นางถามขึ้นอย่างเชื่องช้า “เฉินผิงอัน เจ้าเคยพบท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ถ้าอย่างนั้นท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสมกับเป็นภูเขาสูงที่ผู้คนต้องแหงนหน้ามอง พูดเป็นบทความ คำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากล้วนทำให้คนเคารพเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ ได้ฟังสัจธรรมแห่งมหามรรคาที่ทั้งลึกล้ำและตื้นเขินเหล่านั้นแล้วก็จะเกิดความรู้สึกแค่ว่าชั่วชีวิตของคนรุ่นหลังอย่างพวกเราก็ได้แต่โขกศีรษะคำนับอย่างเดียว ใช่หรือไม่?”
สีหน้าของเจ้าแม่เทพวารีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาสดใส
โชคดีที่เฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่อย่างนั้นเหล้าคงพุ่งพรวดออกจากปากเขาเป็นแน่
เผยเฉียนไม่รู้ว่าท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่เจ้าแม่เทพวารีพูดถึงเป็นใคร แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนว่าเฉินผิงอันจะรู้จักผู้เฒ่าที่ร้ายกาจมากคนนั้น นางจึงรู้สึกมีเกียรติไปด้วย จึงยกสองแขนกอดอกอย่างภาคภูมิใจ
เฉินผิงอันดื่ม ‘เหล้าบุปผา’ ร้อยปีของจวนปี้โหยวที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งคำ ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดใจทำลายภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าในใจของเจ้าแม่เทพวารีไม่ลง จึงเลือกที่จะพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าย่อมมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่มากอยู่แล้ว อีกทั้งนิสัยยังดียิ่ง เป็นมิตรกับทุกคน ไม่เคยวางท่าโอ้อวดตน เวลาอยู่ข้างนอกก็…เข้ากับคนได้ง่ายมาก”
จะเข้ากับคนไม่ง่ายได้หรือ ตัวเล็กๆ แบบนั้น ท่องเที่ยวไปทั่วหล้า ด้วยลักษณะของบัณฑิตเฒ่ายากจนของเขา เปลี่ยนจากคำว่าเข้ากับคนได้ง่ายมาเป็นรูปลักษณ์ธรรมดาไม่น่าตกตะลึงจะเหมาะสมยิ่งกว่า เทียบกับจงขุยที่อยู่โรงเตี๊ยมยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ชอบหลอกให้คนอื่นดื่มเหล้า ดื่มเหล้าแล้วก็แสร้งเมาไม่จ่ายเงิน เวลาเมาเหล้าก็มีสภาพไม่น่าดูนัก
ทว่าคำพูดที่เป็นความจริงเหล่านี้ เฉินผิงอันตัดใจพูดกับเจ้าแม่เทพวารีไม่ลง
กลัวว่าหากไม่ระวังจะทำให้จิตแห่งเต๋าของนางพังทลาย
คราวนี้เจ้าแม่เทพวารีไม่ใช้ถ้วยขาวใบใหญ่ดื่มเหล้าแล้ว แต่หิ้วไหเหล้าขึ้น แหงนหน้ากรอกใส่ปากคำใหญ่ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเป็นดั่งท้องนภาที่อยู่เบื้องบน…อย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ ด้วย! ความรู้สูงส่งดุจแผ่นฟ้า แต่กลับยังเศร้าอาดูรและเจ็บแค้นต่อการที่ประชาชนตกทุกข์ได้ยาก ท่องไปใต้หล้า เป็นมิตรปรองดอง ปฏิบัติต่อคนบนโลกเป็นอย่างดี ทว่าปีนั้นท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งกลับได้อยู่แค่ในอันดับที่สี่ของศาลบุ๋นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไม่ได้ถูกบูชาไว้ฝั่งซ้ายขวาของปรมาจารย์มหาปราชญ์ ทำแบบนี้ได้อย่างไร!”
เจ้าแม่เทพวารีพูดจ้อ ทวงความยุติธรรมคืนให้กับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่ตัวเองเคารพเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดไม่หยุด
เฉินผิงอันไม่ได้ร่วมพูดคุยไปกับนาง แต่กลับคิดถึงบัณฑิตที่แท้จริงหลายคน รวมไปถึงคนที่เลื่อมใสในตัวของบัณฑิต อาจารย์ของอาจารย์ฉี อาจารย์ฉี จ้งชิวในพื้นที่มงคลดอกบัวที่เหมือนอาจารย์ฉีอย่างมาก เขาเฉินผิงอัน รวมไปถึงเฉาฉิงหล่างเด็กชายคนนั้นที่เหมือนตนอย่างมาก
สรรพสิ่งมากมายบนโลกมนุษย์มีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล สุดท้ายแล้วล้วนต้องตกไปอยู่ในจุดหนึ่ง จุดใดที่ใจข้าสงบ จุดนั้นก็คือบ้านเกิดของข้า
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว เหล้าที่รสชาติดีขนาดนี้ ทำให้หวนนึกไปถึงคนและเรื่องราวที่งดงามเหล่านั้น การพูดถึงลำดับขั้นตอนของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง การไม่ผิดหวังของอาจารย์ฉี การถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายของจ้งชิว การมีความหวังของเฉาฉิงหล่าง วันนี้เขาเฉินผิงอันไม่มีทางดื่มเหล้าจนเมาเละเป็นผีขี้เหล้าแน่นอน แต่ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเหมือนอย่างที่อาเหลียงบอกนั่นคือ ดื่มจนกลายเป็นเซียนสุรา
คนหนึ่งพูดอยู่กับตัวเอง อีกคนหนึ่งก็จินตนาการอยู่กับตัวเอง ต่างคนต่างดื่มเหล้าโดยไม่ต้องให้มีใครชวน
เหล้าบุปผาของจวนปี้โหยวที่บอกว่าหมักเก็บไว้นั้น คำว่าเก็บคือเก็บไว้ในแก่นน้ำของลำคลองหมายเหอ เก็บไว้ทีก็นานเป็นร้อยปี เหล้าจึงหมักตัวเองจนได้รสชาติกลมกล่อมกินง่าย ทว่าฤทธิ์กลับไม่ใช่น้อยๆ
เจ้าแม่เทพวารีดื่มเหล้าจนเมาแล้วจริงๆ นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ ศีรษะเอียงส่ายไปมา บอกว่าตัวเองอิจฉาเฉินผิงอันจะตายอยู่แล้วที่เคยได้เจอกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง แถมยังสนิทสนมกับอริยะผู้เฒ่าขนาดนี้ ชีวิตนี้ของเขาสมบูรณ์แบบยิ่งนัก แต่นางกลับไม่มีความโชคดีนี้ ทุกวันต้องนั่งอยู่บนแท่นบูชา ศาลเทพวารีที่มองดูเหมือนควันธูปแผ่อบอวลโชติช่วงยิ่งกว่าเมืองเซิ่นจิ่ง ทว่าในควันธูปเหล่านั้นกลับปะปนไปด้วยความอยากได้อยากมี ใจที่เห็นแก่ความปรารถนาส่วนตัว มีคำขอหลายอย่างที่นางไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นขอเงินทอง ขอให้ร่ำรวย ขอบุตร ขออำนาจ นางแค่อยากจะถามท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งต่อหน้าว่า เหล่าอริยะพูดหลักการเหตุผลมากมายขนาดนั้น ในศาลบุ๋นเองก็มีเทวรูปตั้งไว้หลายองค์ บัณฑิตที่ศึกษาตำราอริยะปราชญ์มาจนเต็มอิ่มมีมากดุจขนวัว เหตุใดโลกถึงยังย่ำแย่ขนาดนี้ มักทำให้คนผิดหวังอยู่เสมอ ทำให้นางยิ่งชื่นชอบโลกใบนี้ไม่ลงไปทุกที
หลังจากบ่นพึมพำจบ เจ้าแม่เทพวารีก็เริ่มนับนิ้วเอ่ยประโยคดั้งเดิมในตำราของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง บ่นว่าหลักการดีๆ แบบนี้ เหตุใดคนบนโลกถึงไม่เต็มใจเรียนรู้ เป็นเพราะความรู้ของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสูงส่งเกินไปจนคนบนโลกเอื้อมไม่ถึงหรือไร? สุดท้ายนางยกสองมือเกาหัวด้วยความเลื่อนลอยสับสนอย่างถึงที่สุด
เผยเฉียนกลอกตามองบน เอาล่ะ วันหน้าตนอย่าดื่มเหล้าเลยดีกว่า หากนางดื่มเหล้าแล้วสติเลอะเลือนเหมือนเจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ คงน่าขายหน้ายิ่งนัก
เวลาเฉินผิงอันดื่มเหล้ามีอยู่ข้อดีที่สุดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือก่อนหน้าที่เขาจะดื่มจนเมาพับ ยิ่งดื่มดวงตาของเขาจะยิ่งเป็นประกาย ร่างทั้งร่างเหมือนเปลี่ยนมาเป็นคนใหม่ คิ้วตาเบิกบานสดใส ประหนึ่งวิชาหมัดที่ไม่ถูกกักเก็บไว้อีกต่อไป แต่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ราวกับว่ากลิ่นอายของสุราได้กดทับกลิ่นอายของความสุขุมแก่เกินวัยของเด็กหนุ่มลงไปจนหมด
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ายิ่งดื่มแล้วเฉินผิงอันจะยิ่งมีสติจริงๆ เพราะเมื่อดื่มเหล้าเมาแล้ว เขาจะสะกดกลั้นนิสัยและจิตดั้งเดิมที่แท้จริงของตัวเองไว้ไม่ได้ ก่อนจะดื่มเหล้า เขาวางตัวระมัดระวังรอบคอบ ราวกับว่าใช้สองมือปิดกระจกทองแดงบานหนึ่งเอาไว้ตลอดเวลา หรือไม่ก็ใช้สองมือบดบังตะเกียงดวงหนึ่งในห้องที่เรียบง่ายเอาไว้ ไม่ยินดีให้คนนอกได้มองเห็น แต่พอดื่มเหล้าเข้าไปก็เหมือนเขาปล่อยมือทั้งสองข้างออก ปลดปล่อยประกายแสงเจิดจ้า สาดส่องสี่ทิศให้สว่างไสว แล้วใครจะขัดขวางได้?
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงบนโต๊ะหนักๆ พูดเสียงดังกังวาน “ความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสูงส่งมากเกินไปแล้วใช้ไม่ได้ผลอย่างนั้นรึ? ใช้ได้ผลมากนักล่ะ ข้าจะพูดให้เจ้าฟัง ความรู้นี้ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้มุมใดในสี่มหาสมุทรก็ล้วนถูกต้องเหมาะสม คนดีเรียนได้ คนชั่วร้ายเรียนได้ ฮ่องเต้ แม่ทัพ อัครเสนาบดีเรียนได้ พ่อค้าหาบเร่ คนตัดฟืนก็เรียนได้ เทพเซียนบนภูเขาก็เรียนได้ ภูตผีปีศาจก็เรียนได้เช่นกัน แล้วเทพแห่งภูเขาและแม่น้ำล่ะ? ก็เรียนได้เหมือนกัน! ส่วนข้อที่ว่าเรียนแล้วจะยินดีนำไปใช้หรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากที่ได้เรียนไปแล้ว เรียนความรู้ข้อนี้ไปก่อนย่อมมีประโยชน์แน่นอน!”
เฉินผิงอันขยับนั่งตัวตรงอย่างสำรวมตามจิตใต้สำนึก เขาเลียนแบบวิญญูชนจงขุย ยิ่งเลียนแบบอาจารย์ฉียามที่สอนหนังสือ “เมื่อเรียนรู้ความรู้ที่แท้จริงบนโลกไปแล้วก็จะทำให้ต้นกำเนิดของแหล่งน้ำที่ไหลลงสู่ผืนนาในหัวใจกลายเป็นน้ำที่มีชีวิต! ข้ารู้สึกว่าความรู้นี้ของท่านอาจารย์ผู้เฒ่า การอธิบายสองคำว่าเรียงลำดับนั้น ก็คือความรู้ที่ยิ่งใหญ่ คือความรู้ที่แท้จริง ทุกคนสามารถเรียนได้! เจ้าจะเรียนหรือไม่?!”
ดวงตาของเจ้าแม่เทพวารีเลื่อนลอย มึนๆ งงๆ ตบโต๊ะกล่าวว่า “เจ้าว่ามา แล้วข้าจะลองเรียนดู!”
เฉินผิงอันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ใช้นิ้วเขียนสองคำว่าเรียงลำดับลงบนผิวโต๊ะ “หัวใจหลักของความรู้เรื่องนี้ก็คือสองคำว่าเรียงลำดับนี้! นอกเหนือจากระเบียบของหลักเกณฑ์พิธีการแล้ว นี่ยังเป็นการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ดั่งลำคลองแม่น้ำสายใหญ่ที่ประทานความกรุณาให้แก่ปวงประชา! สิ่งที่ข้าเฉินผิงอันเรียนมาไม่ลึกซึ้งและไม่มาก แต่บอกได้แค่ว่าเรื่องที่ข้ารู้ หลักการที่ข้าเข้าใจ ล้วนไม่มีคำว่าผิด! ตอนนี้ข้าจะใช้เนื้อหาที่ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าพูดกับข้าในคืนนั้นมาเป็นบทเปิดของการอธิบายสาระสำคัญของคำว่าเรียงลำดับนี้!”
เฉินผิงอันเอาเนื้อหาบทเปิดอันเป็นจุดสาระสำคัญที่ได้นั่งคุยกับอาจารย์ผู้เฒ่าคืนนั้นมาพูดซ้ำอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ โชคดีที่เฉินผิงอันความจำดี ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมาก็ยังกล่าวได้ครบถ้วนไม่มีผิดพลาด
บทที่หนึ่ง แบ่งออกเป็นก่อนหลัง เรื่องราวบนโลกล้วนมีต้นสายปลายเหตุ มีไปมีมา ไม่อาจข้ามขั้นตอนช่วงต่อใดๆ ไปได้ หากเลือกแต่จะพูดถึงหลักการเหตุผลที่ตัวเองอยากพูด เรื่องราวทั้งหลายบนโลกใบนี้ก็คงไม่อาจแยกแยะถูกผิดได้ตลอดกาล ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่ามีแต่จุดยืน แต่ไม่มีถูกผิด ราวกับว่าคนบนโลกล้วนน่าสงสาร ล้วนน่ารังเกียจ? ถ้าอย่างนั้นจะยังพูดถึงหลักการเหตุผลที่แท้จริงอีกได้อย่างไร? หรือว่าต่างคนต่างพูดในส่วนของตัวเองไป หลักการเหตุผลอธิบายไม่ได้ก็ได้แต่ใช้หมัดแทนคำพูดอย่างนั้นหรือ? เหลวไหลสิ้นดี!
บทที่สอง แยกเป็นใหญ่เล็ก ผิดถูกมีแบ่งใหญ่เล็ก จำเป็นต้องยืมเอาวิชากุศลธรรมของสำนักนิตินิยมกับวิชาคำนวณของสำนักคำนวณมาใช้เป็นไม้บรรทัดสองเล่ม
บทที่สาม จำกัดความความดีความเลว ใช้กฎเกณฑ์ของมารยาทพิธีการเป็นเกณฑ์พื้นฐาน ผนวกรวมเข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณีของพื้นที่ต่างๆ รวมไปถึงจิตใจและคุณธรรมของคน กำหนดถูกผิด กำหนดคุณความชอบและความผิดพลาดของคน ถามใจตัวเองว่าดีหรือเลว
บทที่สี่ ทฤษฎีและปฏิบัติรวมกันให้เป็นหนึ่ง! หากทำผิดก็แก้ไข หากไม่มีความผิดก็ใช้มันมาเตือนใจตัวเองว่าจะไม่ทำความผิดในแบบเดียวกัน
ลำพังเพียงแค่ปูเนื้อหาสี่บทนี้อย่างละเอียด เฉินผิงอันก็ใช้เวลาพูดไปนานถึงหนึ่งชั่วยาม
“ความรู้เรื่องการเรียงลำดับนี้คือความรู้ชั้นยอดที่ดีเยี่ยม ทว่าหากคิดจะทำจริงโดยที่ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของความรู้ในทุกด้านแล้ว กลับยากยิ่ง!”
“ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าทำไมท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งถึงต้องเกลี้ยกล่อมให้ข้าดื่มเหล้า ไม่รู้ว่าเหตุใดจั่วโย่วถึงใช้หนึ่งกระบี่ฟันเทวรูปของเทพพิรุณให้แตกหัก ไม่คิดจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลก็ใช้หนึ่งกระบี่ทำลายร่องเจียวหลงจนพังราบเป็นหน้ากลอง ยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดจงขุยที่เป็นวิญญูชนถึงได้ไม่เหมือนวิญญูชนของสำนักศึกษาเลยสักนิด เหตุใดภิกษุเฒ่าของวัดซินเซียงถึงได้พูดว่าโลกใบนี้ติดค้างคนดี เหตุใดนักพรตเฒ่าถึงได้พาข้าท่องชมไปทั่วพื้นที่มงคลดอกบัว คนดีมักไม่ค่อยได้ดี คนชั่วก็ไม่ได้รับความชั่วตอบแทน”
มีหลายครั้งที่เฉินผิงอันคิดอยากจะนำความรู้กับการจัดการเรื่องราวมาปฏิบัติให้ได้จนถึงขั้นที่คำพูดและการกระทำรวมกันเป็นหนึ่ง แต่พูดไปพูดมาก็มักจะคอยปฏิเสธตัวเอง บอกกับเจ้าแม่เทพวารีที่เงี่ยหูตั้งใจรับฟังอยู่ฝั่งตรงข้ามว่า เขาเฉินผิงอันยังคงรู้สึกว่าหลักการเหตุผลที่ตัวเองใคร่ครวญออกมาได้ยังคงเล็กเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกี่ยวข้องกับความดีความเลวที่ซับซ้อนซึ่งอยู่นอกเหนือจากคำว่าถูกและคำว่าผิด รวมถึงหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจของคนด้วยแล้ว สิ่งที่เขาใคร่ครวญออกมาก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าที่เขาจะมีคุณสมบัติให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลง
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้น ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นเขาที่พูดกับตัวเอง
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เวลาและสายน้ำในลำคลองนอกจวนปี้โหยวไหลรินไปอย่างเชื่องช้า
เจ้าแม่เทพวารีลุกขึ้นยืนอย่างเคารพนอบน้อมอยู่นานแล้ว อีกทั้งยังค้อมกายน้อยๆ ประหนึ่งลูกศิษย์ที่ตั้งใจรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์แล้วจดจำไว้ขึ้นใจ ไม่กล้าปล่อยผ่านไปแม้แต่คำเดียว
เผยเฉียนเหมือนฟังเข้าหู แต่ก็คล้ายว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางฟุบตัวนอนคว่ำกับโต๊ะ ใบหน้าด้านข้างแนบผิวโต๊ะ มองเฉินผิงอันที่พูดหลักการยิ่งใหญ่มากมายกับคนอื่น
ในความทรงจำของนาง นอกจากกับเฉาฉิงหล่างแล้ว ศึกบนถนนใหญ่นอกตรอกเล็ก จะเป็นจ้งชิวราชครูหรือติงอิงมารใหญ่อะไรนั่น เฉินผิงอันคิดจะตีก็ตี ตีกันเอาเป็นเอาตายก็ยังไม่เคยพูดมากแม้แต่คำเดียว
ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนที่อยู่ใกล้กับจวนเจ้าเมืองจินหวงซึ่งเป็นเขตชายแดนของเป่ยจิ้น เฉินผิงอันใช้หนึ่งกระบี่ฟันร่างของควายดำให้ขาดครึ่งท่อน ตอนที่บอกให้ถามใจตัวเองขณะที่อยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยม แค่สามหมัดก็ต่อยให้กั๋วกงน้อยที่ยโสโอหังผู้นั้นตายคาที่
เฉินผิงอันบอกว่าก่อนหน้านี้มีหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ
อันที่จริงเด็กหญิงเผยเฉียนเองก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจยิ่งกว่าเขา
เหตุใดฟ้าดินกว้างใหญ่ เฉินผิงอันที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนเต็มใจอธิบายเหตุผล กับใครก็ล้วนใจเย็นเป็นมิตร ถึงมีแต่กับนางเท่านั้นเขาถึงจะเป็นเฉินผิงอันที่ไม่ดี เป็นเฉินผิงอันที่นิสัยเลวร้ายมากที่สุด แต่กระนั้นนางกลับยังคงรู้สึกว่าเมื่ออยู่ข้างกายเขา ต่อให้ถูกตีถูกด่า กลับดูเหมือนว่าจะ…ไม่น่าน้อยเนื้อต่ำใจเท่าใดนัก นางจะรู้สึกอย่างสงบและสบายใจว่า ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างกายนางผู้นี้จะให้นางทำอะไร นางก็จะทำอย่างนั้น นางไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ แน่นอนว่านางยังคงรู้สึกหงุดหงิด รู้สึกรำคาญใจอย่างมาก เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับปีนั้นที่นางต้องเป็นเหมือนผีเร่ร่อนตัวเล็กล่องลอยไปนู่นมานี่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนตลอดทั้งปี คอยคิดอยู่เสมอว่าวันใดที่จะต้องหนาวตายหรือหิวตาย อารมณ์เหล่านี้กลับดีกว่ามากนัก
บางทีอาจเป็นเพราะคืนนี้เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันพูดถึงความรู้ที่ในใจตัวเองให้การยอมรับมากที่สุด และเขายังพูดอีกว่าบางทีสิ่งที่เขาพูดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่มีเหตุผลที่สุด สิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ได้ถูกต้องที่สุด
เฉินผิงอันมักจะมองข้อดีหลากหลายของคนอื่นที่อยู่ในโลก
แต่เผยเฉียนกลับยินดีมองแค่ความชั่วร้ายของคนอื่นบนโลก
จวนปี้โหยว ตัวอักษรทองคำสามตัวที่อยู่บนป้ายส่องประกายแสงเจิดจ้าสะดุดตา ทอแสงสีทองระยิบระยับ
ผีพรายจำนวนมากที่อยู่ในจวนค้นพบด้วยความตื่นตะลึงระคนดีใจว่า ทุกหนแห่งในจวนล้วนมีเส้นแสงสีทองอ่อนจางปรากฏขึ้นเหมือนสายน้ำไหลริน
น้ำในลำคลองหมายเหอนอกจวนปี้โหยว ริ้วน้ำแผ่กระเพื่อม ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้มองดูแล้วพร่างพราวงดงามเป็นพิเศษ
ผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมซึ่งกลิ่นอายความดุร้ายยากจะลบเลือนพากันผุดจากใต้น้ำที่มืดทะมึนว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นก็แช่ตัวอาบไล้อยู่ใต้แสงจันทร์ ก่อนจะสลายหายไปคล้ายถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ
ในศาลเทพวารีริมลำคลองหมายเหอ เหล่าชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาซึ่งรอให้ฟ้าสางประตูเปิดแล้วจะเข้าไปจุดธูปด้านในต่างพากันร้องฮือฮา ที่แท้เทวรูปร่างทองของเจ้าแม่เทพวารีที่อยู่ในศาลก็พลันเพิ่มระดับความสูงขึ้นเป็นสิบกว่าจั้ง หลุบตาต่ำมองมายังโลกมนุษย์ รูปปั้นดินเหนียวร่างทองนั้นกลายมาเป็นร่างทองสมชื่อ นอกจากจะมีบารมีน่าเกรงขามแล้ว กลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ยังแผ่ล้นน่ายำเกรง
จุดลึกในลำคลองหมายเหอ ปีศาจใหญ่ตนนั้นที่อยู่ห่างจากขอบเขตโอสถทองแค่เสี้ยวเดียวซ่อนตัวอยู่ในรังเก่าแห่งหนึ่งใต้ลำคลอง เดิมทีนี่ควรเป็นสถานที่ที่มันสุขสบายที่สุด ทว่าบัดนี้มันกลับเหมือนอยู่ในหม้อน้ำมันเดือด ทรมานสุดขีด เพราะทนไม่ไหวจึงต้องทะยานออกมาจากรังเก่า แผดเสียงร้องคำรามเดือดดาล ก่อให้เกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม ว่ายหนีผลุบๆ โผล่ๆ ไปตามลำคลองช่วงบนอย่างบ้าคลั่ง ทุกครั้งที่มันคิดจะขึ้นฝั่งไปอาละวาด ท้องน้ำสองฝั่งกลับคล้ายกลายมาเป็นกรงขัง ทำให้มันพุ่งชนผนังอยู่ตลอด บีบให้สุดท้ายมันได้แค่พุ่งชนสะเปะสะปะอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของลำคลอง ไม่อาจขึ้นฝั่งไปทำร้ายพวกชาวบ้านได้
ฟ้าเริ่มสว่างทีละน้อย
ในห้องโถงใหญ่ของจวนปี้โหยว ชายแขนเสื้อของเจ้าแม่เทพวารีโบกสะบัด แสงสีทองไหลวนเวียนไปทั่วร่างไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะตรงช่วงหัวใจที่มีโอสถทองเม็ดหนึ่งหมุนติ้วๆ สาดส่องให้ทั้งห้องโถงใหญ่เป็นสีทองสว่างไสวเหนือแสงตะเกียง
ในตำรากล่าวไว้ว่า ยามเช้าเข้าใจมรรคา ยามเย็นก็ตายได้แล้ว
นางไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้รับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ ยามค่ำคืนฟังมหามรรคา ยามเช้าสร้างโอสถทอง!
เจ้าแม่เทพวารีโค้งตัวลงต่ำสุด รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ยิ่งนัก นางน้ำตาไหลอาบน้ำพูดเสียงสะอื้นด้วยความปิติยินดี “ในเมื่อท่านอาจารย์น้อยคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง เหตุใดถึงต้องโกหกข้า?”
—–