ตอนที่ 355.2 ลมคาวฝนเลือดของบนภูเขา

มีนักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวคนหนึ่งเดินทางมาถึงเมืองเล็กชายแดนทางใต้ของต้าเฉวียน เขาไม่ได้เดินเข้าไปในเมืองหูเอ๋อร์ เพียงแค่เดินช้าๆ เลียบไปตามกำแพงดินนอกเมืองที่ไม่ถือว่าสูงเท่าใดนัก ขณะที่เดินก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาลูบไล้ผ่านผนังที่หยาบหนาเบาๆ ใบหน้าแต้มยิ้มบางๆ

สุดท้ายเขาเดินเลียบทางหลวงไปจนถึงโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้กับเมืองเล็ก กิจการของโรงเตี๊ยมซบเซา เด็กหนุ่มขาเป๋นอนงีบหลับฟุบอยู่บนโต๊ะ ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งสูบยาอยู่ตรงผ้าม่าน สตรีแต่งงานแล้วนั่งคิดบัญชีอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน คิดไปคิดมานางก็นึกอยากจะยกลูกคิดขึ้นทุบนัก

นักพรตหนุ่มเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา สายตาของเขาอ่อนโยน เอ่ยเรียกเบาๆ ว่าจิ่วเหนียง จิ่วเหนียง

เด็กหนุ่มขาเป๋เงยหน้าขึ้นอย่างสะลึมสะลือ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เหตุใดบัณฑิตตกอับคนหนึ่งจากไปแล้ว แต่กลับยังมีนักพรตหนุ่มที่ปรารถนาในความงามของเถ้าแก่เนี้ยะโผล่มาอีกคนหนึ่ง? ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีหน้าตาดีหลงเหลือแล้วหรือไง?! ถึงต้องมาคอยตามตอแยเถ้าแก่เนี้ยะของพวกเขาอยู่ได้?

สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้น ถามอย่างสงสัย “นักพรตน้อย พวกเรารู้จักกันหรือ?”

นักพรตหนุ่มที่หน้าตาไม่โดดเด่น นอกจากจะสวมกวานเต๋าที่ค่อนข้างพบเห็นได้ยากแล้ว ด้านอื่นๆ ล้วนไม่สะดุดตา หน้าตาธรรมดา ตัวไม่สูงไม่เตี้ย ชุดนักพรตก็ค่อนไปทางเก่าซีดอย่างเห็นได้ชัด

สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าสายตาของคนผู้นี้ประหลาดมาก ทั้งไม่มีความลามกหยาบโลนเหมือนชายฉกรรจ์ในเมืองหูเอ๋อร์ แล้วก็ไม่มีความลุ่มหลงที่ทำให้คนไม่เข้าใจอย่างจงขุย แต่เป็นสายตาของคนรู้จักที่จากกันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง แม้ปากจะเอ่ยทักทาย และก็เห็นอยู่ว่าสายตาของเขามองมาที่นาง แต่กลับเหมือนมองผ่านไปไกลยิ่งกว่านั้น

จิ่วเหนียงรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย หลังจากนางถามไป นักพรตหนุ่มคนนั้นก็แค่ยิ้มมองตน สายตาของเขายิ่งแจ่มจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งทำให้คนหวั่นใจมากขึ้น

อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลอาบหน้านักพรตหนุ่ม แต่เขากลับถามด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่วเหนียง พวกเรากลับบ้านกันไหม?”

ไม่รอให้จิ่วเหนียงเปิดปากด่า

นักพรตหนุ่มก็เช็ดคราบน้ำตา พูดเยาะหยันตัวเอง “เป็นข้าที่จำคนผิดเอง โปรดอภัยด้วยๆ”

เขานั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ควักเศษเงินไม่กี่เม็ดออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบลงบนโต๊ะ พูดพลางยิ้มบางๆ “เงินทั้งหมดนี้ใช้ซื้อเหล้า ซื้อได้กี่กาก็ซื้อเท่านั้น”

โรงเตี๊ยมตั้งอยู่ริมชายแดน มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันสัญจรผ่านไปมา มักจะมีนักเดินทางที่รับมือไม่ง่ายมาเยือนเป็นประจำ เด็กหนุ่มขาเป๋ทำงานอยู่ในโรงเตี๊ยมมานานหลายปี เคยเห็นแขกที่น้ำเข้าสมอง (เปรียบเปรยว่าสมอง/ความคิดมีปัญหา) มาเยอะแล้ว แล้วก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องคิดอะไรให้มากความ จึงหยิบเงินมา พูดว่า “เหล้าบ๊วยของโรงเตี๊ยมเรา หากเป็นเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุด ลูกค้าสามารถซื้อได้แค่ไหเดียว…”

นักพรตหนุ่มไม่รอให้เด็กหนุ่มขาเป๋กล่าวจบก็ชิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็เอาเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุดมาหนึ่งไห”

ออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่ว่ากับใครก็มิอาจสนิทสนม เดินทางหาประสบการณ์อย่างเงียบเหงายิ่งกว่าเหล่าอริยะปราชญ์เช่นนี้ ไม่ดื่มเหล้าจะได้อย่างไร

เขาดื่มเหล้าชั้นดีและชั้นเลวมาเกือบทั่วทั้งใบถงทวีปแล้ว

เขาชอบดื่มเหล้า มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ระดับขั้นพอใช้ได้มาเป็นกาเหล้าก็พอดีเลย

ส่วนกระบี่บินสองเล่มที่มีความเป็นมาประหลาดในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น หากถูกทำลายไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ายังเก็บไว้ได้ก็ยิ่งดี

หลังจากกลับคืนสู่บ้านเกิด เอาพวกมันไปมอบเป็นของขวัญให้แก่เด็กรุ่นหลังในตระกูล ก็ถือว่าเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ที่พลาดพิธีการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของพวกเขาไป ที่บ้านเกิดของเขา การมอบกระบี่ให้ดีกว่ามอบอะไรทั้งหมด

เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงในใบถงทวีปครั้งนี้ เจตนารมณ์สวรรค์ได้ถูกเปิดเผยออกมาตั้งนานแล้ว ลูกน้องสองคนไม่สามารถซุ่มจำศีลได้ถึงท้ายที่สุด ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะคำว่าฟ้าอำนวยยังคงอยู่ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าในนาตยทวีปและฝูเหยาทวีปจะราบรื่นกว่านี้หรือไม่

เดิมทีทั้งภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีต่างก็ควรพินาศย่อยยับไปแล้ว เทียนจวินบรรพจารย์และเจ้าสำนักของภูเขาไท่ผิง สองสามีภรรยาจีไห่ต้องตายกันทั้งหมด ลูกรักแห่งสวรรค์ที่ยึดครองโชคชะตาจำนวนมากของหนึ่งทวีปไปเพียงลำพังอย่างนักพรตหญิงหวงถิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ส่วนจงขุยวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝูผู้นั้น อันที่จริงในใบลำดับรายชื่อของนักพรตหนุ่มภูเขาไท่ผิงคนนี้ อีกฝ่ายก็อยู่ในอันดับต้นๆ เช่นกัน

จงขุยตายไปคนหนึ่ง มีความหมายยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองภูเขาไท่ผิงถูกถล่มราบเลย

ดังนั้นตอนที่เขาออกคำสั่งแก่วานรขาวสะพายกระบี่ ต่อให้ใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิตก็ยังไม่ขาดทุน หากหลังจบเรื่องสามารถหลบหนีเข้าไปในเส้นทางมังกรที่แตกพังแห่งนั้นได้สำเร็จ ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักแค่ไหนก็ล้วนถือว่าได้กำไรก้อนโตแล้ว หลังจากนั้นแค่หลบซ่อนตัวให้ดีก็พอ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็ปกป้องวานรเฒ่าไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็สามารถพาคนจากใต้หล้าไพศาลไปได้แค่คนเดียว หากวานรเฒ่าไม่ถูกทำร้ายจนเสียหายไปถึงรากฐานแห่งมหามรรคาก็ยังเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตสิบสอง เขาอาจจะพามันไปด้วยกัน ไม่ใช่คิดถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนจนต้องมาดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้

เดิมทีจงขุยควรจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกนิด ได้เป็นคนลุ่มหลงในรักนานอีกหน่อย

ท่านปู่สามผู้เฒ่าหลังค่อมใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่จิ่วเหนียงว่าให้ระวังคนผู้นี้ ทว่าสตรีแต่งงานแล้วยังยืนกรานจะถือกาเหล้าและถ้วยขาวสองใบมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนักพรตหนุ่มคนนั้นด้วยตัวเอง

จิ่วเหนียงรินเหล้าใส่ถ้วยทั้งสอง ถามด้วยรอยยิ้มว่า “นักพรตน้อยจำคนผิดหรือว่ารู้จักกับข้าจริงๆ?”

นักพรตหนุ่มยกเหล้าบ๊วยขึ้นดื่มหนึ่งอึกแล้วเอ่ยชมว่าเป็นเหล้าดี ก่อนจะยกหลังมือเช็ดปาก “เป็นข้าที่จำคนผิด”

จิ่วเหนียงยิ้มตาหยีถามว่า “นักพรตน้อยช่างกล้าหาญ ใจกล้าไม่เบา ระหว่างที่เอ่ยพูดไม่เคยเรียกตัวเองว่านักพรตผู้ต่ำต้อย หรือว่าเป็นนักพรตตัวปลอมที่สวมรอยเป็นเทพเซียนของภูเขาไท่ผิง?”

นักพรตหนุ่มส่ายหน้า “เป็นนักพรตจริงจนจริงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แค่หาเนื้อหนังมังสามาสวมวิญญาณ ฝึกตนอยู่บนภูเขาไท่ผิงมาร้อยปีถึงได้รับป้ายหยกแผ่นนั้น ภายหลังระหว่างที่ลงจากเขามาหาประสบการณ์ได้ตายไป แม้แต่โครงกระดูกก็ไม่เหลือ ทางสำนักเองก็ไม่มีแม้แต่โอกาสได้เก็บแผ่นหยกนั้นกลับไป น่าอนาถมากเลยล่ะ หลังจากนั้นมาข้าก็เปลี่ยนโฉมใหม่ ออกเดินทางไปทั่วทิศ แล้วก็เริ่มหาเหล้าดื่ม สุดท้ายกลับมาที่ต้าเฉวียน ท่องไปตามสถานที่ดีๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่นลำคลองหมายเหอ แล้วยังได้เจอบัณฑิตคนหนึ่งที่ชื่อหวังฉีในเมืองเซิ่นจิ่ง ตอนนั้นคนผู้นั้นอายุไม่น้อยแล้ว ตั้งชื่อได้ไม่เลว ฉีคำนี้สามารถใช้คำว่าอริยะมาอธิบายได้ ฝึกบำเพ็ญร่างกาย จิตใจก็เด็ดเดี่ยวซื่อตรง”

“เขื่อนยาวพันลี้ยังพังลงได้ด้วยรังมด น่าเสียดายที่วิญญูชนผู้ยิ่งใหญ่กลับต้องมาถูกทำลายเพราะความโลภเพียงคำเดียว”

ตอนที่ยกถ้วยเหล้าขึ้น ข้อมือของจิ่วเหนียงสั่นเบาๆ

นางพลันกระดกเหล้าดื่มจนหมด พอวางถ้วยลงแล้วถึงถามว่า “เหตุใดต้องพูดเรื่องพวกนี้กับข้า คิดจะฆ่าข้ารึ?”

นักพรตหนุ่มคล้ายได้ยินเรื่องตลกที่สุดในใต้หล้า เขาพึมพำว่า “บอกแต่แรกแล้วว่าจำคนผิด ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า คนที่ข้ารู้จักผู้นั้นมีเก้าชีวิต จะฆ่าได้อย่างไร? ฆ่าเจ้าครั้งหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าป๋ายก็จะเกิดจิตเชื่อมโยงครั้งหนึ่ง เจ้าไม่รู้อะไร นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเล่นงานพวกเราอย่างน่าอนาถแค่ไหน ต่อให้อริยะลัทธิขงจื๊อฆ่าข้า ข้าก็แค่ร่อแร่ใกล้ตาย ช่วยให้ข้าได้กลับบ้านเร็วหน่อยเท่านั้น แต่ขอแค่นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเห็นข้า ต่อให้มีหนึ่งใต้หล้าขวางกั้น เขาก็ยังสามารถทำให้กระดูกของข้าป่นเป็นผุยผงได้อยู่ดี”

เขาพูดสะท้อนใจด้วยน้ำเสียงเศร้าอาลัย “ข้าเองก็ตัดใจฆ่าไม่ลงด้วย”

‘นักพรตหนุ่ม’ ที่สามารถบงการให้ปีศาจใหญ่สองตัวทุ่มสุดชีวิตเพื่อตัวเองคลี่ยิ้ม ยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ “ใบถงทวีปเผชิญกับหายนะใหญ่ครั้งนี้ วันหน้าหากย้อนกลับมาดูจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นความโชคดีในความโชคร้าย”

คลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ในใจของจิ่วเหนียง

“ไม่ต้องกังวล ข้าได้ดื่มเหล้ารสเลิศ ได้บ่นเรื่องพวกนี้ไปแล้ว พวกเจ้าจะจำอะไรไม่ได้สักอย่าง” นักพรตหนุ่มวางถ้วยเหล้าลง ยื่นนิ้วออกมาวาดวงกลมบนขอบถ้วย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินไปจากโรงเตี๊ยม

ภาพเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมแปลกประหลาดยิ่ง ราวกับว่ากาลเวลาหมุนย้อนกลับ จิ่วเหนียง ท่านปู่สามและเด็กหนุ่มขาเป๋เริ่มพูดจาและทำท่าทางต่างๆ ย้อนกลับหลัง

สุดท้ายเมื่อนักพรตหนุ่มข้ามธรณีประตูโรงเตี๊ยมออกไป ทุกอย่างจึงกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม เด็กหนุ่มขาเป๋นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ผู้เฒ่าหลังค่อมสูบยาอยู่ตรงผ้าม่านหน้าประตู จิ่วเหนียงยังคงดีดลูกคิด

ทุกอย่างหยุดนิ่ง

มีเพียงถ้วยเหล้าใบนั้นของนักพรตหนุ่มที่เหลือค้างอยู่บนโต๊ะ

เขาเอี้ยวตัวมาด้านหลัง มองไปทางโต๊ะคิดเงิน

‘จิ่วเหนียง’ เงยหน้ามองประสานสายตากับนักพรตหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา

นักพรตหนุ่มมองไปยังด้านหลังของ ‘จิ่วเหนียง’ หางสีขาวหิมะหลายหาง ใหญ่ประดุจต้นเสาเบียดเสียดกันอยู่ด้านหลังของสตรีแต่งงานแล้ว

นักพรตหนุ่มนับหางจิ้งจอกแล้วขมวดคิ้ว แต่ไม่นานหัวคิ้วก็คลายออก เขาคลี่ยิ้มแล้วจากไป

‘จิ่วเหนียง’ พูดเสียงเย็น “สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องถูกลากตัวออกมา”

เขาออกไปจากโรงเตี๊ยมไกลมากแล้ว ทว่าเสียงของเขากลับยังดังก้องอยู่ในโรงเตี๊ยม “ปรารถนาแต่มิอาจได้มาครอง หาไม่แล้วเหตุใดข้าต้องทำเรื่องเกินความจำเป็นเพื่อเล่นงานคนหนุ่มผู้หนึ่งที่แม้แต่ภูเขาไท่ผิงก็ยังคิดจะปกป้องด้วยเล่า”

ครู่หนึ่งต่อมา

เด็กหนุ่มขาเป๋ส่งเสียงกรนเบาๆ ต่ออีกครั้ง หมอกควันลอยอบอวล เสียงดีดลูกคิดของสตรีแต่งงานแล้วดังขึ้นอย่างสะเปะสะปะ

ผ่านไปอีกนานมาก สตรีแต่งงานแล้วถึงชำเลืองมองไปยังถ้วยขาวบนโต๊ะแล้วใช้ฝ่ามือตบลงบนลูกคิด กล่าวเสียงขุ่น “เจ้าเป๋น้อย เจ้าตาบอดหรือไง ทำไมไม่เก็บถ้วยเหล้าบนโต๊ะ?!”

เด็กหนุ่มขาเป๋สะดุ้งตื่นทันที เห็นว่าอยู่ดีๆ บนโต๊ะก็มีถ้วยเหล้าใบหนึ่งโผล่มาเลยเกาหัว เขาจำได้ว่าเก็บกวาดจนสะอาดหมดแล้วนะ แต่เพราะไม่กล้าเถียงเถ้าแก่เนี้ยะที่กำลังอารมณ์ไม่ดีจึงลุกมาเก็บถ้วยเหล้าเอาไปไว้ในห้องครัว

ชายแดนที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีคนหนุ่มคนหนึ่งที่สวมกวานเต๋าบิดเบี้ยวเดินไปพลางร้องเพลงเสียงดัง “เก็บน้ำเต้า เก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าเอย เก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าเอามาใส่เหล้า มือเล็กของสาวงามผู้เป็นที่รักยามรินสุราอ่อนนุ่มดุจหยกขาวดุจรากบัว…”

……

นอกวัดร้าง ลมฝนพัดกระโชกแรง

ทว่าถึงแม้จะมีฝนตกกระหน่ำขนาดนี้กลับยังมีกลิ่นคาวเลือดลอยมาให้ได้กลิ่น

สุยโย่วเปียนพุ่งตัวไปทางด้านหนึ่ง วันนี้นางไม่ได้ควบคุมกระบี่ยาวเหมือนอาจารย์กระบี่อย่างตอนศึกในโรงเตี๊ยม แต่ถือกระบี่ชือซินไว้ในมือ เรือนกายเคลื่อนไหวปราดเปรียวดุจลิงป่า พลิกตัวหมุนตีหลังกากลับไปกลับมาอยู่ท่ามกลางผืนป่า ทุกครั้งที่เสือกกระบี่ออกไป ปราณกระบี่ที่พุ่งนำจะต้องผ่าร่างของทหารชายแดนต้าเฉวียนที่สวมเสื้อเกราะเหล่านั้นออกเป็นสองท่อน

หลูป๋ายเซี่ยงไปยังทิศทางตรงข้ามกับสุยโย่วเปียน เขาเดินก้าวยาวๆ ขอแค่มีทหารสวมเสื้อเกราะถือดาบขยับเข้ามาใกล้ก็จะโบกดาบอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ไม่เหมือนสุยโย่วเปียนที่ตวัดกระบี่ฉวัดเฉวียนอย่างเต็มที่ หลูป๋ายเซี่ยงนั้นไม่ว่าจะเป็นคมดาบหรือพายุลมกรดที่เล็กบางดุจเส้นขนก็ล้วนเลือกแค่ลำคอของพลทหารราบ หรือไม่ก็ใช้ปลายดาบ ‘ชี้’ ไปที่หน้าผากของเหล่าทหารชายแดนเท่านั้น

ระหว่างนี้ในผืนป่าสองข้างฝั่งก็จะมียอดฝีมือวิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มทหารธรรมดาคอยฉวยโอกาสลอบโจมตีหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน

และยิ่งมีธนูที่ถูกเหนี่ยวเต็มแรงสาดยิงออกมา

ปราณเฉียบคมทั่วร่างของสุยโย่วเปียนกลับเข้มข้นยิ่งกว่าปราณกระบี่ชือซินที่อยู่ในมือเสียอีก

ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่หญิงคนแรกที่พยายามจะใช้กระบี่แหวกม่านฟ้า พาเรือนกายที่มีเลือดเนื้อบินทะยาน

หลูป๋ายเซี่ยงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสบายอารมณ์

ทหารสวมเสื้อเกราะที่ถือเป็นยอดฝีมือในโลกมนุษย์เหล่านี้ ต่อให้มีศัตรูที่รับมือได้ยากหลายคนปะปนอยู่ด้วย แต่จะคู่ควรกับคำว่า ‘ล้อมสังหาร’ ได้อย่างไร? ไม่รู้หรือว่าศึกสุดท้ายในชีวิตก่อนของหลูป๋ายเซี่ยงต้องเจอกับปรมาจารย์ยอดฝีมือจากทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมที่รวมตัวกันมามากแค่ไหน?

อีกอย่าง

วันนี้คนสามคนที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาดในโรงเตี๊ยมนอกเมืองหูเอ๋อร์ และรวมถึงตัวจูเหลี่ยนเองด้วยต่างก็แตกต่างไปจากวันวาน

สุยโย่วเปียนตั้งใจฝึกวิชากระบี่ ปรับตัวเข้ากลับการไหลเวียนของลมปราณในใต้หล้าไพศาลอย่างรวดเร็ว จูเหลี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงหรือจะเกียจคร้าน? พวกเขาเองต่างก็ต้องแบ่งสมาธิไปปรับตัวเข้ากับขอบเขตหกของผู้ฝึกยุทธ์ที่ถูกปราณวิญญาณของฟ้าดินแห่งนี้กรอกเทเข้าร่าง และผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุดที่ต้องสร้างขอบเขตให้มั่นคง ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างมาก

หน้าประตูของวัดร้าง

เฉินผิงอันแค่ให้กระบี่บินชูอีสืออู่ร่วมมือกับจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์ลอบโจมตีองค์ชายหลิวจงกะทันหันครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ลงมืออีก ยังคงถือกิ่งไม้ยืนอยู่ใต้ชายคา

สวี่ชิงโจวที่สวมเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ยของสำนักการทหาร และสวีถงเซียนซือจากอารามฉ่าวมู่ บวกกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่คอยปกป้องอยู่เบื้องหน้าหลิวจง ต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นมัลละตนหนึ่งจากยันต์ของสวีถงและชีวิตของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งถึงจะสกัดกั้นการลอบโจมตีครั้งนี้ได้

ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเพื่อรับมือกับขันทีชุดหม่างหลี่หลี่ เฉินผิงอันได้ใช้ทุกวิธีการที่ตัวเองมี ทั้งสวี่ชิงโจวและสวีถงต่างก็รู้ชัดเจนดี ดังนั้นพวกเขาจึงคาดการณ์ถึงชูอีกับสืออู่กระบี่บินสองเล่มที่ผลุบโผล่อย่างลึกลับไว้ได้ก่อนแล้ว

หลิวจงทั้งรบทั้งถอย สวี่ชิงโจวและสวีถงคอยปกป้องอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่ท่านนี้ตลอดเวลา

ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนอื่นที่มีประสบการณ์ในสนามรบมานานก็พยายามต้านทานการกระโจนเข้าสังหารของผู้เฒ่าหลังค่อมตลอดเวลา แล้วยังต้องคอยระวังชายร่างเล็กเตี้ยแต่กำยำที่สวมเสื้อเกราะสีขาวหิมะที่อยู่ด้านหลังซึ่งยังไม่ลงมือคนนั้นด้วย

ทหารสวมเกราะสองพันนายบนภูเขา รวมไปถึงอีกสามพันนายที่อาจขึ้นเขามาให้ความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ บวกกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพและยอดฝีมือในยุทธภพที่ถูกจ้างมาด้วยเงินก้อนใหญ่ หลิวจงไม่ได้เพ้อฝันว่าขบวนทัพเช่นนี้จะสามารถสังหารเฉินผิงอันและปรมาจารย์ผู้ติดตามเขาอีกสี่คนได้ แต่ขอแค่สังหารหรือทำร้ายคนสองสามคนให้ได้รับบาดเจ็บก็ถือว่ากุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว

จูเหลี่ยนในเวลานี้ไม่ผิดต่อฉายา ‘ผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์’ ของตัวเองแม้แต่น้อย

พละกำลังแผ่ไปทั่วแปดทิศรอบกายเขา ร่างทั้งร่างประหนึ่งสปริงดีด ว่องไวดุจสายฟ้า

พอมีลมพัดใบไม้ไหว ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีความสามารถก้นกรุเป็นวิชาลอบโจมตีจะต้องขนตั้งชันดุจง้าวศึก ขยับหลบได้อย่างแม่นยำเหมือนรู้ล่วงหน้า

ตอนที่จูเหลี่ยนกระโจนเข้ามาเข่นฆ่า ผู้เฒ่าหลังค่อมจะต้องค้อมเอวต่ำกว่าปกติด้วยความเคยชิน มือทั้งสองข้างแตะพื้น ทุกครั้งที่เท้าเหยียบพื้นก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นดั่งลูกธนูที่ยิงไปยังทิศทางใด เรือนกายของเขาเคลื่อนไหวว่องไวเกินไปจริงๆ

ครั้งหนึ่งคว้าโอกาสได้ จูเหลี่ยนจึงมาโผล่อยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนติดตามกองทัพวัยกลางคนคนหนึ่งอย่างลึกลับ ปล่อยหมัดใส่หน้าท้องของคนผู้นี้ จากนั้นก็ใช้ศพที่ตายคาที่เป็นโล่บังสกัดกั้นมีดใหญ่จากมัลละเกราะเงินของสวีถงที่ฟันผ่าเข้ามา ครั้นจึงโยนศพทิ้งแล้วขยับไปข้างหน้าอีกหลายก้าวในเสี้ยววินาที เหวี่ยงมือปาดไปกระแทกเข้าที่ศีรษะของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว ผู้ฝึกตนกลายเป็นศพไร้หัวที่ร่วงกระแทกบนพื้นห่างไปไกลหลายจั้ง

บนร่างของเว่ยเซี่ยนสวมซีเยว่หนึ่งในแปดบรรพบุรุษของเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน ใช้มือคว้าจับอาวุธวิเศษของผู้ฝึกตนที่พุ่งสวนไหล่กับจูเหลี่ยนไป ขอแค่ถูกเขาคว้าไว้ในมือ หากไม่ถูกบีบให้ระเบิดแตกก็ต้องถูกเขาใช้สองมือหักให้งอ

นอกจากนี้ยังมีทหารสวมเกราะถือดาบวิ่งกรูกันมาจากเส้นทางสองฝั่งอย่างต่อเนื่อง

เว่ยเซี่ยนจึงเริ่มก้าวถอยหลัง

จูเหลี่ยนมักจะใช้มือตบใช้เท้าเตะอาวุธวิเศษที่เหล่าผู้ฝึกตนเป็นผู้ควบคุมให้ลอยไปหาเว่ยเซี่ยน เว่ยเซี่ยนจึงต้องสังหารทหารที่กระโจนเข้าใส่วัดร้าง แล้วยังต้องคอยเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่จูเหลี่ยนโยนมาด้วย

ห่างออกไปไกลบนภูเขา หลิวจงที่พยายามมองไปทางสนามรบตรงจุดนั้นถามด้วยสีหน้าเป็นปกติ “หรือว่าคนห้าพันคนของข้าต้องตายกันหมดจริงๆ? ต้องใช้ชีวิตทั้งห้าพันชีวิตมากองกันเพื่อสังเวยในการสังหารคนเหล่านี้?”

สวี่ชิงโจวเอ่ยเสียงหนัก “คงต้องเป็นเช่นนี้ ข้าและสวีถง รวมไปถึงคนสามคนที่องค์ชายจัดหามาก่อนหน้านี้จะพยายามคว้าโอกาสเหมาะโจมตีเอาชีวิตพวกเขาในช่วงเวลาที่คนทั้งสี่ผลัดเปลี่ยนลมปราณ ไม่ให้คนเหล่านี้ต้องตายไปอย่างเสียเปล่าก็แล้วกัน”

หลิวจงกำดาบประจำตัวที่ห้อยไว้ตรงเอวแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปน “เหตุใดศักยภาพแท้จริงของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์สี่คนที่อยู่ตรงหน้าถึงได้แตกต่างจากข้อมูลที่สายลับรายงานมามากขนาดนี้?!”

เซียนซือสวีถงยิ้มจืดเจื่อน “อันที่จริงข้ากับแม่ทัพสวี่สงสัยมากกว่าองค์ชายเสียอีก ตอนนั้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยม พวกเรายังสามารถต่อสู้กันได้อย่างสูสี แต่คืนนี้หากจับคู่เข่นฆ่ากัน ข้ากับแม่ทัพสวี่ย่อมตายอย่างมิต้องสงสัย”

หลิวจงพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที “ไม่โทษพวกเจ้า เป็นเพราะเฉินผิงอันผู้นั้นอำพรางตนได้ลึกล้ำเกินไป ไม่เป็นไร ต่อให้ฝ่ายเราจะบาดเจ็บล้มตายมากแค่ไหนก็ล้วนใช้ร่างของไอ้หมอนี่ชดเชยกลับคืนมาได้!”

ใต้ชายคาวัดร้าง เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองป้ายหยกศาลบรรพจารย์ที่นักพรตหนุ่มของภูเขาไท่ผิงนำมามอบให้ตนแล้วจมอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset