบลงไปเบื้องล่าง ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าของเขาสัมผัสกับน้ำก็จะมีสะเก็ดน้ำลูกใหญ่ยักษ์กระจายออกมา เพียงแต่ว่าบนชุดเต๋าของเขากลับไม่เปียกน้ำสักหยด
อิ่นเมี่ยวเฟิงยังคงทะยานตัวอยู่ริมลำคลอง เห็นท่าทางของลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตัวเองแล้วก็ด่ากลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าเด็กบ้า วันหน้าเป็นเซียนพสุธาแล้วยังจะทำตัวแบบนี้อีกไหม?!”
……
เฉินผิงอันรู้แค่ระยะห่างและตำแหน่งคร่าวๆ ของศาลเทพวารีเท่านั้น แต่โชคดีที่แค่ล่องไปตามลำน้ำแล้วคอยจับตามองชายฝั่งทั้งสองข้างก็พอ
ตามคำบอกของเหยาเจิ้นและเหยาจิ้นจือ ตอนล่างของลำคลองซึ่งห่างจากจุดพักม้าไปสามร้อยลี้ก็คือที่ตั้งของศาลเทพวารีหมายเหอแล้ว ศาลแห่งนี้สร้างขึ้นบนภูเขาลูกเล็กไร้นาม เนินเขาราบเรียบ ทุกวันที่หนึ่งถึงสิบห้าของเดือนสามของทุกปี งานจุดธูปบูชาเทพเจ้าจะมีคนมารวมตัวกันมากถึงหลายร้อยคน คึกคักมากเป็นพิเศษ ขุนนางและชนชั้นสูงของเขตการปกครองที่อยู่ใกล้เคียงก็จะตั้งโรงทานแจกโจ๊กแจกน้ำชาระหว่างช่วงที่มีงานวัด
ตอนนั้นเหยาเจิ้นพูดทอดถอนใจหนึ่งประโยค บอกว่าการเปิดจวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำคือธรณีประตูใหญ่แห่งที่หนึ่ง หากสามารถเลื่อนขั้นจวนให้เป็นตำหนักได้ นั่นถึงจะเรียกว่าบรรลุถึงระดับที่สูงส่งอย่างแท้จริง
ไม่ต่างจากการที่ตระกูลเซียนบนภูเขาได้รับคำว่าจง (สำนัก) ใส่เข้ามาในชื่อ
ส่วนเหยาจิ้นจือกลับพูดถึงเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งของศาลเทพวารี บอกว่าในห้องปีกข้างตั้งบูชาเทวรูปของเจ้าแม่หลิงก่านไว้องค์หนึ่ง ซึ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องการประทานบุตรอย่างมากจนชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทิศ แทบทุกวันจะต้องมีสตรีแต่งงานแล้วจากแดนไกลเดินทางมาเยือน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนจากตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยที่ตั้งครรภ์ได้ยาก เมื่อมาถึงจะมายังเรือนปีกข้างของศาลเทพวารีแห่งนี้ จุดธูปกราบไหว้ บริจาคเงินเล็กน้อยก็สามารถขอตุ๊กตาดินเหนียวตัวจิ๋วที่ตรงเอวผูกด้ายสีแดงจากหญิงชราที่เฝ้าศาลไปได้หนึ่งตัว เอาไปผูกไว้ที่ข้อมือ หากกลับบ้านเกิดแล้วมีลูกได้สมใจปรารถนาก็ไม่จำเป็นต้องเอากลับมาคืน แค่ห้ามทิ้งตุ๊กตาดินเหนียวที่เอากลับบ้าน ต้องเอาไปบูชา ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อเจ้าแม่หลิงก่านอยู่ไกลๆ
แต่สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการเห็นอย่างแท้จริงคือศิลาหยกขาวขนาดใหญ่สองร้อยกว่าก้อนที่อยู่ด้านหน้าศาลเทพวารีแห่งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนจารึกบทกวีและคำแซ่ซ้องสรรเสริญที่คนในราชสำนักและนักประพันธ์เขียนให้แก่เทพวารีลำคลองหมายเหอหลังจากที่เทพวารีลำคลองหมายเหอช่วยขจัดภัยแล้งให้แก่สกุลหลิวต้าเฉวียน
ไม่ถึงสองชั่วยาม เฉินผิงอันที่คอยเหลียวซ้ายแลขวา ‘ล่องลอย’ ไปตามกระแสน้ำอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็มาถึงภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ริมน้ำ
ม่านราตรีมืดดำ ประตูใหญ่ของศาลเทพวารีปิดสนิท แต่เฉินผิงอันยังคงมองเห็นแสงโคมไฟที่ส่องสว่างแจ่มจ้าจากที่แห่งนั้นได้ไกลๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เฉินผิงอันมองเห็นศาลเทพวารีได้ในปราดเดียว
เฉินผิงอันพลันตระหนักได้ว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้ แม้เผยเฉียนและจูเหลี่ยนจะมองไม่เห็น แต่หากในศาลเทพวารีมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางอยู่เล่า? เขาจะมองเห็นแล้วคิดว่าตนเป็นพวกภูตผีปีศาจที่ออกอาละวาดยามค่ำคืนหรือไม่?
นี่ทำให้เฉินผิงอันเริ่มลังเล
หรือระยะทางสามร้อยลี้ที่ล่องลอยมานี้จะเสียเที่ยว? หากบวกกับระยะทางกลับด้วยก็ตั้งหกร้อยลี้เชียวนะ
แต่คิดไปคิดมา เฉินผิงอันที่ลอยตัวอยู่ใจกลางลำคลองหมายเหอก็ยังตัดสินใจว่าจะลองขยับเข้าไปใกล้ชายฝั่งดู ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือได้แค่มองประตูศาลเทพวารีไกลๆ แล้วถูกคนเฝ้าศาลหรือไม่ก็ผู้ฝึกตนของที่แห่งนี้จับได้ จากนั้นถูกไล่ฆ่าเป็นระยะทางสามร้อยลี้ คงต้องขอให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยมช่วยออกหน้าอธิบายให้
และเวลานี้เอง น้ำเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหู “จิตหยินออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืน? เฉินผิงอัน เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่หรือ? หัดมีเหตุผลบ้างได้ไหม?”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ห่างไปประมาณสามสิบก้าว มีบัณฑิตชุดเขียวคนหนึ่งนั่งยองอยู่บนผิวน้ำ สองมือของเขาขยุ้มเส้นผมกำใหญ่ราวกับกำลังจะกระชากหัวใครออกมาจากในลำคลอง
เขาก็คือจงขุย
เฉินผิงอันขยับมาอยู่ข้างกายจงขุย ถามว่า “นี่คือ?”
จงขุยเงยหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่นี้ข้ากำลังแย่งจองพื้นที่กับคนอื่นที่ศาลเทพวารี คิดว่าพอฟ้าสว่างแล้วจะได้จุดธูปเป็นคนแรก ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ให้จิ่วเหนียงมองข้าแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาน้อยลงอีกนิด”
เฉินผิงอันชี้ไปยังเส้นผมที่อยู่ในมือจงขุย “ข้าหมายถึงเจ้านี่”
จงขุยเหลือกตามองบน “ผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมในน้ำน่ะสิ ยังจะเป็นอะไรไปได้อีกแล้ว น่าจะถูกจิตหยินของเจ้าดึงดูดมา เมื่อกินเจ้าเข้าไปแล้ว รับรองว่าตบะของมันต้องเพิ่มขึ้นพรวดพราดแน่นอน ข้าเห็นมันโผล่หัวออกมา แต่หน้าตากลับไม่ได้เละเทะอัปลักษณ์เหมือนผีพรายทั่วไป กลับกันยังงดงามไม่น้อย ข้าเลยอยากจะมาปรึกษากับผีสาวตัวนี้ดูหน่อยว่ามันจะออกมาคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าได้ไหม”
เพราะจงขุยไม่ได้ปล่อยจิตหยินและจิตหยางออกจากกายเหมือนอย่างคืนนั้น ปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ทั่วร่างจึงไหลออกมาอย่างกำเริบเสิบสาน คืนนี้เขาจงใจอำพรางลมปราณเหมือนยามปกติที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ดังนั้นเหล่าผีพรายใต้น้ำจึงไม่ได้ตัวสั่นเทิ้มรีบจมดิ่งลงไปในจุดที่ลึกที่สุดใต้น้ำเหมือนอย่างคืนนั้น หาไม่แล้วต่อให้จงขุยแค่เข้าใกล้ศาลเทพวารี เกรงว่าวิญญาณของพวกผีพรายในลำคลองหมายเหอก็คงแหลกสลายกันไปหมดแล้ว
ในชายแขนเสื้อสองข้างของจงขุยยังมีลมฤดูใบไม้ร่วงที่เยียบเย็น ซึ่งมันไม่มีทางสนใจว่าเจ้าจะเป็นผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมหรือผีร้ายที่สมควรโดนกรรมตามสนอง
เฉินผิงอันมองเส้นผมสีนิลของผีสาวที่อยู่ในมือจงขุย แล้วค่อยมองจงขุยที่กำลังชักคะเย่อกับผีสาว
เฉินผิงอันถามว่า “สนุกไหม?”
จงขุยพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองศาลเทพวารีที่อยู่ห่างไปไกล
จงขุยปล่อยเส้นผมในมือออก เงาหยินใต้น้ำเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบเผ่นแน่บหายวับไปทันที
จงขุยลุกขึ้นยืน ยื่นมือมากดไหล่จิตหยินของเฉินผิงอัน เอ่ยกลั้วยิ้ม “เพ่งมองให้ละเอียดก็จะรู้แล้วว่าสนุกหรือไม่สนุก”
ทันใดนั้นคนทั้งสองก็จมวืดลงไปใต้น้ำ
จิตหยินออกมาท่องเที่ยวตอนกลางคืน สรรพสิ่งในโลกที่มองเห็นล้วนสว่างจ้าราวกับเวลากลางวัน
ต่อให้อยู่ในน้ำ แต่เมื่อมองไป เส้นสายตาก็ยังไม่ถูกขัดขวาง ความสามารถในการมองเห็นเท่าเทียมกับตบะวิถีวรยุทธ์ของร่างจริงเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเคยเห็นภูตผีปีศาจมานักต่อนักแล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึก…สะอิดสะเอียน
ห่างออกไปไม่ไกลก็คือศาลเทพวารีและชาวบ้านที่ถือโคมไฟ
แต่ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ รอบกายของเฉินผิงอันและจงขุยที่อยู่ใต้น้ำของลำคลองหมายเหอจึงมีผีพราย ‘ยืน’ เบียดเสียดกันอย่างแออัด พวกมันยืนนิ่งไม่ขยับ ส่วนใหญ่ล้วนสวมชุดสีขาวหิมะ เส้นผมที่ดำสนิทเป็นพิเศษแผ่คลุมปิดบังใบหน้า ทิ้งตัวยาวลงมาจนถึงช่วงเอว คล้ายหมวกคลุมหน้าที่เรียกว่างอบสตรีในห้องหอซึ่งคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้สำรวมตนมักจะสวมใส่ยามออกมาข้างนอก
ไม่เพียงเท่านี้ เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองก็เห็นดวงตาสีเงินคู่หนึ่งที่ใหญ่ราวโคมไฟ ประกายสายตาที่เย็นชาผิดปกติกำลังจ้องเขม็งมาที่พวกเขาสองคน แต่กลับเห็นเรือนกายของมันไม่ชัดเจน
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันอย่างน้อยหนึ่งลี้ ทว่าดวงตาคู่นั้นยังใหญ่โตขนาดนี้ แค่คิดก็พอจะรู้ได้ว่าหากมองใกล้ๆ เจ้าสิ่งนี้จะมีขนาดใหญ่มโหฬารขนาดไหน
จงขุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มันและพวกผีพรายล้วนถูกเจ้าดึงดูดมา เพียงแต่ไม่กล้าจับเจ้ากิน หนึ่งเพราะถึงแม้จิตหยินตนนี้ของเจ้าเป็นแค่ตัวอ่อนที่มีแค่เค้าโครงรูปร่าง แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่างไปจากจิตหยินทั่วไป พวกมันจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม เพียงแต่เพราะอยากกินเจ้าจริงๆ จึงมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง อีกอย่างคือพวกมันมีเจตนาชั่วร้ายอย่างอื่น นั่นคือหวังให้เจ้าไปรบกวนปีศาจใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำตนนั้น เมื่อเกิดการเข่นฆ่ากัน พวกมันก็จะได้รับส่วนแบ่ง ผลคือเจ้ามาหยุดอยู่ที่ศาลเทพวารีแล้วไม่ขยับต่ออีก ปีศาจใหญ่ใต้น้ำตนนั้นคงโมโหเจ้าแทบคลั่งแล้ว แต่ก็ไม่กล้าวู่วาม ถึงอย่างไรจวนปี้โหยวของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอก็ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลนัก”
ในเมื่อมาแล้วก็ควรอยู่ให้สบายใจ
เฉินผิงอันจึงกวาดตามองไปรอบด้าน คิดว่ากำลังชื่นชมทัศนียภาพ
จงขุยก็มองตามไปด้วย ก่อนจะตะโกนขึ้นว่า “แม่นางผีพรายที่หน้าตางดงามคนเมื่อครู่นี้ยังอยู่ไหม? หากเจ้าไม่อยากเป็นผีพรายอยู่ที่นี่ต่อไป ข้าสามารถตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ส่วนข้อที่ว่าจะได้ไปเกิดใหม่หรือไม่ ข้าไม่กล้ารับรอง แต่หากจะให้ช่วยเจ้าหลุดพ้นจากพันธนาการของปีศาจใหญ่ใต้น้ำตนนั้น ไม่ต้องคอยช่วยมันก่อกรรมทำชั่วอีก กลับไม่ยาก”
โคมไฟคู่นั้นขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายส่วน
เฉินผิงอันหรี่ตามองไปตามจิตใต้สำนึก
คล้ายกับเวลาไปตกปลาไหลในท้องนาตอนเป็นเด็ก เวลาที่เห็นหัวและตัวมันเลื้อยส่ายไปอย่างเชื่องช้า เขาก็จะหรี่ตาแบบนี้
ลองกะประมาณดูคร่าวๆ แล้ว ปีศาจใหญ่แห่งลำคลองหมายเหอตนนี้น่าจะใหญ่กว่างูเหลือมขาวดำสองตัวที่อยู่บนภูเขาฉีตุนอยู่มาก
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เทพวารีลำคลองหมายเหอไม่คิดจะจัดการมันเลยหรือ?”
จงขุยเอ่ยยิ้มๆ “ไม่จัดการ? ทำไมจะไม่จัดการเล่า การที่เจ้าแม่เทพวารีที่นิสัยฉุนเฉียวท่านนั้นไม่ชอบเผยกายก็เพราะพยายามจะสังหารปีศาจตนนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้รากฐานของร่างทองได้รับความเสียหายไปแล้วถึงสามครั้ง แทบทุกๆ สามสิบสี่สิบปีจะต้องออกมาสั่งสอนปีศาจใหญ่ตนนี้ครั้งหนึ่ง ภายในหนึ่งร้อยปียังต้องเปิดฉากสังหารอย่างจริงจังหนึ่งครั้ง ครั้งที่เลวร้ายที่สุด ร่างทองในศาลเทพวารีของนางถึงกับเกิดรอยปริแตก จวนปี้โหยวก็จมน้ำไปเกินครึ่ง”
เฉินผิงอันยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม “ราชสำนักไม่ช่วยกันล้อมปราบปรามมันหรือ? หากราชสำนักต้าเฉวียนทำไม่ได้ แล้วสำนักศึกษาของพวกเจ้าไม่สนใจเลยหรือ?”
จงขุยสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “เรื่องราวในโลกไม่ง่ายดายหรอกนะ ปีศาจใหญ่ตนนี้สามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ นอกจากตบะของมันแล้วยังอาศัยมันสมองของมันที่มีมากด้วย อีกอย่างภาคกลางของใบถงทวีปใหญ่ขนาดนี้ สำนักต้าฝูมีคนน้อยนิดแค่นั้น และคนที่สามารถฆ่าปีศาจใหญ่ตนนี้ได้ก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก บัณฑิตในสำนักศึกษาต้องอบรมบ่มเพาะตัวเอง ทุกวันจะต้องอ่านตำราศึกษาหาความรู้ ยุ่งมากเลยล่ะ เดี๋ยวก็ต้องช่วงชิงตำแหน่งนักปราชญ์ ตำแหน่งวิญญูชน เป็นอริยะ คนที่สามารถเป็นอริยะใหญ่ซึ่งมีรูปปั้นตั้งอยู่ในศาลบุ๋นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ นอกจากจะต้องอ่านตำราแล้วยังมีเรื่องให้ทำอีกมาก อีกอย่างเดิมทีราชสำนักต้าเฉวียนก็มีวิญญูชนอยู่คนหนึ่งอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ในใจกระจ่างแจ้ง
การเดินทางในพื้นที่มงคลดอกบัวคราวนั้น เขาได้เห็นชีวิตสารพัดรูปแบบในโลกมนุษย์มาแล้ว
แค่จงขุยบอกว่ามีวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษาเฝ้าพิทักษ์ราชวงศ์ต้าเฉวียน เฉินผิงอันขบคิดเล็กน้อยก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง คิดดูแล้วการแข่งขันกันของแต่ละสำนักก็มีอยู่ในสำนักศึกษาเช่นกัน
แต่คำพูดอันดับถัดมาของจงขุยทำให้เฉินผิงอันได้เปิดโลกทัศน์ เขาชี้ไปที่โคมไฟคู่ที่อยู่ใต้น้ำแล้วกล่าวว่า “เจ้าลองถลึงตามองข้าอีกสักครั้งดูสิ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจ้าส่งไปเป็นของขวัญแสดงความยินดีแก่เทพวารีลำคลองหมายเหอ?”
ปีศาจใหญ่ตนนั้นค่อยๆ ถอยกลับไป
ผีพรายพวกนั้นก็แยกย้ายกันตามไปด้วย
เฉินผิงอันถาม “ของขวัญแสดงความยินดี?”
จงขุยพยักหน้ารับ “การที่ข้าเดินทางมาที่นี่ก็เพราะได้ข่าวว่าจวนปี้โหยวของลำคลองหมายเหอจะได้แหกกฎเลื่อนเป็นตำหนักปี้โหยวแล้ว การตัดสินใจนี้ของสกุลหลิวต้าเฉวียน สำนักศึกษาของพวกเราให้การยอมรับโดยปริยาย ซึ่งอันที่จริงราชวงศ์ต้าเฉวียนไม่มีคุณสมบัติจะแต่งตั้ง ‘ตำหนัก’ นี้ คาดว่านี่น่าจะเป็นฝีมือล้อมคอกหลังวัวหายของวิญญูชนในเมืองเซิ่นจิ่งผู้นั้น”
เทพวารีแห่งลำคลองท่านหนึ่งที่ได้รับคำว่า ‘สืบทอดระบบดั้งเดิม’ นั้นจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากทางราชสำนักเสียก่อน จากนั้นกษัตริย์จะออกราชโองการแต่งตั้ง กรมพิธีการมอบหนังสือทองป้ายหยกหรือสัญญาเงินตำราเหล็กให้ พอได้รับการบันทึกชื่อลงในผังรายชื่อของราชสำนักแล้วก็จะมีคุณสมบัติสร้างศาล สร้างร่างทองคำ ได้รับควันธูปจากโลกมนุษย์ ขณะเดียวกันยังต้องได้รับการยอมรับจากสำนักศึกษาในทวีปที่อยู่ใกล้เคียงด้วย ไม่อย่างนั้นก็ยังเป็นได้แค่ศาลที่ถูกต้องของแคว้น แต่กลับเป็นศาลเถื่อนของในทวีป ศาลเล็กๆ ของเทพภูเขาในท้องถิ่นบางแห่งอาจไม่ต้องให้ความสนใจก็ได้ แต่หากเป็นศาลเทพวารีขนาดใหญ่ จะถูกมองว่ามีมรรคายิ่งใหญ่แต่ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะต้องพยายามขอร้องให้ฮ่องเต้ขอตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งมาจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ เอามาตั้งบูชาเพื่อให้ได้รับควันธูปร่วมกัน
ส่วนข้อที่ว่าตำราลัทธิขงจื๊อนั้นเป็นผลงานของอริยะท่านไหนจะถูกกำหนดตามที่เห็นสมควร โดยทั่วไปแล้วสำนักศึกษาจะตัดสินใจให้โดยดูตามสถานการณ์ แต่ก็มีเทพวารีส่วนน้อยที่นิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างหรือมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าต้องการตำราเล่มไหนของอริยะท่านใด
แต่สถานการณ์เช่นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ในใบถงทวีปก็ยิ่งหายาก พันปีถึงจะพานพบสักครั้ง เทพวารีที่กล้าแข็งข้อกับสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งในใต้หล้าไพศาลจะมีมากได้อย่างไร?
จงขุยไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่เฉินผิงอัน การที่เขาออกจากเมืองหูเอ๋อร์ชั่วคราว มาเข้าร่วมเรื่องครึกครื้นในครั้งนี้ก็เพราะเจ้าแม่เทพวารีที่นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดเป็นที่เลื่องลือคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหลต่อสำนักศึกษาต้าฝูและสกุลหลิวต้าเฉวียนกับการที่จวนของตัวเองจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนัก กลับกันยังป่าวประกาศว่านางต้องการตำราของอริยะเล่มหนึ่งมาวางไว้ในตำหนักเทพวารี หาไม่แล้วนางก็ยอมแขวนป้าย ‘จวนปี้โหยว’ ต่อไป
ซึ่งทุกวันนี้ตำราอริยะปราญ์เล่มนั้นกลับไม่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘อริยะปราชญ์’ เลยแม้แต่นิดเดียว
นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ทำให้สกุลหลิวต้าเฉวียนรวดร้าวมากที่สุด
เพราะตำราเล่มนั้นเขียนโดยเหวินเซิ่งในอดีต
พอจงขุยได้ยินว่ามีเรื่องวุ่นวายนี้เกิดขึ้นก็รู้สึกว่าตนต้องเดินทางมาเยือนจวนปี้โหยวให้ได้
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับเฉินผิงอันที่ปล่อยจิตหยินออกมาเดินทางยามค่ำคืนก็เท่านั้น
—–