เจ้าประมุขสกุลเจียงของสำนักกุยหยกที่ได้ครอบครองพื้นที่สวรรค์ถ้ำเมฆามีใบหน้างดงามดุจหยกสลัก หากว่ากันแค่รูปโฉมก็ยังนับว่าหล่อเหลาและอ่อนเยาว์กว่าเจียงเป่ยไห่บุตรชายโทนของเขาเสียอีก เวลานี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าการที่ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นสังหารปีศาจใหญ่จนแผนการของบุรพาจารย์สำนักใบถงเหลวไม่เป็นท่า ทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้พกพาอาวุธเซียนของสำนักที่มีพลังพิฆาตมหาศาลมาด้วย เพื่อวิถีกระบี่ของลู่ฝ่างสหายรัก เขาจึงแอบไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวมารอบหนึ่ง นั่นเท่ากับว่าได้หายตัวไปจากใบถงทวีปเป็นเวลาหกสิบปี ฝ่ายในของสำนักกุยหยกมีคนตำหนิเขาไม่น้อย ดังนั้นถึงได้ผลักเขาออกมา อีกทั้งยังคิดจะให้ม้าวิ่งโดยไม่ให้ม้ากินหญ้า ก็สมควรแล้วที่เจ้าประมุขสกุลเจียงผู้นี้จะทำงานอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่ใช่หรือ?
แม้ว่าในใจของซ่งเหมาเจินจวินแห่งภูเขาไท่ผิงที่สวมชุดเต๋า สวมกวานดอกบัวจะไม่ชอบใจเล็กน้อย แต่เขาแยกแยะถูกผิดได้อย่างชัดเจน อีกฝ่ายตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร ไม่เห็นตนและภูเขาไท่ผิงอยู่ในสายตา แสดงว่าย่อมมีความมั่นใจของตัวเอง เพียงแต่คิดไม่ออกจริงๆ ว่าใบถงทวีปมีผู้ฝึกกระบี่ที่เวทกระบี่เทียมฟ้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ซ่งเหมาคาดเดาจิตใจและเบื้องหลังของอีกฝ่ายไม่ออก ไม่รู้ว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงออกกระบี่ คิดจะอาศัยโอกาสที่สังหารปีศาจมาแบ่งคุณความชอบ หรือแค่ทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้? จะเป็นเพราะอยากได้ศพของปีศาจใหญ่ที่ทุกอณูล้วนถือเป็นสมบัติล้ำค่าหรือเปล่า? หรือถึงขั้นคิดจะเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเองทั้งหมด ไม่ยอมให้คนทั้งสามแตะต้อง? ซ่งเหมาย่อมไม่สนใจศพของปีศาจใหญ่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายในใบถงทวีปครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าปีศาจใหญ่คือตัวการชั่วร้าย สมคบคิดกับเดรัจฉานเฒ่าอย่างวานรขาวสะพายกระบี่ตนนั้น ถึงได้ทำให้ภาคกลางของใบถงทวีปมีภูตผีปีศาจออกอาละวาด จึงจำเป็นต้องเอาศพมันกลับไปให้สำนักศึกษาขงจื๊อตรวจสอบดู แล้วค่อยให้สำนักศึกษาออกหน้าเชิญสำนักหยินหยางมาอนุมานคำนวณเจตนารมสวรรค์
ดังนั้นซ่งเหมาจึงยังไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรออกไป
มือกระบี่นิสัยประหลาดคนนั้นมองมาทางบุรพาจารย์ของสำนักใบถง เอ่ยสองคำว่า “ไม่ยอม?”
บุรพาจารย์เฒ่าที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วทั้งสำนักใบถงพูดด้วยประโยคที่แฝงไว้ด้วยปราณสังหาร “ทางที่ดีที่สุดควรไว้ชีวิตปีศาจใหญ่ตนนี้แล้วนำกลับไปที่สำนักใบถง ไม่แน่ว่าอาจสามารถสอบถามจนได้รู้แผนการชั่วร้ายที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น เจ้าเห็นว่าปีศาจใหญ่บาดเจ็บสาหัสเลยใช้หนึ่งกระบี่สังหารมัน ทีนี้เบาะแสก็ขาดแล้ว แล้วพวกเราจะสืบสาวเบาะแสจนไปพบผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างไร? ไม่อย่างนั้นเหตุใดพวกเราสามคนต้องไล่ฆ่ามันมาไกลขนาดนี้? ช่างบังเอิญยิ่งนัก ทะเลตะวันตกของใบถงทวีปกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหลบหนีของปีศาจใหญ่พอดีอย่างนั้นรึ?”
ใบหน้าแต้มยิ้มของเจ้าประมุขสกุลเจียงสำนักใบหยกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาจะไม่อยากร่วมวงดูเรื่องสนุก
ซ่งเหมากำลังจะเปิดปากพูด
ผู้ฝึกกระบี่แปลกหน้าที่เป็นแค่ชายวัยกลางคนผู้นั้นเอ่ยอย่างเฉยเมย “งั้นก็ลงมือเลยสิ”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ผู้ฝึกกระบี่พูดแค่สองประโยคนี้
ไม่ยอม
ก็ลงมือสิ
นี่ใช่ท่าทีของเทพเซียนบนภูเขาซะที่ไหน ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่อยู่กึ่งกลางภูเขายังไม่แน่ว่าจะหยาบคายขนาดนี้ หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ของยุทธภพชั้นล่างก็ว่าไปอย่าง
ซ่งเหมาไม่ทันได้เป็นผู้ไกล่เกลี่ยสถานการณ์
หนึ่งกระบี่ก็ถูกส่งออกมาอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าคราวนี้พุ่งใส่บุรพาจารย์สำนักใบถงที่ ‘ไม่ยอม’
เทพเซียนผู้เฒ่าคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ได้แต่รีบเรียกสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหล่อหลอมมาพันปีชิ้นหนึ่งออกมา นี่คือระฆังใหญ่ที่ใช้ในงานพิธีใบหนึ่งซึ่งได้มาจากถ้ำสวรรค์ที่ปริแตก ระฆังคือผู้นำของแปดเสียง ระฆังทองสัมฤทธิ์โบราณที่พอผ่านการหล่อหลอมแล้วสูงแค่หนึ่งช่วงแขนใบนี้ลอยอยู่เหนือศีรษะของบุรพาจารย์สำนักใบถง แต่กายธรรมของระฆังโบราณกลับสูงหลายสิบจั้ง ปกคลุมผู้เฒ่าไว้ภายใน ด้านนอกของระฆังโบราณสลักลายจารึกซึ่งเป็นบทความของอริยะลัทธิขงจื๊อผู้มีคุณธรรมท่านหนึ่งในยุคบรรพกาล เวลานี้ตัวอักษรใหญ่เท่ากำปั้นกำลังเคลื่อนขยับอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่ายืนตระหง่านอยู่ด้านใน เรียกได้ว่าโอ่อ่าน่าเกรงขามยิ่ง
เพียงแต่ว่าหลังจากปราณกระบี่เส้นนั้นพุ่งแสกหน้าเข้ามา ผู้เฒ่าที่นึกว่าอย่างน้อยก็น่าจะต้านทานได้ชั่วครู่ชั่วยามกลับค้นพบว่ากายธรรมของระฆังโบราณที่อยู่เบื้องหน้าถูกผ่าออกโดยตรง เขาจึงไม่กล้าประมาทอีก รีบถอยกรูดไปพร้อมกับระฆังทองสัมฤทธิ์อันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต หวังว่าหลังจากที่ตนถอยห่างไปออกไปหนึ่งร้อยจั้งแล้ว พลังอำนาจของปราณกระบี่จะถดถอยลง
ถอยแล้วถอยอีก
เหนือผิวมหาสมุทรเป็นระยะทางไกลสิบกว่าลี้ปรากฏร่องลึกเส้นหนึ่งที่เนิ่นนานน้ำทะเลก็ยังไม่ท่วมทับกลับเข้ามา
เมื่อในที่สุดปราณกระบี่ก็หายไป บุรพาจารย์สำนักใบถงหน้าไร้สีเลือด นอกจากความตกตะลึงพรึงเพริดแล้วยังเปี่ยมไปด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง ในมือถือประคองระฆังโบราณแห่งชะตาชีวิตใบนั้นเอาไว้ เห็นว่าด้านบนปรากฏเป็นรอยกรีดจางๆ รอยหนึ่ง
นี่เขาต้องทุ่มเทวัตถุดิบวิเศษอีกมากมายเท่าไหร่ถึงจะซ่อมมันให้กลับมาเหมือนใหม่ได้อีกครั้ง?!
อย่าว่าแต่ใบถงทวีปเลย แล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานที่เล็กๆ ทางเหนืออย่างแจกันสมบัติทวีป ต่อให้เป็นนาตยทวีปก็ไม่ควรมีเซียนกระบี่เช่นนี้! เฉาซีที่หล่อหลอมแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งมาเป็นกระบี่บินที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเชือกรัดข้อมือ คนที่รับผิดชอบดูแลหอสยบมหาสมุทรผู้นั้นก็ยังไม่มีปราณกระบี่เช่นนี้!
ผู้ฝึกกระบี่ที่เห็นว่าหนึ่งกระบี่ของตนทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าไสหัวไปได้ไกลขนาดนั้น ในที่สุดก็ไม่รู้สึกขวางหูขวางตาอีก จึงหันไปถามกับอีกคนแทนว่า “งิ้วฉากนี้สนุกไหม?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าประมุขสกุลเจียงแข็งค้างทันที รีบกุมหมัดเอ่ยขออภัย “เสียมารยาทแล้ว หวังว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่จะให้อภัย”
ผู้ฝึกกระบี่แค่นเสียงหยัน “ผู้อาวุโส? เจ้าอายุมากกว่าข้าเยอะเลยล่ะ”
เมื่ออยู่บนภูเขาของใบถงทวีป เจ้าประมุขตระกูลเจียงผู้นี้มีนิสัยหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนเป็นที่เลื่องลือ เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บนเส้นทางของการฝึกตน ผู้ที่เรียนรู้ได้อย่างชำนาญย่อมได้อยู่หน้าสุด ข้าเจียงซ่างเจินหรือจะกล้าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับผู้อาวุโส”
ผู้ฝึกกระบี่ไม่สนใจเจียงซ่างเจินที่ไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อผู้นี้อีก เขามองไปทางตาแก่ที่ยังหวาดผวาไม่คลายซึ่งอยู่ห่างไปไกลคนนั้น “ดูเหมือนว่าบนร่างของเจ้ามีสมบัติหนักที่เชี่ยวชาญในการโจมตี ท่าจะไม่เลว ขอให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?”
บุรพาจารย์เฒ่าที่เพิ่งจะถูกเล่นงานไปหยกๆ พอจะรู้นิสัยของผู้ฝึกกระบี่คนนี้แล้วว่าเจ้าอารมณ์ยิ่งกว่าเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงเสียอีก ไหนเลยจะกล้าเอาอาวุธสำคัญของสำนักออกมาแสดงอย่างโง่งม ใช้ก้นคิดยังรู้เลยว่าผู้ฝึกกระบี่คนนี้ย่อมไม่ยอมเลิกราง่ายๆ หากอยู่ๆ เขาเอ่ยว่า ‘ในเมื่อเอาออกมาแล้วก็อย่าให้สิ้นเปลืองเปล่าเลย มาลองแลกเปลี่ยนกันดูสักกระบวนท่า ลองดูว่าใครมีฝีมือมากกว่ากัน’ ถ้าอย่างนั้นตนควรจะรับคำท้าของอีกฝ่ายหรือไม่? ไม่รับ คนจากสำนักกุยหยกและภูเขาไท่ผิงต่างก็มองดูอยู่ด้านข้าง หากรับ รับหนึ่งกระบี่ของอีกฝ่ายไว้ได้ก็ถือว่ายังดี แต่หากรับไม่ได้ก็จะต้องตายตกไปเป็นเพื่อนปีศาจใหญ่ตนนั้นน่ะหรือ?
ผู้ฝึกตนเฒ่าไม่กล้าวางโตอีกต่อไป รีบพูดว่า “พกอาวุธหนักของสำนักมาก็เพื่อให้สะดวกในการสังหารปีศาจ ไม่อาจเอาออกมาแสดงได้ส่งเดช”
กล่าวจบในใจก็นินทาอีกฝ่ายไม่หยุด
บนโลกมีผู้ฝึกกระบี่ที่กำเริบเสิบสานไร้เหตุผลขนาดนี้ได้อย่างไร อริยะลัทธิขงจื๊อมัวทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่จัดการดูแลซะบ้าง?!
ไม่รอให้ผู้ฝึกตนเฒ่ารู้สึกว่าในเมื่อตนยอมถอยให้ขนาดนี้แล้ว หากผู้ฝึกกระบี่คนนั้นพอจะมีสมองอยู่บ้างก็น่าจะหยุดเมื่อพอสมควร
ผู้ฝึกกระบี่กลับถามขึ้นเสียก่อนว่า “หากเจ้าไม่เอาออกมาจะรับกระบี่ที่สองของข้าได้อย่างไร?”
บุรพาจารย์สำนักใบถงโมโหจนไฟโทสะพุ่งสูงสามจั้ง คิดว่าข้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่หงุดหงิดไม่เป็นจริงๆ หรือไร?
เจียงซ่างเจินตีหน้าเคร่ง ทว่าในใจแอบหัวเราะสนุกสนาน
ขวางหูขวางตากับท่าทางกวนโอ๊ยของผู้ฝึกตนสำนักใบถงผู้นี้มานานแล้ว ไม่เพียงแค่เขา คนทั้งสำนักกุยหยกต่างก็รู้สึกเช่นนี้ โดยเฉพาะอดีตเจ้าประมุขของตนที่ชั่วชีวิตนี้เคยโมโหรุนแรงแค่ไม่กี่ครั้ง ทว่าแทบทุกครั้งล้วนมีต้นเหตุมาจากผู้ฝึกตนสำนักใบถงผู้นี้ทั้งสิ้น
ซ่งเหมาเจินจวินแห่งภูเขาไท่ผิงเอ่ยเสียงหนัก “ตอนนี้ภูตผีปีศาจปรากฏตัวสร้างความวุ่นวายในใบถงทวีป ขอผู้อาวุโสเซียนกระบี่โปรดอย่าออกกระบี่วันนี้เลย”
ผู้ฝึกกระบี่ดึงสายตากลับมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเป็นคนรับกระบี่นี้แทน?”
ซ่งเหมากล่าวอย่างไม่ลังเล “ได้สิ! ไม่ว่าจะรับไว้ได้หรือไม่ คนของสำนักใบถงและสำนักกุยหยกต่างก็อยู่ด้วย พวกเขาย่อมส่งข่าวไปให้ภูเขาไท่ผิงของข้า เป็นข้าซ่งเหมาที่สู้ผู้อื่นไม่ได้ ต่อให้ตายอยู่ที่นี่ ภูเขาไท่ผิงก็จะไม่เกลียดแค้นผู้อาวุโสเลย!”
ผู้ฝึกกระบี่พึมพำคำว่าภูเขาไท่ผิงอยู่สองครั้งก็คล้ายจะนึกอะไรออกจึงพูดด้วยรอยยิ้มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงไม่เลวเลยจริงๆ ใบถงทวีปก็มีแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาได้ สำนักอื่นๆ ล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
ซ่งเหมาตะลึงงันไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นสยบปราณกระบี่ทั่วร่างลงเล็กน้อย เป็นท่าทีที่บอกว่าตนจะไม่ออกกระบี่อีกแล้ว
ช่างเถิด เสี่ยวฉีเคยพูดถึงภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ เคยพูดว่าอะไรแล้วนะ มีความกล้าหาญองอาจดุจคนในยุคโบราณ?
ผู้ฝึกกระบี่กล่าว “ศพของปีศาจใหญ่ พวกเจ้าเอาไปได้เลย”
ซ่งเหมารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก หลังเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วก็กุมหมัดคารวะ “ขอบคุณผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่ช่วยสังหารปีศาจ”
ผู้ฝึกกระบี่ลังเลเล็กน้อย เขามองไปที่คนทั้งสาม ถามว่า “มีใครรู้จักคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันหรือไม่? รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
ซ่งเหมาและบุรพาจารย์สำนักใบถงต่างก็งงงันไม่รู้เรื่องรู้ราว
เจียงซ่างเจินชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ ก่อนตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ารู้พอดี”
ผู้ฝึกกระบี่ถาม “หมายความว่าไง?”
เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจเล่าเรื่องที่เขาพบเห็นในพื้นที่มงคลดอกบัวให้ผู้ฝึกกระบี่นิสัยประหลาดที่มีวิชากระบี่เลิศล้ำผู้นี้ฟังคร่าวๆ
ผู้ฝึกกระบี่พยักหน้ารับอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “พื้นที่มงคลเล็กๆ อันดับหนึ่งในใต้หล้า…พอจะถูไถได้อยู่กระมัง”
เจียงซ่างเจินถามหยั่งเชิง “ผู้อาวุโสต้องการให้ข้าช่วยดูแลให้หรือไม่?”
ผู้ฝึกกระบี่เหล่มองอีกฝ่ายด้วยหางตา “เจ้าคู่ควรหรือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ ไม่พูดอะไรอีก
แล้วผู้ฝึกกระบี่ก็ทะยานจากไปไกล
ห่างไกลจากใบถงทวีปมากขึ้นทุกที
เขาจั่วโย่วคร้านจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาอะไรนั่นให้ใคร
รอจนผู้ฝึกกระบี่คนนั้นออกห่างไปจากที่แห่งนี้แล้ว เจียงซ่างเจินถึงหัวเราะตาหยี “เป็นใต้หล้าไพศาลของพวกเราที่น่าสนใจกว่าจริงๆ ด้วย”
ซ่งเหมาถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้จักเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นี้หรือ?”
เจียงซ่างเจินเพียงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
ผู้ฝึกตนเฒ่าของสำนักใบถงที่กลับมาอยู่ข้างกายคนทั้งสองอย่างระมัดระวังแค่นเสียงเย็น “วิชากระบี่ของคนผู้นี้สูงส่ง แต่ว่า…”
เจียงซ่างเจินพูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “แต่ว่าอะไร?”
ผู้ฝึกตนเฒ่าจำต้องกลืนคำพูดที่มารออยู่ตรงริมฝีปากกลับลงท้องไป
เขากลัวการออกกระบี่ของเจ้าหมอนั่นจริงๆ ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
นาทีถัดมา ผู้ฝึกตนเฒ่าก็รู้สึกว่าสุสานบรรพบุรุษของตนมีควันเขียวผุด (เปรียบเปรยว่าจะมีเรื่องโชคดี หรือจะได้เป็นขุนนาง อีกนัยหนึ่งหมายถึงบรรพบุรุษช่วยคุ้มครองลูกหลาน และยังเป็นคำด่า คำเสียดสีได้ด้วย) ขึ้นมาแล้วจริงๆ
ที่แท้ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นย้อนกลับมาในเสี้ยววินาที เขาชำเลืองตามองผู้ฝึกตนเฒ่า แต่กลับทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้คนแซ่เจียง “โอสถปีศาจของปีศาจใหญ่ตนนี้เป็นของเจ้าแล้ว”
เจียงซ่างเจินกุมหมัดกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้น้อยรู้ว่าควรทำเช่นไร”
ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วไปจากโลกมนุษย์แห่งนี้อีกครั้ง
……
ในตำหนักกลางเส้นทางมังกรที่ผุพังของใบถงทวีปเส้นนั้น วานรเฒ่ามองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดลัทธิเต๋า
นักพรตหนุ่มยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
นักพรตเฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่หวังไว้สำเร็จสมใจปรารถนา ดีใจหรือไม่?”
นักพรตหนุ่มยิ้มเจื่อน “แปลกใจมากเลยล่ะ”
แม้วานรขาวที่นั่งอยู่บนแท่นพันธนาการมังกรจะไม่สามารถวางแผนชั่วร้ายที่สร้างหายนะให้แก่ครึ่งหนึ่งของใบถงทวีปได้อย่างนักพรตหนุ่ม แต่ฝึกบำเพ็ญตนมาหนึ่งพันปี สายตาของมันย่อมยังพอจะมีแววอยู่บ้าง
เจ้าอารามกวานเต๋า นักพรตเฒ่าตงไห่ที่ว่ากันว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจหาตัวได้พบ
หากคิดจะเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว คนบนโลกก็ได้แต่ตามหานักพรตน้อยที่สะพายน้ำเต้าสีทองลูกใหญ่ ขนาดเทพเซียนพสุธาตัวจริงเสียงจริงกลุ่มใหญ่ยังต้องใช้ความอดทนในการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเจ้าตัวน้อยนั่น
นักพรตหนุ่มลุกขึ้นยืน เอ่ยถามว่า “ท่านนักพรตผู้เฒ่ามาที่นี่เพื่อจะผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์ สังหารข้าให้จบเรื่องกันไป?”
นักพรตเฒ่าเอ่ยเย้ยหยัน “ฟ้ายังถล่มลงมาแล้ว ไหนเลยจะยังผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์ได้อีก ข้ามาที่นี่ก็เพราะอยากจะเห็นว่า ใครกันที่มีความกล้าและความสามารถ กล้าละโมบอยากได้ร่มใบถงคันนั้นที่ข้ามอบให้คนอื่นไปแล้ว”
นักพรตหนุ่มกระจ่างแจ้งโดยพลัน “คือร่มกระดาษน้ำมันที่นังหนูน้อยคนนั้นถือไว้ในมือเองหรือ?”
เขาถอนหายใจ “หากรู้แต่แรกว่าเฉินผิงอันมีความเกี่ยวข้องกับท่านนักพรตผู้เฒ่า ข้าคงไม่กล้าล่วงเกิน แบบนี้ไม่เท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?”
นักพรตผู้เฒ่าเดินสวนไหล่กับนักพรตหนุ่มไป เดินขึ้นบันไดไปบนแท่นพันธนาการมังกรทีละก้าว “ข้าไม่มีความสนใจในโลกมนุษย์ ไม่คิดจะฆ่าเจ้า แต่ก็ควรกระตุ้นความจำของคนบางคนที่นอนหลับอย่างเป็นสุขอยู่ในผ้าห่มบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงลืมไปนานแล้วว่าในอดีตตาแก่พวกนั้นทำอะไรเอาไว้บ้าง”
นักพรตหนุ่มหันตัวกลับไป ยิ้มพลางเดินตามไปด้านหลังนักพรตเฒ่าตงไห่กวานเต๋า เดินขึ้นที่สูงไปทีละก้าว “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่เมตตา”
มีประโยคนี้ของนักพรตเฒ่า
ต่อให้แผนการของเขาในใบถงทวีปจะถูกเปิดโปงก่อนกำหนดก็ยังถือว่าสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับโชคดีหลังโชคร้ายก็เป็นได้
หลังกลับไปถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในเทือกเขาแห่งนั้น คอยทำงานหนักรับใช้เจ้าคนตาบอด ต้องคอยย้ายภูเขาลูกแล้วลูกเล่าอยู่ทุกปี เอามาวางตรงนั้น เอาไปวางตรงนี้ คนอื่นรู้สึกว่าน่าสนุก ทว่าปีศาจใหญ่ที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นมีใครบ้างที่ไม่รู้สึกว่าอยู่ไม่สู้ตาย? ประเด็นสำคัญคือไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เหล่าผู้พิชิตแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างถึงคล้ายจะไม่เคยคิดร่วมมือกันถอนตะปูตัวใหญ่ตัวนี้แล้วโยนทิ้งไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน
นักพรตผู้เฒ่าเดินขึ้นไปบนแท่นพันธนาการมังกร ชำเลืองตามองวานรขาวที่ทำท่าเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจแล้วพยักหน้าเบาๆ “สัตว์เดรัจฉานน้อยน่าสนใจไม่เบา ข้าจะถือโอกาสคล้อยไปตามสถานการณ์ จำไว้ว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวจงเอาวิชาสะพายกระบี่บทนั้นออกมา”
พริบตานั้นวานรขาวแห่งภูเขาไท่ผิงที่ไม่มีกระบี่เซียนให้สะพายก็หายตัวไปจากแท่นพันธนาการมังกร
ความคิดของนักพรตหนุ่มแล่นว่องไว เขาลองอนุมานไปเงียบๆ ปากก็ถามว่า “วานรขาวไม่อยู่แล้ว ไม่สู้ผู้อาวุโสพูดเข้าประเด็นมาเลยว่าต้องการให้ข้าทำอะไร?”
นักพรตเฒ่าถามกลับ “ความตั้งใจเดิมของเจ้าคือคิดจะทำอะไร?”
นักพรตหนุ่มตอบตามความจริง “บอกไปแล้วคงต้องตายอยู่ที่แท่นพันธนาการมังกรแห่งนี้ ข้าไม่พูดดีกว่า”
นักพรตเฒ่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ข้าให้โอกาสเจ้าไปแล้ว เจ้าที่เป็นปีศาจใหญ่ ขอบเขตสูงสุดของร่างจริงห่างจากขอบเขตสิบสามอีกแค่นิดเดียว ทว่าแม้แต่เฉินผิงอันคนเดียวก็ยังไม่กล้าฆ่า ดังนั้นจึงพลาดโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าไป ตอนนั้นที่เฉินชิงตูแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ยอมให้เฉินผิงอันยืมกระบี่เล่มหนึ่งก็เพื่อจะถ่ายโอนผลกรรมบางอย่างไปให้แก่เฉินผิงอัน หากเจ้าสังหารเขา เจ้าและใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็จะสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ ส่วนข้าก็สามารถฉวยโอกาสนี้เก็บเฉินผิงอันไว้ในอารามกวานเต๋า ทั้งสามารถทำให้เจ้าซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นโมโหตาย แล้วก็สามารถทำให้ตำแหน่งเบาะรองนั่งของตัวข้าเองขยับขึ้นสูงอีกขั้นใหญ่”
หัวใจของนักพรตหนุ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
นักพรตเฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้สายไปแล้ว”
นักพรตหนุ่มกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจอย่างสุดแสน