เหยาเจิ้นเอ่ยเบาๆ “เหยาเซียนจือ หลานชายของข้าคนนั้น หน้าบาง ไม่กล้าเปิดปาก เลยขอร้องให้ข้ามาช่วยพูดกับเจ้า หวังให้เจ้าช่วยชี้แนะเคล็ดลับในการฝึกวรยุทธ์แก่เขาเสียหน่อย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันใคร่ครวญอย่างละเอียด “หากเป็นแค่การประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้อย่างเกรงอกเกรงใจ ข้าย่อมไม่มีปัญหา แต่หากเหยาเซียนจืออยากจะได้รับผลเก็บเกี่ยวจริงๆ ข้าแนะนำให้เขาไปหาเว่ยเซี่ยน ข้าจะช่วยบอกเว่ยเซี่ยนแทนเขาให้เอง”
เหยาเจิ้นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเด็กนั่นอยากจะได้แบบเกรงอกเกรงใจสักหน่อย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะประมือกับเขาดู”
เหยาเจิ้นลูบเครายิ้ม “ถ้าอย่างนั้นหลังจากเกรงอกเกรงใจกันแล้ว ข้าค่อยบอกให้เขาไปหาเว่ยเซี่ยนผู้นั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เดี๋ยวข้าจะหาเวลาพูดกับเว่ยเซี่ยนเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็รับแผนที่แผ่นนี้มาได้อย่างสบายใจแล้ว ถึงอย่างไรการชี้แนะจากยอดฝีมืออย่างพวกเรา ต่อให้ทองพันชั่งก็หาซื้อไม่ได้”
เหยาเจิ้นตบโต๊ะ หัวเราะร่าเสียงดัง “ใช่เลย เจ้าทำตัวไร้ยางอายเหมือนตอนนี้นี่แหละถึงจะเหมือนข้าตอนเป็นหนุ่ม มิน่าเล่าพวกเราถึงได้ถูกชะตากันนัก!”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเหยเก
เหยาเจิ้นมาเยือนอย่างฮึกเหิมและกลับไปอย่างฮึกเหิม
เฉินผิงอันแผ่แผนที่ฉบับนั้นออก หยิบตราประทับอักษรแม่น้ำออกมาจากวัตถุฟางชุ่น เป่าลมแล้วประทับหนักๆ ลงไปยังศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอและจวนปี้โหยวสองตำแหน่ง
แล้วเสร็จถึงได้เก็บตราประทับแม่น้ำและแผนที่กลับลงไป
จากนั้นก็อ่านแผ่นหยกขนาดเท่าฝ่ามือที่เต็มไปด้วยตัวอักษรเล็กๆ เท่าหัวแมลงวันเรียงกันแน่นขนัด ด้านหน้าและด้านหลังต่างก็สลักตัวอักษรไว้มากถึงห้าพันกว่าตัว ด้านหน้าคือบทหล่อหลอมสิ่งของของตระกูลเซียน ด้านหลังคือคำอธิบายและความเข้าใจที่เจ้าแม่เทพวารีมีต่อบทหล่อหลอมนี้
แม้ภายนอกจะบอกว่าเป็นแค่คาถาหล่อหลอมวัตถุวิชาหนึ่ง ทว่าแท้จริงแล้วกลับพูดถึงหลักของห้าธาตุ ตัวอักษรเขียนเป็นเนื้อหาสะอาดสะอ้านและมีระเบียบ จุดประสงค์ลึกล้ำยาวไกล เพราะเป็นสิ่งที่เจ้าแม่เทพวารีบรรลุมาจากศิลาขอฝนแผ่นหนึ่ง นางจึงใช้น้ำซึ่งเป็นหนึ่งในห้าธาตุเป็นบทเปิด เอามาอธิบายความหมายคร่าวๆ ได้ความว่า น้ำ อวัยวะภายในทั้งห้าคือไตที่มีธาตุน้ำเป็นหลัก เครื่องหน้าทั้งห้าคือหู ประสาทรับสัมผัสทั้งห้าคือเสียง นิ้วทั้งห้าคือนิ้วก้อย ของเหลวทั้งห้าคือน้ำลาย เสียงทั้งห้าคืออวี่ (ห้าเสียงในสมัยโบราณแบ่งเป็นกง ซาง เจวี๋ย จื่อ อวี่ ซึ่งคล้ายคลึงกับเสียงสากล โด เร มี ซอล ลา เสียงอวี่ตรงกับเสียงลา) ห้าอารมณ์คือกลัว เทพห้าชนิดที่บูชาในบ้านคือบ่อ องค์เทพหลักคือเสวียนอู่แห่งทิศเหนือ
เส้นสายชัดเจน เกี่ยวพันไปถึงช่องโพรงลมปราณใดบ้าง แล้วควรจะหลอมอย่างไร ล้วนมีคำอธิบายอย่างละเอียดจากเจ้าแม่เทพวารีระบุไว้ด้านหลังของแผ่นหยก พูดได้ว่านางบอกเรื่องที่รู้หมดสิ้นอย่างไม่มีกักเก็บไว้ แม้แต่เรื่องที่คาถาเต๋าตระกูลเซียนบทนี้สามารถหล่อหลอมร่างทองและควันธูป นางก็ยังบอกกับเฉินผิงอันไว้ด้านหลังแผ่นหยกอย่างชัดเจน
เฉินผิงอันอ่านอย่างตะลึงพรึงเพริด พออ่านแล้วเขาถึงเพิ่งจะรู้ว่าประโยค ‘น้ำขวดทองหนึ่งหยดบนชั้นนภา’ ที่เห็นจากป้ายศิลามีความหมายยิ่งใหญ่ นั่นคือบอกว่าหลังจากฝึกคาถาบทนี้ได้สำเร็จแล้วก็เท่ากับว่าสามารถหลอมโอสถทองให้กลายเป็นแก่นน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงบำรุงอวัยวะตันห้าอวัยวะกลวงหกในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนประโยค ‘เส้นใยเต็มฟ้าดุจเครื่องทอผ้า’ นั้นคือการนำ ‘ทางเดินม้า’ ซึ่งก็คือเส้นชีพจรในร่างกายมนุษย์มาเชื่อมโยงเข้าหากัน ส่วนคำว่าสี่หล้าในประโยค ‘แปรเปลี่ยนเป็นสี่หล้าเย็นฉ่ำ ปัดเป่าไอร้อนใต้หล้า’ ก็เกี่ยวพันไปถึงสี่ชั้นของหอสูงป๋ายอวี้จิงในใต้หล้ามืดสลัวของลัทธิเต๋าที่สามารถใช้มรรคกถาสี่ชนิดช่วยกำราบจิตมารให้กับผู้ฝึกตน นี่ไม่ใช่วิชานอกรีตแล้ว แต่เป็นวิชาที่ดั้งเดิมแท้จริงที่สุดของลัทธิเต๋า นี่ไม่ต่างจากเส้นทางราบเรียบที่ทอดยาวไปยังสวรรค์ซึ่งเซียนดินก่อกำเนิดทุกคนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน หากได้เดินไปบนเส้นทางนี้ อาจไม่ประสบความสำเร็จเสมอไป แต่นี่ก็เท่ากับว่าเซียนดินที่ ‘เดินไปถึงยอดสุดของขุนเขา’ แล้วสามารถพาดสะพานสี่แห่งไปยังสวรรค์ มีโอกาสที่จะรับประกันได้ว่าตัวเองจะไม่เดินผิดพลาดเพิ่มขึ้นมาอีกถึงสี่ครั้ง หรือจะเดินกลับไปทางเดิมก็ยังได้ อีกทั้งช่วงเวลาระหว่างการฝึกตนก็ยังสามารถบำรุงร่างกายบำรุงจิตใจไปพร้อมกันด้วย มีประโยชน์มากมายขนาดนี้ ใครบ้างจะไม่อิจฉา?
มิน่าเล่าเจ้าแม่เทพวารีถึงได้กล้าบอกว่าคาถาบทนี้ ‘หมื่นสรรพสิ่งก็หล่อหลอมได้’ เขาแน่ใจเลยว่าต่อให้เป็นตระกูลเซียนที่มีคำว่าสำนักอยู่ในชื่อ หากได้คาถาเต๋าบทนี้ไปครองก็ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักซึ่งมีแต่เจ้าสำนักเท่านั้นที่ได้แตะต้อง
เฉินผิงอันหลับตาลง ท่องจำห้าพันตัวอักษรนั้นในใจเงียบๆ ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่มีทางเอาแผ่นหยกนี้ออกมาง่ายๆ อีกเด็ดขาด
ไม่รู้ว่าเหตุใด แค่กำแผ่นหยกไว้ในมือ เฉินผิงอันก็รู้สึกเย็นสบายไปทั่วร่าง เนื้อตัวโปร่งโล่ง อาการบาดเจ็บที่ได้รับจากศึกในโรงเตี๊ยมก็ฟื้นฟูอย่างว่องไว
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ตระหนักได้ถึงความมหัศจรรย์ของมัน เพียงแต่ว่าหยกชิ้นนี้เป็นหยกงามประเภทใดกันแน่ เฉินผิงอันกลับไม่รู้จัก คิดว่าวันหน้าเมื่อไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วอาจลองสอบถามจากเว่ยป้อดูได้
ครึ่งคืนหลัง ไอน้ำขุมหนึ่งพลันแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งจุดพักม้า มองไปรอบด้านมีแต่สีขาวโพลน เหตุการณ์นี้ขัดจังหวะการนั่งลืมตนเข้าฌานของอิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหราน ทำให้พวกเขาต้องออกมาจากห้องพร้อมกันแล้วเดินไปทางสวนดอกไม้
เฉินผิงอันเองก็หยุดท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู เปิดหน้าต่างกระโดดพรวดออกไป
เมื่อได้รับการบอกเตือนอย่างเร่งร้อนจากผู้ฝึกตนติดตามกองทัพหลายคน เพียงไม่นานคนตระกูลเหยาที่อยู่ในจุดพักม้าก็พากันสวมเสื้อคลุมลุกขึ้นมาจากเตียง เหล่าทหารเก่าแก่ต่างก็สวมเสื้อเกราะถืออาวุธไว้ในมือ ท่าทางเคร่งเครียดพร้อมเผชิญหน้ากับศัตรู
ในห้องของจูเหลี่ยนมืดสนิท แต่อันที่จริงผู้เฒ่าหลังค่อมกำลังเดินวนรอบโต๊ะอยู่ตลอดเวลา ฝีเท้าที่ก้าวเดินมีหลักการที่พิถีพิถันอย่างยิ่ง
สุยโย่วเปียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ลืมตาขึ้นแล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง
เว่ยเซี่ยนนอนตัวตรงอยู่บนเตียง สองมือกำเป็นหมัดวางทับซ้อนกันบนหน้าท้อง แน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก
หลูป๋ายเซี่ยงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง
ทางฝั่งป่าไผ่ พอเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้น ทั้งอิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหรานต่างก็ถอนหายใจโล่งอก
นักพรตเป่าเจินกุมหมัดเอ่ยแสดงความยินดี “เจ้าแม่เทพวารีเลื่อนขั้นเป็นร่างทองได้สำเร็จ ขอแสดงความยินดีด้วย!”
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีเรือนกายเล็กเตี้ย สวมใส่อาภรณ์งดงามหรูหราผิดไปจากปกติ นางก็คือเทพวารีลำคลองหมายเหอที่รีบรุดเดินทางมาจากจวนปี้โหยว
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต่อให้เจ้าอารามจินติ่งมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง เมื่อพบเจอกับเทพวารีลำคลองหมายเหอที่ตบะเพิ่มขึ้นพรวดพราดผู้นี้ก็ยังไม่สามารถหลุบตามองนางจากที่สูงได้อีกแล้ว ต้องรู้ว่าหากอยู่ในแถบพื้นที่ของลำคลองหมายเหอ โดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้เคียงกับจวนปี้โหยวและศาลเทพวารี สตรีร่างเล็กเตี้ยผู้นี้จะมีศักยภาพเท่าเทียมกับเซียนดินก่อกำเนิดท่านหนึ่ง
เจ้าแม่เทพวารีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คราวก่อนที่จวนปี้โหยว ข้ารับรองพวกเจ้าได้ไม่ทั่วถึง นับว่าเสียมารยาทอย่างยิ่ง ข้ามาเยือนครานี้ นอกจากจะมีธุระส่วนตัวแล้ว ยังคิดจะเชิญอิ่นเจินเหรินไปเป็นแขกที่จวนข้าด้วย ข้าอยากจะขอขมาอิ่นเจินเหรินและเจินเหรินน้อยเส้าด้วยตัวเอง”
นักพรตเป่าเจินตกตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน
หนึ่งเพราะอีกฝ่ายมีสถานะไม่เหมือนในอดีต ต่อให้ร่างกายของนางจะอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสก่อกำเนิดครึ่งตัว สองก็เพราะจวนปี้โหยวได้ผูกความสัมพันธ์กับว่าที่อริยะจงขุยไปแล้ว ต่อให้ไม่นางสนใจสกุลหลิวต้าเฉวียน ราชสำนักก็ได้แค่ฝืนใจยอมรับ สามเพราะบุคคลระดับบนของต้าเฉวียนล้วนรู้นิสัยขี้หงุดหงิดของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอผู้นี้ดี นางยินดีแสดงท่าทีเช่นนี้ อิ่นเมี่ยวเฟิงที่เป็นแค่หนึ่งในข้ารับใช้จักรพรรดิสกุลหลิวขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งจะไม่ตกตะลึงระคนยินดีได้อย่างไร?
ต่อให้เป็นเส้ายวนหรานที่หยิ่งทระนงก็ยังอดเผยรอยยิ้มจริงใจบนใบหน้าไม่ได้
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์และลูกศิษย์สองคน ทักทายกับพวกเขาก่อนถึงค่อยหันไปมองเจ้าแม่เทพวารี
อิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหรานต่างก็พากันจากไปอย่างรู้กาลเทศะ ขณะเดียวกันก็บอกให้เหล่าทหารเก่าแก่และผู้ฝึกตนที่ติดตามกองทัพตระกูลเหยาคลายความระแวดระวังลง แล้วอิ่นเมี่ยวเฟิงก็ถือโอกาสบอกให้ทุกคนรู้ถึงตัวตนของเทพวารีลำคลองหมายเหอไปด้วย
เหยาเจิ้นคลี่ยิ้มกุมหมัดคารวะเจ้าแม่เทพวารีอยู่ไกลๆ
ข่าวลือหลากหลายอย่างเกี่ยวกับเทพวารีลำคลองหมายเหอ ต่อให้พวกเขาอยู่ที่ชายแดนก็ยังเคยได้ยินมาไม่น้อย แน่นอนว่าย่อมถูกใจแม่ทัพผู้เฒ่าอย่างยิ่ง
เจ้าแม่เทพวารีเองก็กุมหมัดคารวะกลับคืนเหยาเจิ้น เอ่ยประโยคตรงไปตรงมาที่ไม่รู้ว่าจะทำให้คนหัวเราะหรือร้องไห้ดี “วันใดท่านแม่ทัพลากลับบ้านเกิด กลับคืนไปยังชายแดนอีกครั้ง ต้องมาดื่มเหล้าที่จวนปี้โหยวของข้าให้ได้ รับรองว่ามีให้ท่านดื่มมากพอ!”
เหยาเซียนจือและเหยาหลิ่งจือเหลือกตามองบนแทบจะเวลาเดียวกัน
เหยาจิ้นจือสวมหมวกคลุมหน้ายืนตระหง่านอยู่ข้างกายเหยาเจิ้น
สุดท้ายเจ้าแม่เทพวารีหมุนบิดข้อมือหนึ่งครั้ง เหล้าไหหนึ่งก็ปรากฏขึ้น นางโยนมันให้เฉินผิงอัน พูดโดยใช้เสียงในใจ “เก็บแผ่นหยกชิ้นนั้นเอาไว้ให้ดี เดิมทีแผ่นหยกก็เป็นของดีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงระเบิดแตกเป็นผุยผงเพราะแบกรับตัวอักษรแห่งมหามรรคาพวกนั้นไม่ไหวไปนานแล้ว”
จากนั้นเจ้าแม่เทพวารีก็ไม่ได้ปกปิดอำพรางคำพูดอีกต่อไป ประโยคถัดมาของนางไม่ว่าใครก็ล้วนได้ยิน เห็นเพียงว่านางหัวเราะเสียงดังกังวานพลางกล่าวอย่างเปิดเผยว่า “ตลอดทางมานี้คิดไปคิดมาก็เกือบจะคิดว่าควรใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณยิ่งใหญ่แล้ว โชคดีที่ข้าอดทนไว้ได้ เหล้าบุปผาไหนี้ ตอนมาข้าดื่มไปเล็กน้อย เดิมทีคิดจะปลุกความกล้าให้กับตัวเอง คิดไม่ถึงว่าพอเข้ามาในจุดพักม้า ข้าก็ยังขี้ขลาด ไม่กล้าพูดประโยคน่าอายพวกนั้นอยู่ดี เฉินผิงอัน ขาดภรรยาที่งดงามดุจบุปผาดุจหยกไปคนหนึ่ง เสียดายมากเลยใช่ไหมล่ะ? ฮ่าๆ โชคดีที่ยังเหลือเหล้ารสเลิศอีกเกินครึ่งไหนี้ เจ้าเอาไปดื่มดับทุกข์เถอะ!”
เจ้าแม่เทพวารีท่านนี้มาอย่างรีบร้อน และจากไปอย่างรีบร้อนปานกัน
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม หิ้วไหเหล้าเอาไว้ รู้สึกว่าเหล้านี่จะดื่มก็ไม่ดี ไม่ดื่มก็ไม่ดี
เหยาเจิ้นหัวเราะอย่างคนที่มีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น
เหยาเซียนจือที่หลังจากนิ่งงันเป็นไก่ไม้แล้วก็ยื่นมือสองข้างออกไป ชูนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน
เผยเฉียนยืนงงอยู่ห่างไปไกล
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่ง พาเผยเฉียนกลับไปยังที่พัก
ตอนที่คนทั้งสองแยกจากกัน เฉินผิงอันกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “วันหน้าหากเจ้าเจอกับแม่นางคนหนึ่งที่แซ่หนิง ห้ามพูดเรื่องคืนนี้ให้นางฟังเด็ดขาด!”
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “ถ้าหาก ข้าบอกว่าถ้าหาก ข้าไม่ทันระวังหลุดปากพูดไปล่ะ?”
เฉินผิงอันพูดเสียงหนัก “หลังจากที่ข้าถูกซ้อมจนเกือบตายแล้ว ข้าก็จะมาซ้อมเจ้าให้เกือบตายเหมือนกัน เข้าใจแล้วหรือยัง?!”
เผยเฉียนรีบพูดเสียงดังทันที “เข้าใจแล้ว! ข้าเรียนหนังสือมาแล้ว ตอนนี้จึงเป็นคนที่แข็งแกร่งซื่อตรง ตีให้ตายก็ไม่ยอมพูด!”
ต่างคนต่างกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
เฉินผิงอันปาดเหงื่อบนหน้าผาก
สุดท้ายก็หัวเราะ
ไม่ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอีกต่อไป แต่ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หยิบหินลับมีดก้อนเล็กๆ ที่สลักสองคำว่า ‘ไร้เดียงสา’ ไว้อย่างงดงาม และสลักสองคำว่า ‘หนิงเหยา’ ไว้อย่างน่ารักออกมา
แม่นางหนิง ข้าสบายดีมากๆ
ตลอดทางมานี้ได้เดินทางอีกไกลมาก พบเจอคนและเรื่องราวมากมาย
ข้าเริ่มคิดถึงเจ้าบ้างแล้ว ไม่ถูกสิ ข้าคิดถึงเจ้ามากๆ เลย
—–