ตอนที่ 354.1 ชุดเกราะห้าพันล้อมขุนเขา

ถึงท้ายที่สุดก็มีเพียงแค่เฉินผิงอัน เผยเฉียนและเหยาเซียนจือสามคนเท่านั้นที่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาจ้าวผิง

เผยเฉียนเบิกตากว้าง ฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง เพ่งมองดวงอาทิตย์กลมโตที่ลอยพ้นมาจากทะเลทิศตะวันออก รู้สึกเหมือนเห็นขนมเปี๊ยะสีทองชิ้นหนึ่ง อยากจะเก็บเข้ามาไว้ในกระเป๋าตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด

หลังจากตกตะลึงกับความงามและทอดถอนใจอยู่ในชั่วครู่สั้นๆ แล้ว เหยาเซียนจือก็ไม่ได้มองอะไรมากอีก ถึงอย่างไรเขาก็เคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ภาพที่ดวงจันทร์ส่องแสงไปตามแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลบ่าและท้องฟ้ามากหมู่ดาวที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาของชายแดนบ้านเกิดก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่นี่เลย ทว่าเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เหตุใดเผยเฉียนถึงจ้องดวงอาทิตย์ได้นานขนาดนั้น ไม่ปวดตาบ้างเลยหรือ? เฉินผิงอันกระโดดเบาๆ ขึ้นไปนั่งบนรั้วกั้นริมหน้าผา เหยาเซียนจือคิดอยากจะทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อคืนนี้มีทั้งปู่และพี่สาวอย่างเหยาจิ้นจืออยู่ด้วย เขาจึงไม่กล้าก่อเรื่อง ภายหลังก็มีเฉินผิงอันที่เขาให้ความเคารพเลื่อมใสที่สุดนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน เขาจึงยังไม่กล้าอยู่ดี คราวนี้เฉินผิงอันนำขึ้นมาก่อน เหยาเซียนจือจึงรีบทำตามทันที นั่งมองทะเลตะวันออกอยู่เป็นเพื่อนเฉินผิงอัน ราวกับว่าสภาพจิตใจปลอดโปร่งขึ้น จึงเปี่ยมไปด้วยความหวังและจินตนาการต่อชีวิตในเมืองเซิ่นจิ่งหลังจากนี้

ตอนที่ลงมาจากภูเขา ใบหน้าของแม่ทัพผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง บ่นเฉินผิงอันว่าไม่มีคุณธรรม ก่อนที่ตะวันจะขึ้นไม่ยอมเรียกเขาสักคำ ปล่อยให้เขาพลาดภาพเหตุการณ์ธรรมชาติอันงดงามนั้นไป ที่อุตส่าห์เดินขึ้นเขามาตั้งไกลล้วนเสียเที่ยวเปล่า เฉินผิงอันไม่สนใจเหยาเจิ้นที่แก่แล้วแต่ทำตัวเหมือนเด็ก เหยาจิ้นจือพูดประโยคเดียวว่า “ท่านปู่ เมื่อคืนวานอนุญาตให้ท่านดื่มเหล้าเป็นกรณีพิเศษ ท่านยังไม่พอใจอีกหรือ?” แม่ทัพผู้เฒ่าจึงหยุดบ่นทันที

ไม่ว่าจะเป็นเหยาเจิ้นหรือเหยาเซียนจือ ปู่หลานสองคนที่สนิทกับเฉินผิงอันมากที่สุดต่างก็รู้ดีว่าอีกไม่นานต้องจากลากับเขาแล้ว

การจากลากำลังจะมาถึง ความเศร้าย่อมกัดกินใจ

เพียงแต่ว่าหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มต่างก็เป็นแม่ทัพและขุนพลที่กินลมดื่มทรายบนสมรภูมิรบมาจนเคยชินแล้ว แม้จะเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ทำใจปล่อยวางได้ วันหน้ายังมีโอกาสได้ดื่มเหล้าร่วมกันใหม่ แสร้งตีหน้าเซ่อเลียนแบบเจ้าเด็กนั่นก็ดีเหมือนกัน เพราะจะทำให้กลายเป็นเรื่องน่าขำแทน

ในที่สุดก็มาถึงท่าเรือเถาเย่นอกเมืองเซิ่นจิ่ง ตระกูลเหยาหยุดรถม้าลง

เฉินผิงอันสะพายหีบหนังสือไม้ไผ่เขียว

เหยาหลิ่งจือเด็กสาวสะพายดาบกุมหมัดเอ่ยขอบคุณเฉินผิงอันอย่างเปิดเผยก่อนใคร “คุณชายเฉิน ข้าขอให้การเดินทางขึ้นเหนือของเจ้าราบรื่นปลอดภัย! และยิ่งขอให้โชคชะตาบู๊ของเจ้าโชติช่วงรุ่งเรือง!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเตือนว่า “การฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์จะใจร้อนไม่ได้ ยิ่งพรสวรรค์ดีเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ควรเอาแต่จับจ้องอยู่กับคำว่าฝ่าทะลุขอบเขตมากเท่านั้น วิชาหมัดนั้นพิถีพิถันในเรื่องปล่อยหมัดเก็บหมัดได้ดังใจปรารถนา คิดจะให้ร่างเบาหมัดหนักก็ต้องปูพื้นฐานให้ดี หยดน้ำทะลุหิน ก้อนหินเป็นดั่งศัตรูตัวฉกาจ หยดน้ำนี้ก็คือสัจธรรมแห่งการเรียนวิถีวรยุทธ์ของเจ้า แม่นางหลิ่งจือ ขอแค่ทำใจให้นิ่ง เจ้าย่อมต้องสามารถฝึกฝนจนประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอน”

เหยาหลิ่งจือแค่นเสียงหึ แต่ในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “อายุก็ไม่ได้มากกว่าข้าสักเท่าไหร่ แต่กลับทำตัวเหมือนคนแก่!”

แล้วเด็กสาวก็สะบัดหน้าเดินจากไป

เหยาเจิ้นไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เอ่ยสองคำว่า “รักษาตัวด้วย” กระบอกใส่พู่กันไม้ไผ่เขียวที่แกะสลักบทความของอริยะปราชญ์อันนั้นได้ถูกผู้เฒ่าเก็บไปอย่างระมัดระวังแล้ว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บมันไว้เหมือนสมบัติสืบทอดชิ้นหนึ่งของตระกูล

เมื่อคืนวานเหยาเซียนจือก็ทำหน้าด้านขอภาพวาดตัวอักษรแผ่นหนึ่งมาจากเฉินผิงอัน เก็บไว้บูชาประหนึ่งสมบัติอันดับหนึ่งของโลก วันนี้เด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่บอกว่า หวังว่าวันหน้าเฉินผิงอันจะมาเยือนเมืองเซิ่นจิ่ง

เหยาจิ้นจือที่สวมผ้าคลุมหน้ากลับพูดในสิ่งที่อยู่เหนือจากการคาดการณ์ของทุกคน นางบอกว่าจะเดินไปบนท่าเรือเถาเย่กับเฉินผิงอันเพียงลำพังระยะหนึ่ง

เหยาเซียนจือผิวปากหวือ เลยโดนเหยาหลิ่งจือถองศอกใส่เอว ทำเอาเด็กหนุ่มเจ็บจนเหงื่อแตกพลั่ก

เหยาจิ้นจือตาดี เห็นว่าป้ายหยกตรงเอวของเฉินผิงอันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ เพราะพลิกหันอีกด้านหนึ่งขึ้น

ตอนที่ออกมาจากเมืองฉีเห้อ ก่อนจะมาถึงท่าเรือเถาเย่ เฉินผิงอันหันแค่ด้านที่บอกว่า ‘สืบทอดควันธูปศาลบรรพจารย์’ ให้คนอื่นเห็น

แต่วันนี้กลับหันด้านที่มีตัวอักษรโบราณหกคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’

เหยาจิ้นจือใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองคนหนุ่มที่เดินทางจากแคว้นเป่ยจิ้นของทางเหนือมายังเมืองหลวงต้าเฉวียนผู้นี้ด้วยสายตาลึกล้ำ

นางพูดถ้อยคำตามมารยาท เนื้อหานั้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพียงแต่กลับทำให้คนรู้สึกว่านางมีความจริงใจ อ่อนโยนนุ่มนวล น่าประทับใจมากเป็นพิเศษ

เฉินผิงอันคล้ายจะรับน้ำใจ แต่ก็คล้ายว่าจะไม่ รสชาติที่ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้นคงมีเพียงคนสองคนที่ต่างก็รู้กันดีแก่ใจเท่านั้น

สุดท้ายเหยาจิ้นจือพูดคุยเรื่องความเป็นมาของคำว่า ‘จือ’ ในชื่อของคนสกุลเหยารุ่นนี้เหมือนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ที่แท้เป็นเพราะในอดีตมีหมอดูคนหนึ่งเดินทางผ่านมา โชคไม่ดีมาเจอเข้ากับเหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งหนึ่ง ถูกเหยาเจิ้นท่านปู่ช่วยไว้ หมอดูจึงช่วยทำนายให้ตระกูลเหยา เรื่องหนึ่งในนั้นคือบอกว่าในบรรดารุ่นของบรรพบุรุษสกุลเหยาได้มีบุคคลที่สุดยอดมากคนหนึ่ง อักษรตัว ‘จือ’ คืออักษรแห่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้น อีกทั้งยังสอดคล้องกับรุ่นของหลานเหยาเจิ้นพอดี ขอแค่ทุกคนใช้อักษรตัวจือก็จะสามารถรับบุญบารมีมาจากบรรพบุรุษได้ สามารถช่วยสร้างฮวงจุ้ยที่ดี ไม่แน่ว่าเด็กรุ่นหลังคนใดที่อาศัยการปกป้องจากร่มเงาของบรรพบุรุษอาจจะได้ดิบได้ดีอย่างที่ใครก็มิอาจจินตนาการถึง เหยาเจิ้นเองก็ไม่คิดอะไรมาก เห็นว่าเป็นความคิดที่ดีอย่างหนึ่งจึงเอาอักษรตัว ‘จือ’ ใส่เข้าไปในชื่อของเด็กๆ อย่างพวกเหยาจิ้นจือ สกุลเหยารุ่นนี้ คนยี่สิบกว่าคนล้วนมีตัวอักษรนี้อยู่ในชื่อทั้งสิ้น หลานสายอื่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพราะเหยาเจิ้นไม่ใช่คนลำเอียง

ซึ่งในบรรดาหลานทั้งหลายก็เป็นสามเหยาที่อยู่ข้างกายเหยาเจิ้นนี้ที่โดดเด่นที่สุด

พอเฉินผิงอันฟังจบก็พลันกระจ่างแจ้ง

สุดท้ายเหยาจิ้นจือยอบตัวคำนับเฉินผิงอันอย่างแช่มช้อย

เฉินผิงอันกำหมัดคารวะกลับคืน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “แม่นางจิ้นจือ อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งนอกจากจะช่วยแม่ทัพผู้เฒ่าวางแผนป้องกันคนถ่อยของฝ่ายต่างๆ แล้ว เจ้าต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย พูดประโยคหนึ่งที่เป็นการล่วงเกิน วันหน้าหากเจอกับอุปสรรคที่ตัวแม่นางคิดว่าข้ามผ่านไปไม่ได้ ไม่สู้ลองถามแม่ทัพผู้เฒ่าดู ให้เขาเป็นคนตัดสินใจ ไม่ต้องเก็บไว้ในใจตัวเอง ไม่ต้องทนรับกับความยากลำบากด้วยตัวเองทุกเรื่อง”

เหยาจิ้นจือถอดหมวกคลุมหน้าออกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน นางคลี่ยิ้มหวาน แต่กลับไม่พูดอะไร เอาแต่มองเฉินผิงอันอย่างเดียว

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะและบอกลาอีกครั้ง

เหยาจิ้นจือที่เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่กลับกำหมัดเลียนแบบคนในยุทธภพ ดวงตาฉ่ำประกายน้ำทั้งคู่ของนางเต็มไปด้วยประกายสดใส นางเอ่ยเสียงดังว่า “ภูเขาเขียวไม่แปรเปลี่ยน แม่น้ำมรกตไหลยาว!”

เฉินผิงอันจึงได้แต่พูดตามไปว่า “ไว้พบกันใหม่วันหน้า”

เหยาจิ้นจือไม่ต้องดื่มสุรารสเลิศ สองแก้มก็แดงปลั่งดั่งลูกท้อแล้ว

ห่างไปไกล จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “บุญคุณสาวงามยากจะทนรับ ประกายน้ำในดวงตารั้งใจคน”

สุยโย่วเปียนที่ยืนสะพายกระบี่อยู่ด้านข้างแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

เฉินผิงอันเดินกลับมาหาพวกเขา เผยเฉียนสะพายห่อสัมภาระไว้เอียงๆ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า การเดินทางหลังจากนี้ไม่มีรถม้าให้นั่งอีกแล้ว แต่นางกลับกระตือรือร้นพร้อมออกเดินทาง แค่เดินจะต้องกลัวอะไร ไม่อย่างนั้นรอยด้านที่ขึ้นบนฝ่าเท้าจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ?

เฉินผิงอันโบกมือบอกลาขบวนเดินทางตระกูลเหยา

ก้นของม้าตัวที่เหยาเซียนจือขี่อยู่กระดกขึ้นสูง เขาโบกมือให้เฉินผิงอันอย่างแรง

คนกลุ่มของเฉินผิงอันเดินทางขึ้นเหนือกันต่อ เขาทอดถอนใจด้วยความเสียดายเบาๆ “น่าเสียดายที่ไม่มีหิมะใหญ่ตกลงมา ไม่อย่างนั้นจะได้ปีนขึ้นไปบนยอดเขาจ้าวผิงอีกครั้ง ดูสิว่าเมืองเซิ่นจิ่งจะเป็นดินแดนเซียนบนโลกมนุษย์อย่างที่เล่าลือหรือไม่”

เผยเฉียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นพวกเรารอให้หิมะตกก่อนค่อยไปดีไหม?”

สองวันมานี้นางเอาแต่พันแข้งพันขาอยู่ข้างกายเหยาจิ้นจือทั้งวัน ปากก็เรียกพี่หญิงเทพเซียนไม่หยุด พยายามประจบเอาใจสตรีที่ในใจนางคิดว่า ‘หน้าตางดงามแต่ไม่กล้าพบเจอผู้คน’ แล้วหลังจากนั้นเหยาจิ้นจือก็มอบของขวัญก่อนจากลาให้นางชิ้นหนึ่งจริงๆ มันบรรจุไว้ในกล่องไม้ขนาดเล็กกะทัดรัด ด้านในมีเงินยาเซิ่งรูปแบบของราชวงศ์ก่อนที่เหยาจิ้นจือเก็บสะสมมาด้วยความยากลำบากสองสามเหรียญ และยังมีหลินจือขนาดเล็กที่แกะสลักจากไม้ลักษณะโบราณชิ้นหนึ่ง บวกกับของอื่นๆ อีกสิบกว่าชิ้น ตอนแรกเผยเฉียนคิดจะหลอกเอาเงินมาจากนางหลายๆ ตำลึง เฉินผิงอันไม่มีทางห้าม และนางเองถือไว้ก็ไม่หนัก ผลกลับกลายเป็นว่าเหยาจิ้นจือมอบปัญหาใหญ่ที่ยุ่งยากนี้ให้กับนาง เผยเฉียนเลยไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ สุดท้ายเป็นเหยาจิ้นจือที่จูงมือเผยเฉียนมามอบกล่องเก็บสมบัติให้กับเฉินผิงอัน อธิบายว่าด้านในมีสิ่งของที่แปลกและประณีต แต่กลับไม่มีค่า หวังว่าเฉินผิงอันจะไม่ปฏิเสธ เดิมทีเฉินผิงอันจะไม่รับไว้ หรือไม่ก็จะเลือกเอามาแค่ชิ้นเดียว แต่ว่าเหยาจิ้นจือยืนกรานหนักแน่น เฉินผิงอันจึงได้แต่ช่วยรับไว้แทนเผยเฉียน ใส่เก็บไว้ในหีบไม้ไผ่ สำหรับเรื่องนี้เผยเฉียนไม่แสดงท่าทีไม่สบอารมณ์เลยสักนิด กลับกันยังมองว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน กล่องไม้ใหญ่ขนาดนี้หนักจะตายไป ใส่ไว้ในห่อสัมภาระแล้วให้นางเดินแบกไปที่ยอดเขาเทียนเชวียอะไรนั่น จะไม่เหนื่อยตายหรอกหรือ?

คราวนี้ด้านหนึ่งนางยุให้เฉินผิงอันไปรอคอยหิมะใหญ่ในเมืองเซิ่นจิ่ง ด้านหนึ่งก็คิดในใจอย่างอารมณ์ดีว่าจะได้มีการจากลาเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะได้เงินขาวทองอร่ามที่นางอยากได้มากที่สุดมาก็เป็นได้!

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เจ้าอยู่ต่อในเมืองเซิ่นจิ่ง?”

เผยเฉียนกระดกห่อสัมภาระที่สะพายอยู่ด้านหลังให้เข้าที่ กำไม้เท้าเดินป่าแน่น กลับคำใหม่อย่างว่องไวเหมือนหญ้าบนกำแพง (ตรงกับสำนวนไทยว่า นกสองหัว เพราะหญ้ายอดกำแพงมันล้มเอนลงมาได้ทั้งสองฝั่ง) ด้วยการพูดอย่างเด็ดเดี่ยวผึ่งผาย “อยู่ดีๆ ข้าก็รู้สึกว่าควรต้องรีบเดินทางถึงจะถูก!”

เฉินผิงอันพูดกับคนทั้งสี่ว่า “ไม่ได้ขอม้าศึกมาจากตระกูลเหยา พวกเราก็ได้แต่เดินเท้าไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาเทียนเชวียแล้วล่ะ”

จูเหลี่ยนคลี่ยิ้มทันใด “เดินมากๆ ช่วยให้ยืดเส้นยืดสายได้”

……

ในท่าเรือเถาเย่มีเรืออูเผิง (เรือไม้ขนาดเล็กที่ตรงกลางมีหลังคาครึ่งวงกลม ทอจากไม้ไผ่ ทาด้วยสีดำ) ลำเล็กอยู่ลำหนึ่งลอยห่างจากขบวนเดินทางตระกูลเหยามาไกลมาก ตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่งค่อยๆ หุบฝ่ามือข้างหนึ่งที่ขาวนวลราวกับหยกกลับมา แล้วหันไปพูดกับผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างกาย “นำความไปบอกเซินกั๋วกงเสียหน่อยว่า เลิกคิดหาเรื่องเฉินผิงอันได้แล้ว คนผู้นี้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพชนแห่งภูเขาไท่ผิง หากฆ่าคนผู้นี้ อย่าว่าแต่ราชวงศ์ต้าเฉวียนจะเจอกับหายนะเลย อารามจินติ่งของพวกเราก็จะเจอกับภัยพิบัติล้างสำนักไปด้วย”

ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นลุกขึ้นแล้วพุ่งตัวจากไป

ยังเหลือผู้ฝึกตนสาวอีกคนหนึ่งที่คอยต้มชาให้กับบุรพาจารย์ ถึงอย่างไรก็เป็นหญิงสาวจากตระกูลเซียนที่ฝึกตนมาตั้งแต่เด็ก ผิวพรรณของนางจึงขาวนวลยิ่งกว่าหิมะ

เซียนดินก่อกำเนิดท่านนี้นั่งเฉยอย่างนิ่งสงบ เอ่ยด้วยสีหน้าที่เฉยชาว่า “ทุกอย่างที่ทำมาล้วนสูญเปล่า”

เนื่องจากจำนวนมีน้อยนิด เดิมทีป้ายหยกศาลบรรพชนของภูเขาไท่ผิงที่ห้อยอยู่ตรงเอวเฉินผิงอันนั้นก็ถูกกล่าวขานถึงเป็นวงกว้างในกลุ่มของตระกูลเซียนบนภูเขาใหญ่อยู่แล้ว

และเซียนดินทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิด ส่วนใหญ่ล้วนต้องรู้เรื่องวงในอย่างแน่นอน

ถึงอย่างไรนักพรตหญิงหวงถิงผู้นั้นก็เคยทำให้สำนักต่างๆ เผชิญกับความยากลำบากกันมาไม่น้อย เพียงแต่ว่าตลอดหกสิบปีมานี้ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่รู้ว่านางกำลังปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตหรือว่าถูกบุรพาจารย์ของภูเขาไท่ผิงกักตัวไว้กันแน่

หากไปหาเรื่องภูเขาไท่ผิงในเวลานี้ย่อมถือว่าเสียสติยิ่งกว่าไปท้าทายสำนักใบถงและสำนักกุยหยกในเวลาปกติเสียอีก

ต่อให้เป็นตู้หันหลิงก็ยังไม่กล้าเหมือนกัน

อีกอย่างเดิมทีเขาก็แค่ทำการค้าเล็กๆ ประหนึ่งการปักลายบุปผาลงบนผ้าแพรกับเสินกั๋วกงและผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเกาซื่อเจินก็เท่านั้น หากฆ่าเฉินผิงอันได้ย่อมดีที่สุด ไม่ฆ่าเฉินผิงอันก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ส่งผลกระทบกับแผนการใหญ่ของอารามจินติ่งพวกเขาอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่าทำเช่นนี้เกาซื่อเจินอาจจะเต้นผางด่ากราดลามไปถึงมารดาเขา

แต่นั่นจะสำคัญกับอารามจินติ่งและเขาตู้หันหลิงได้อย่างไร?

เรื่องเล็กๆ บนโลกมนุษย์ ฮ่องเต้หรืออัครเสนาบดีจะใหญ่ได้สักแค่ไหนกันเชียว

เซียนดินก่อกำเนิดท่านนี้ครุ่นคิด เวลานี้สถานการณ์โดยรวมวุ่นวายโกลาหล หมากบางเม็ดของอารามจินติ่งถูกวางรากฐานไว้ตามที่ต่างๆ แล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรลองเดินไปให้สูงอีกก้าว ไม่อย่างนั้นขอบเขตที่มีอยู่ตอนนี้ย่อมไม่มากพอ

ส่วนข้อที่ว่าเกาซื่อเจินจะตามไปไล่ฆ่าคนหนุ่มผู้นั้นอย่างเสียสติหรือไม่ นี่ไม่เกี่ยวข้องกับอารามจินติ่งนานแล้ว

“ท่านบุรพาจารย์ จะให้ข้าแอบไปเตือนเฉินผิงอันสักคำหรือไม่?”

นักพรตหญิงเอ่ยถามเสียงเบา เพียงแต่ไม่นานนางก็ปฏิเสธความคิดนี้ของตัวเอง “วาดงูเติมหาง ทุกเรื่องย่อมมีขอบเขต หากเลยเถิดไปจะไม่ดี”

ตู้หันหลิงส่ายหน้ายิ้ม “ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม อีกอย่างคนที่จะทำหน้าที่เป็นคนดีนี้ก็ควรจะเป็นเส้ายวนหราน มิใช่เจ้า”

ในดวงตาของผู้ฝึกตนหญิงแต้มยิ้ม “ท่านบุรพาจารย์ช่างปราดเปรื่อง”

ตู้หันหลิงยิ้มอย่างไม่ยี่หระ

……

ไม่ต้องให้เฉินผิงอันขอ เหยาเจิ้นก็เอาแผนที่ขอบเขตทางทิศเหนือของต้าเฉวียนหนึ่งฉบับมามอบให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังมีแผนที่ของมณฑลและเขตการปกครองที่ละเอียดยิ่งกว่า ทำให้เฉินผิงอันรู้เส้นทางคร่าวๆ ในการเดินทางไปยังยอดเขาเทียนเชวียนานแล้ว

คนทั้งกลุ่มเดินออกจากถนนทางหลวงเข้าไปในถนนดินเหลืองเส้นหนึ่ง

บนหน้าผากของเผยเฉียนแปะยันต์สีเหลืองหนึ่งแผ่น ในมือถือไม้เท้าเดินป่า เดินเร็วราวกับสายลม

เผยเฉียนอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงชวนคุย “เหล่าเว่ย หลังจากเจ้ากินอิ่มแล้วต้องผายลมเหม็นๆ ออกมาบ้างไหม?”

เว่ยเซี่ยนไม่สนใจนาง

เผยเฉียนจึงไปก่อกวนคนอื่นแทน “เสี่ยวป๋าย ทำไมถึงไม่เคยเห็นเจ้าอึเลยล่ะ? อั้นไว้ในท้องแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”

หลูป๋ายเซี่ยงหลุดหัวเราะพรืด

เผยเฉียนวิ่งไปหยุดอยู่ข้างกายสุยโย่วเปียนที่อยู่ด้านหลังสุด นางเงยศีรษะขึ้น พูดด้วยสีหน้าประจบประแจง “พี่หญิงสุย เจ้าบินได้หรือเปล่า? ข้าได้ยินนักเล่านิทานใต้สะพานลอยเล่าบ่อยๆ ว่าพวกเทพเซียนไม่เพียงแต่บินบนหลังคา เดินไต่กำแพงได้ ยังสามารถสาดถั่วเหลืองออกไปให้กลายเป็นทหาร ทะยานลมขี่เมฆ ตาแก่นั่นจะหลอกดื่มเหล้าจากคนอื่น ข้าไม่เชื่อหรอก แต่ข้าเชื่อพี่หญิงสุย ข้าเคยเห็นคนเหยียบบนกระบี่บินมาแล้ว พี่หญิงสุยเจ้าหน้าตางดงามปานนี้ก็น่าจะทำเป็นเหมือนกันกระมัง? หากข้าโตแล้ว แล้วสวยได้สักครึ่งหนึ่งของพี่หญิงสุย ข้าคงดีใจตายเลย”

สุยโย่วเปียนหัวเราะหึหึใส่เจ้าตัวขี้ประจบน้อย

สุดท้ายเผยเฉียนไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดปลงอนิจจังอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก “เมื่อก่อนตอนข้าอยู่บ้านเกิดมักจะรู้สึกว่าหากกินดินแล้วอิ่มท้องได้ อีกทั้งกินแล้วยังไม่ตายก็คงเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าอ่านเจอจากในตำราบอกว่าทิศเหนือของใบถงทวีปมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ดินกวนอิมของที่นั่นสามารถกินแทนข้าวได้จริงๆ”

เผยเฉียนทำสีหน้าตื่นตะลึง “เอาดินมากินแทนข้าวได้จริงๆ?! ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรสะพายตะกร้าไปขุดมาหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ทางผ่าน”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset