ตอนที่ 348.2 ท่านอาจารย์ที่แท้จริง

ไม่รอให้เจ้าแม่เทพวารีตอบคำถาม หญิงชราก็จากโลกนี้ไปก่อน

คนเฝ้าศาลที่ต่อให้ตายก็ยังจงรักภักดีอย่างถึงที่สุดคนนั้น อันที่จริงช่วงแรกเริ่มนางไม่ใช่คนดีในสายตาของคนบนโลก ตอนที่นางยังสาว บุรุษของนางมีอาชีพเป็นพ่อค้าต้องเดินทางไปข้างนอกอยู่เป็นประจำ นางทนกับความเหงาไม่ไหวจึงไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น หลังเรื่องถูกเปิดเผยก็สมคบคิดกับชายชู้ฆ่าสามี หลังจากนั้นนางก็แต่งงานใหม่ได้สำเร็จ ทั้งยังยึดครองสมบัติทั้งหมดของอดีตสามี รังแกอดีตสามี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แค่ไม่กี่ปี เพราะพบเจอโดยกรรมสัมพันธ์จึงต้องรับกรรมแล้วแยกย้ายจากกัน ครั้งหนึ่งที่นางเดินทางไปเที่ยวชานเมืองในช่วงฤดูใบไม้ผลิ บุรุษคนใหม่ของนางที่ได้ใหม่ลืมเก่าจึงทุบตีนางเกือบตายแล้วโยนนางลงไปในลำคลองหมายเหอ

เจ้าแม่เทพวารีที่ตอนนั้นเป็นแค่เทพวารีเล็กๆ ของศาลเถื่อนซึ่งยังไม่ได้รับการแต่งตั้งถึงได้ช่วยนางเอาไว้

มีเรื่องราวมากมายเหลือเกินที่เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ไม่อาจเข้าใจ

จนกระทั่งได้อ่านตำราของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่บอกว่าเดิมทีนิสัยมนุษย์นั้นชั่วร้าย เมื่อได้รับการอบรมสั่งสอนจึงเปลี่ยนเป็นดีงาม เทพวารีลำคลองหมายเหอถึงได้กระจ่างแจ้งในฉับพลัน

ในฐานะเทพวารีลำคลองหมายเหอ นางสามารถอาศัยควันธูปมองจิตใจคน เดิมทีนางรังเกียจความอัปลักษณ์ของจิตใจคนอย่างลึกล้ำ ถึงขั้นไม่ยอมรับควันธูปที่ลอยอ้อยอิ่งเป็นเกลียวเหล่านั้น มักจะรู้สึกว่าทุกครั้งที่ทำให้คำขอของคนเหล่านั้นเป็นจริง ความชั่วร้ายเสี้ยวหนึ่งก็จะมารัดพันตัวนาง หลังจากนั้นมาสภาพจิตใจของนางก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป นางปกครองพื้นที่แถบลำคลองหมายเหอโดยใช้บารมีสยบ ใช้กำลังปราบปรามความชั่วร้าย ขณะเดียวกันก็ร่วมมือกับเทพอภิบาลเมืองหลายท่านที่อยู่ตามเมืองซึ่งตั้งอยู่เลียบลำคลอง แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หลายครั้ง อีกทั้งเมื่อราชสำนักมาขอฝนก็ยอมสละพลังที่เหลืออยู่ร่ายใช้เวทอภินิหาร ต่อให้ตบะถดถอย ร่างทองหม่นแสงก็ไม่เสียดาย หวังเพียงได้ตอบสนองในสิ่งที่มีผู้ร้องขอ ไม่สนว่าควันธูปจะมาจากความคิดที่ดีหรือละโมบ อย่างน้อยถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย

ทว่าช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาช่างยาวนานนัก ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ความอดทนถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น นางเดินทางไปยังศาลเทพวารีน้อยลงทุกที ยิ่งนานก็ยิ่งชอบอยู่ในจวนปี้โหยวที่ปิดประตูไม่รับแขก มุ่งมั่นอาศัยคาถาจากเซียนเต๋ามาหลอมอาวุธชิ้นแล้วชิ้นเล่าเพื่อใช้สิ่งนี้ฆ่าเวลาในช่วงชีวิตการเป็นองค์เทพที่น่าเบื่อหน่าย นอกจากนี้ยังเป็นเพราะเรื่องวงในที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือคาถาที่สืบทอดมาจากบรรพกาลบทนั้นไม่เพียงแต่สามารถหล่อหลอมอาวุธ ยังสามารถหล่อมหลอมน้ำในลำคลองหมายเหอ ยิ่งสามารถหลอมควันธูปในโลกมนุษย์ได้ ถือเป็นวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่แห่งตระกูลเซียนที่หากเป็นหนึ่งวิชาก็เชี่ยวชาญทุกวิชาอย่างแท้จริง

เดิมทีคิดว่าในเมื่อเด็กหญิงที่ชื่อเผยเฉียนผู้นี้มาเยือนที่นี่เพราะมีวาสนาต่อกัน อีกทั้งพรสวรรค์ของนางยังดีขนาดนี้ ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นเจตนารมสวรรค์ที่มองไม่เห็น เผยเฉียนสามารถสืบทอดตำแหน่งเทพของตนและคาถาเต๋าอันสูงสุดไร้ทัดเทียมบทนี้ น่าเสียดายก็แต่ดูเหมือนความจริงจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นนางก็ได้แต่รอต่อไป การสืบทอดตำแหน่งเทพก็เหมือนการรับลูกศิษย์ของผู้ฝึกลมปราณ ไม่ใช่เรื่องเล็ก หากไม่ระวัง ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์จะเจอกับหายนะ อาจารย์เองก็จะเดือดร้อนร่างมอดม้วยมรรคาดับสลายตามไปด้วย หรือไม่ก็อาจสั่งสอนให้ลูกศิษย์กลายเป็นคนเนรคุณ ทำตัวนอกรีตผิดหลักคุณธรรม หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน

ยกตัวอย่างเช่นท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่นางนับถือเลื่อมใสมากที่สุด ความรู้ของเขาสูงส่งเท่าไหร่และมากมายเท่าไหร่? แต่สุดท้ายก็สอนคนอย่างชุยฉานออกมาไม่ใช่หรือ?

แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดจากหน้าต่างสาดลงมาบนพื้นของตำหนักหลัก เจ้าแม่เทพวารีดึงสายตากลับ ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที

หญิงชราคนเฝ้าศาลยืนอยู่ตรงหน้าประตู บนใบหน้าแก่ชราที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปิติยินดี เพราะนี่เป็นข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ

เจ้าแม่เทพวารีเลื่อนขั้นสูงขึ้น ทุกคนที่อยู่ในศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอก็พลอยเป็นดั่งคำว่าหนึ่งคนบรรลุธรรม สุนัขและไก่ต่างก็ได้ขึ้นสวรรค์ตามไปด้วย นับจากวันนี้เป็นต้นไป ไม่เพียงแต่ปีศาจลำคลองตนนั้นที่ต้องเก็บหางทำตัวสำรวม ไม่กล้าสร้างเรื่องก่อราวอีก เกรงว่าทุกคนตั้งแต่จวนผู้ว่าการ เขตการปกครอง ไปจนถึงอำเภอของแต่ละพื้นที่ก็คงต้องเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นเคารพนบนอบยิ่งกว่าเดิม ต่อให้เป็นนายท่านผู้เฒ่าผู้ว่าการที่เย่อหยิ่งเพราะคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีพระคุณนั้น ไม่แน่ว่าวันหน้าก็อาจต้องเกรงใจตนเพิ่มมากขึ้น

หญิงชราคนเฝ้าศาลถามอย่างกระวนกระวาย “เหนียงเนียง เทพอภิบาลเมือง เทพเจ้าที่ รวมไปถึงพ่อปู่ลำคลองตัวเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับลำคลองหมายเหอของพวกเราต่างก็พากันเดินทางมาแสดงความยินดีกับเหนียงเนียง พวกเขารู้นิสัยเหนียงเนียงดี จึงไม่กล้าไปรบกวนท่านที่จวนปี้โหยว ทุกคนต่างก็เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มารออยู่นอกศาล ท่านจะพบพวกเขาหรือไม่? หากเหนียงเนียงเหนื่อยแล้ว ข้าสามารถช่วยท่านพูดปฏิเสธพวกเขาแทนได้ พวกเขาคงไม่กล้าพูดอะไร”

เจ้าแม่เทพวารีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้ายังพอมีเวลา พบพวกเขาก็แล้วกัน ปกป้องโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำในแถบหนึ่ง สั่งสอนอบรมชาวบ้านนับเก้าแสนคนในอาณาเขต ไม่ใช่สิ่งที่ศาลเจ้าแม่เทพวารีของพวกเราจะทำได้คนเดียว จำเป็นต้องร่วมแรงร่วมใจกัน”

ในใจหญิงชราตื่นตะลึงสุดขีด ไม่รู้ว่าเจ้าแม่เทพวารีที่เกียจคร้านผู้นี้เปลี่ยนนิสัยได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดี จึงรีบหมุนตัวออกไปทำตามคำสั่งทันที

ขอแค่เจ้าแม่เทพวารีเต็มใจจะใส่ใจ เรียกรวมองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำของที่ต่างๆ มารวมตัวกัน พวกเขาต้องพร้อมใจกันทำตามแน่นอน และศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอก็จะได้กลายเป็นศาลเทพวารีอันดับหนึ่งของต้าเฉวียนอย่างสมชื่อเสียที!

หลังจากที่สตรีคนเฝ้าศาลรุ่นแรกตายไป ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอก็เปลี่ยนคนเฝ้าศาลมาคนแล้วคนเล่า แต่นางกลับไม่มีความรู้สึกอะไรด้วยสักเท่าไหร่ ไปๆ มาๆ เป็นๆ ตายๆ ก็มีเพียงแค่นี้

เวลานี้เจ้าแม่เทพวารีที่นั่งอยู่เพียงลำพังคล้ายกำลังพูดคุยกับคนรู้จักคนหนึ่ง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าที่เมืองเซิ่นจิ่งมีสองครอบครัวที่เชี่ยวชาญการสร้างเทวรูปมากที่สุด เทวรูปของตระกูลจางขึ้นชื่อเรื่องใบหน้าสั้นแต่งดงาม มีชีวิตชีวามากกว่า ส่วนตระกูลเฉาถูกขนานนามว่าอาภรณ์พลิ้วปลิวลม ล่องลอยดุจเซียน เจ้าคิดว่าแบบไหนเหมาะสมกับข้า? เจ้าชอบช่างของตระกูลใดมากกว่ากัน?”

มุมปากของนางตวัดขึ้น หรี่ตาหัวเราะ โบกมือหนึ่งครั้ง “เจ้าไม่ต้องคิดแล้ว ตระกูลใดกล้าพูดจาใหญ่โต ตั้งราคาสูงก็เลือกตระกูลนั้น ตอนนี้พวกเราไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องเงินทองกันแล้ว!”

……

ยามเช้าตรู่ จุดพักม้าริมลำคลอง แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นพบว่าเฉินผิงอันไม่ได้ออกมากินข้าวเช้าก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จูเหลี่ยนจึงอธิบายกลั้วหัวเราะว่านายน้อยออกไปท่องเที่ยวยังไม่กลับมา เป็นความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหันเมื่อคืน ตั้งใจไปเยือนศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอที่เลื่อมใส ไม่สู้แม่ทัพผู้เฒ่าออกเดินทางก่อน นายน้อยต้องตามไปทันแน่นอน

เหยาเจิ้นหัวเราะเสียงดังบอกว่าเจ้าหมอนี่ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อคืนวานควรจะพาเขาไปด้วยกัน เดินทางล่าช้าแค่วันสองวันจะเป็นไรไป

จูเหลี่ยนไม่ได้พูดอะไรมากความให้เป็นการวาดงูเติมหาง เพียงยิ้มแล้วถอยออกไปนั่งร่วมโต๊ะกับพวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคน

หลูป๋ายเซี่ยงมองเขา จูเหลี่ยนส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่าได้ถามข้า ตอนนั้นนายน้อยไม่ได้ให้ข้าติดตามไปด้วย บอกว่าจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด ให้ข้าแจ้งกับคนทางจุดพักม้าให้ด้วย”

เว่ยเซี่ยนแค่ก้มหน้าก้มตาดื่มโจ๊ก จ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน

สุยโย่วเปียนไม่ว่าจะท่านั่งหรือท่ากินก็ล้วนเป็นคนที่มีท่วงทำนองพิเศษเฉพาะตัวที่สุดในบรรดา ‘ข้ารับใช้’ ทั้งสี่คน

ต่อให้เป็นคนที่ไม่แยแสสิ่งใดมากที่สุดในบรรดากลุ่มผู้ที่ติดตามทหารม้าเหล็กตระกูลเหยาก็ยังรู้สึกว่าหญิงสาวสะพายกระบี่หน้าตางดงามผู้นี้มีความงามเหนือล้ำไปจากคนปกติ ไม่ใช่ข้ารับใช้ที่คุณชายผู้มีชาติตระกูลคนใดในต้าเฉวียนจะครอบครองได้

หลูป๋ายเซี่ยงขมวดคิ้ว

จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “ทำไม ไม่ไว้ใจข้า? ต่อให้ข้ามีความคิดนั้น แต่จะมีความสามารถนั้นหรือ?”

เห็นว่าหลูป๋ายเซี่ยงไม่อยากพูดกับตน รอยยิ้มของจูเหลี่ยนก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น

อาจารย์และศิษย์สองคนจากลัทธิเต๋านั่งอยู่มุมในสุดของห้อง อิ่นเมี่ยวเฟิงสบตากับเส้ายวนหราน ต่างก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้สักคำเดียว

ทว่าในทะเลสาบหัวใจของคนทั้งสองกลับมีเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นมา

เส้ายวนหรานดื่มโจ๊กถ้วยเล็กหนึ่งถ้วยพลางใช้เสียงในใจสอบถาม “ภาพปรากฎการณ์ผิดปกติครึ่งคืนหลังที่ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอจะเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ด้วยหรือเปล่า?”

อิ่นเมี่ยวเฟิงตอบ “ก็ไม่แน่เหมือนกัน ตามหลักแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็นภาพปรากฎการณ์การขานรับจากฟ้าดินที่เจ้าแม่เทพวารีท่านนั้นดึงดูดมาเพราะสร้างโอสถทองได้สำเร็จ วิญญูชนจงขุยอาจไม่มีความสามารถที่จะช่วยนางให้ทำเช่นนั้นได้ เพียงแต่ว่าคุณชายเฉินที่ความเป็นมาไม่แน่ชัดผู้นี้ไม่อาจใช้หลักปกติทั่วไปมาวัดได้ พวกเราไม่จำเป็นต้องสนใจ ขอแค่ไม่เกิดเรื่องแทรกซ้อน พวกเราก็สามารถส่งมอบงานให้กับสกุลหลิวต้าเฉวียนได้แล้ว จวนปี้โหยวจะเลื่อนขั้นเป็นตำหนักหรือไม่ก็มีวิญญูชนจากสำนักศึกษาท่านหนึ่งช่วยจัดการให้ นี่ถือว่าโชคดีมากแล้ว ตอนนี้เทพวารีลำคลองหมายเหออาศัยความสามารถของตัวเองเลื่อนขั้น เรื่องที่เมื่อคืนวานพวกเราไปเยี่ยมเยือนนางก็สามารถยกมาพูดเพื่อพึ่งบารมีนางได้ ไม่แน่ว่าอาจารย์อาจช่วงชิงผลประโยชน์มาให้เจ้าได้ส่วนหนึ่ง”

เส้ายวนหรานพยักหน้ารับ หางตาของเขาชำเลืองมองหญิงสาวสกุลเหยาที่สวมหมวกคลุมหน้าอีกครั้งแล้วไม่พูดอะไรอีก

แม้ว่าเหยาเซียนจือและเหยาหลิ่งจือจะเป็นลูกหลานสายตรงตระกูลเหยา อีกทั้งยังได้รับความสำคัญอย่างยิ่งยวด ทว่าก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับท่านปู่เหยาเจิ้น คนที่นั่งอยู่ในสามตำแหน่งล้วนเป็นนายทหารเก่าแก่ที่ติดตามเหยาเจิ้นออกรบมาเกินครึ่งชีวิต ไม่เกี่ยวกับว่าระดับขั้นจะสูงหรือต่ำ เหยาเจิ้นเห็นว่าเป็นสิ่งที่สมควร นายทหารเก่าที่ผ่านมาร้อยศึกทั้งสามท่านก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม

เหยาเซียนจือขยิบตาให้เหยาหลิ่งจือ ทำปากบุ้ยใบ้

เหยาหลิ่งจือถาม “ทำอะไรของเจ้า?”

เหยาเซียนจือกดเสียงลงต่ำ “เจ้าว่าเป็นเพราะคุณชายเฉินเจอกับคนที่ตาไม่มีแววเลยเปิดฉากกำจัดปีศาจปราบมารไปทั่วสี่ทิศแล้วหรือไม่? เจ้าลองคิดดูนะ คุณชายเฉินอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวจัดการกับภูตผีปีศาจในระยะหลายร้อยลี้ของลำคลองหมายเหอ ภูตผีร่ำไห้ร้องโหยหวน ภาพเหตุการณ์นี้ต้ององอาจสง่างามมากเลยใช่หรือเปล่า?”

เหยาหลิ่งจือกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ายังไม่ตื่นหรือไง หรือชอบฝันกลางวัน?”

เหยาเซียนจือเลิกคิ้ว “เจ้าคิดว่าคุณชายเฉินทำไม่ได้?”

เหยาหลิ่งจือกล่าว “ข้าคิดว่าลำคลองหมายเหอไม่มีภูตผีมากมายขนาดนั้น ถึงอย่างไรก็มีศาลเทพวารีคอยสยบ”

เหยาเซียนจือหัวเราะฮ่าๆ “ข้าก็ว่าแล้ว อันที่จริงในใจของเจ้าก็เชื่อว่าคุณชายเฉินมีความสามารถนี้”

เหยาหลิ่งจือคิ้วตั้ง “กินโจ๊กของเจ้าไปเลย!”

เหยาเซียนจือหัวเราะอย่างมีความสุข “โจ๊กวันนี้อร่อยเป็นพิเศษ!”

มีเด็กหนุ่มคนใดบ้างที่ไม่เลื่อมใสวีรบุรุษตัวจริง

เฉินผิงอันพลันสะดุ้งตื่น ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งบนเตียง เหงื่อแตกเต็มศีรษะ

ย้อนนึกดูอย่างละเอียดถึงจะพอวางใจได้ ในความทรงจำของเขา ตนแค่พูดถึงเรื่องลำดับขั้นตอนของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ไม่ได้พูดเกี่ยวพันไปถึงศึกตรีจตุ แล้วก็ไม่ได้พูดถึงอาจารย์ฉี แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ อีกเดี๋ยวได้พบกับเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอแล้วก็ยังต้องเอ่ยเตือนนางสักสองสามคำ ยามปิดประตูพูดคุยกันสามารถพูดจาได้ตามที่ใจต้องการ แต่หากเปิดประตูออกไปแล้วห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ไม่อย่างนั้นเขาเฉินผิงอันจากไปแล้วก็แล้วกันไป กลับไปถึงแจกันสมบัติทวีปนานแล้ว แต่จวนปี้โหยวกับร่างทองในศาลของเจ้าแม่เทพวารีอย่างเจ้ากลับไม่อาจเคลื่อนย้ายหนีไปไหนได้

ชำเลืองตามองเห็นรองเท้าหุ้มแข้งคู่ที่อยู่ล่างเตียงก็อึ้งตะลึงไปครู่ เพราะปลายรองเท้าวางชี้ตั้งขึ้นด้านบน เฉินผิงอันส่ายหน้า ดีนักนะ กลัวว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนช่วยถอดรองเท้าให้ข้าอย่างนั้นรึ? ฉลาดและมีไหวพริบจริงๆ แต่เหตุใดถึงไม่ใช้ความฉลาดและไหวพริบนี้กับการเรียนหนังสือ?

พอออกมาจากห้อง เฉินผิงอันก็ยืนอยู่กลางลานบ้าน คำนวณเวลาน่าจะเป็นช่วงปลายยามเฉินแล้ว (ยามเฉินคือเจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า) ขบวนเดินทางตระกูลเหยาน่าจะออกเดินทางกันไปนานแล้ว เขากับเผยเฉียนต้องรีบตามไปให้ทัน ไม่พูดถึงระยะทางทางน้ำจากที่นี่ไปถึงโรงเตี๊ยมที่ไกลสามร้อยลี้ ตอนนี้พวกเขาก็ล่าช้ากันมาชั่วยามกว่าแล้ว

แต่เมื่อคืนดื่มเหล้าบุปผาหมักร้อยปีเข้าไป ตอนนี้กลับรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทั้งร่างกายที่ผ่านศึกใหญ่ในโรงเตี๊ยมได้ประสานตัวจนหายดีพอสมควรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสภาพจิตใจยังผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเอง ราวกับห้องเก่าห้องหนึ่งที่สะสมของมากมายไว้จนรกรุงรัง ต่อให้เจ้าของห้องจะมองพวกมันเป็นสมบัติล้ำค่า แต่หากวันใดเก็บกวาดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นมา เมื่อมองไปอีกครั้งย่อมสบายตามากกว่า

ตรงประตูเรือนมีสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ ซึ่งก็คือผีพรายของจวนปี้โหยวที่เมื่อคืนพาเผยเฉียนไปดูผนังบังตา นางคลี่ยิ้มหวานให้เฉินผิงอัน “คุณชายเฉิน เหนียงเนียงให้ข้ามารออยู่ที่นี่ หากคุณชายตื่นแล้วก็ให้พาไปห้องโถงใหญ่ที่พวกท่านดื่มเหล้ากันเมื่อคืน”

เฉินผิงอันยิ้มรับเดินเร็วๆ เข้าไปหาแล้วถามว่า “เด็กผู้หญิงที่ข้าพามาด้วยล่ะ?”

สาวใช้เม้มปากยิ้ม เลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวังอธิบายว่า “คุณหนูท่านนั้นตื่นเร็วกว่าท่านเล็กน้อย นอนหลับได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ตื่นแล้ว จากนั้นข้าก็พานางไปเดินชมจวนปี้โหยวหนึ่งรอบ คุณหนูนิสัยร่าเริง คนทั้งจวนต่างก็ชื่นชอบนางมาก”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ถามไปตามตรง “นางไม่ได้ขออะไรจากจวนปี้โหยวของพวกเจ้ากระมัง?”

สาวใช้รีบส่ายหน้า “เปล่าๆ นางไม่ได้ขออะไรจริงๆ”

นี่ก็เป็นคนที่โกหกไม่เก่งเหมือนกัน

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset