แท่นพันธนาการมังกรเก่าแก่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงดังครืนครั่น ความว่างเปล่าที่เป็นสีดำมืดมิดนอกแท่นพันธนาการมังกรมีสายฟ้าเปล่งแสงแปลบปลาบพร้อมเสียงฟ้าร้องคำรณ
นักพรตเฒ่าเอ่ยขึ้น “หากเจ้าเป็นคน แล้วอยู่ในสำนักจ้งเหิงของใต้หล้าไพศาล อนาคตย่อมไม่เลว แต่หากเป็นคนของสำนักหยินหยาง คุณสมบัติของเจ้ากลับยังไม่ดีพอ”
นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับอย่างจนใจ “เป็นเช่นนี้จริง”
นักพรตเฒ่าพลันเอ่ยประโยคหนึ่งที่มีความหมายลึกล้ำยิ่ง “อันที่จริงเด็กรุ่นหลังในสองใต้หล้าอย่างพวกเจ้า หากเกิดเร็วกว่านี้สักหน่อย และโชคดีมีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ในหลายๆ ด้านล้วนถือว่าไม่เลว”
นักพรตหนุ่มจมสู่ภวังค์ความคิด
นักพรตเฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปคว้าจับหนึ่งครั้ง สายฟ้าที่แลบวูบวาบอยู่นอกแท่นพันธนาการมังกรก็ผ่าแหวกทะลวงตราผนึกและกฎเกณฑ์ กรูกันเข้ามาในแท่นพันธนาการมังกร แล้วมารวมตัวเป็นกลุ่มอยู่ใจกลางฝ่ามือของนักพรตเฒ่า สุดท้ายกลายเป็นลูกสายฟ้าขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่ง
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้นักพรตหนุ่มหยุดความคิดทั้งหมดลง ยิ้มจืดเจื่อน
นี่ก็คือความห่างชั้น
ถึงขั้นที่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับตบะว่าสูงหรือต่ำ
นักพรตเฒ่าเก็บลูกสายฟ้านั้นไว้ในชายแขนเสื้อ พูดเบาๆ ว่า “หนึ่งในเมธีร้อยสำนักที่ซิ่วไฉเฒ่าดูแคลนอย่างมาก อันที่จริงมีคนคนหนึ่งในนั้นที่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกใบนี้ออกมาด้วยหนึ่งประโยค”
ดวงตาของนักพรตหนุ่มฉายประกายร้อนแรง “ขอท่านผู้อาวุโสโปรดไขข้อข้องใจให้ผู้น้อยด้วย!”
นักพรตเฒ่าหันหน้ากลับมา สายตาเย็นชา “เจ้าเป็นเผ่าปีศาจตนหนึ่ง ปากพร่ำเรียกข้าว่าผู้อาวุโส เรียกตัวเองว่าผู้น้อยอย่างนั้นรึ? เจ้าเห็นข้าเป็นสัตว์เดรัจฉานเฒ่าหรืออย่างไร?”
ไม่มอบโอกาสใดๆ ให้แก่นักพรตหนุ่ม
ดวงวิญญาณที่เดิมทีก็ไม่สมประกอบลอยออกมาจากเนื้อหนังมังสาที่ถูกเลือกสรรอย่างบรรจง ถูกนักพรตเฒ่าบีบคอเอาไว้ ส่วนเรือนกายของ ‘นักพรตหนุ่มภูเขาไท่ผิง’ กลับอ่อนยวบพังพาบลงบนพื้น จากนั้นจึงหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่าไม่ต่างจากร่างของวานรขาวก่อนหน้านี้
เหลือทิ้งไว้เพียงกวานดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหนึ่งในสามลัทธิเต๋าที่อยู่บนแท่นพันธนาการมังกร
นักพรตเฒ่าสะบัดมือทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ วิญญาณของปีศาจใหญ่ที่จำแลงเป็นร่างคนซึ่งยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของนักพรตหนุ่มกระแทกลงบนพื้นแรงๆ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้เขากลับยังรีบบังคับกวานเต๋ารูปดอกบัวให้เข้ามาอยู่ในมือแล้วรีบสวมไว้บนศีรษะอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าตอนนั้นเพื่อให้ข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้สำเร็จ จึงได้แต่ฝากให้คนอื่นช่วยซ่อนหนึ่งจิตสี่วิญญาณเอาไว้ ถึงสามารถออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เดินเข้ามาทางภูเขาห้อยหัว สุดท้ายมาถึงใบถงทวีปแห่งนี้
ทว่าฝึกตนอยู่ในใต้หล้าไพศาลมานานขนาดนี้ อีกทั้งหนังหุ้มวิญญาณที่เลือกมาก็ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ดังนั้นสุดท้ายจึงยังได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสองเซียนเหริน
แต่เมื่อมาอยู่ใต้น้ำมือของนักพรตเฒ่ากลับไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ตอบโต้
นักพรตเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ‘ท่อนไม้ยาวหนึ่งฉื่อ หักมันครึ่งหนึ่งทุกวัน ไม่มีทางหักได้หมด’” (เปรียบเปรยถึงว่าเรื่องราวสามารถแบ่งแยกไปได้อีกมากมายอย่างไร้ขีดจำกัด)
ปีศาจใหญ่ที่อาศัยกวานดอกบัวมาทำให้ดวงวิญญาณมั่นคงเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก “คือหนึ่งในความรู้ของบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาท่านนั้นที่ไม่ถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุด ข้าเคยเห็นมาหลายครั้งจากในตำราของแต่ละสำนัก เพียงแต่ไม่เคยใคร่ครวญอย่างจริงจังมาก่อน”
นักพรตเฒ่าเอ่ยเย้ยหยัน “ถึงได้บอกว่าพวกเจ้าโง่อย่างไรล่ะ”
ปีศาจใหญ่ที่หลงเหลือเพียงดวงวิญญาณ ไร้เรือนกาย สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะรู้สึกวูบโหวงในใจ ไม่เคยรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดเท่านี้มาก่อน
นักพรตเฒ่าหันหน้ากลับไป คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ตราผนึกบนดาบแคบหยุดหิมะที่เป็น ‘ของตกทอดในปีนั้น’ ข้าทำลายทิ้งไปแล้ว เจ้าถือสาหรือไม่?”
ปีศาจใหญ่ส่ายหน้าไม่พูดไม่จา
นักพรตเฒ่าคลี่ยิ้ม “แม้แต่คำประจบยกยอยังไม่รู้จักพูด สมควรแล้วที่ต้องเจอกับหายนะใหญ่เช่นนี้”
ปีศาจใหญ่มึนงงไม่เข้าใจ
นักพรตเฒ่าเดินก้าวหนึ่งเข้าไปในความว่างเปล่า จากไปทั้งอย่างนี้
……
ตอนที่เฉินผิงอันคลี่ม้วนภาพแห่งชะตาชีวิตของสุยโย่วเปียนแล้วโยนเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งเข้าไป
เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัวมีฝนเม็ดเล็กโปรยปรายลงมา
ช่วงต้นฤดูหนาว แม้ว่าเม็ดฝนจะไม่ใหญ่ แต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกรำคาญใจได้
คนสี่คนเดินอยู่บนถนน คนที่เป็นผู้นำยากจะบอกได้ว่าเป็นชายหรือหญิง เพราะรูปโฉมงดงามอย่างยิ่ง ฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บกลับถือพัดพับอยู่ในมือ ไม่ได้คลี่มันออก แต่เอามันเคาะลงบนฝ่ามือเบาๆ เมื่อภาพนี้ปรากฎแก่สายตาของชาวบ้านแคว้นหนันเยวี่ยน หากไม่เป็นเพราะหน้าตาดีจริงๆ คงถูกมองว่าเป็นคนหยาบกระด้างไร้รสนิยมไปแล้ว
คนทั้งสี่เดินอยู่บนถนนใหญ่เส้นหนึ่ง คนหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวา จุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด
มีเด็กนักเรียนประถมวัยคนหนึ่งชื่อว่าเฉาฉิงหล่าง เดิมทีเดินออกจากตรอกที่ตั้งของบ้านมาถึงถนนแล้ว เพียงแต่ว่าจู่ๆ ฝนก็ตกลงมา จึงต้องวิ่งกลับบ้านไปหยิบร่มกระดาษน้ำมันคันนั้น เวลานี้กำลังเดินมาถึงหัวเลี้ยว มองเห็นคนกลุ่มนั้นไกลๆ ก็เบิกตากว้างมองไปอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทว่าพอมองเห็นใบหน้าของคุณชายหนุ่มผู้นั้น รู้ว่าไม่ใช่คนที่ตัวเองหวังให้เป็น เฉาฉิงหล่างก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย รีบเดินเร็วๆ ไปทางโรงเรียนเพียงลำพัง อาจารย์จ้งที่สอนหนังสือไม่ชอบคนมาสายที่สุด
เฉาฉิงหล่างเห็นหน้าคุณชายผู้นั้นไม่ชัดเจนนัก
ทว่าฝ่ายหลังกลับมองเห็นเขาอย่างชัดแจ้ง ในฐานะเจ๋อเซียนที่กักเก็บตบะของทั้งร่าง ใช้ร่างจริงและดวงวิญญาณที่สมบูรณ์แบบมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อเท้าของลู่ไถแตะพื้นก็เท่ากับเลื่อนขั้นอยู่ในลำดับสิบคนใหม่ในใต้หล้าแล้ว
ส่วนผู้ติดตามสามคนที่ตามมาด้านหลังก็ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกัน แต่เพราะพื้นฐานที่ปูมาในใต้หล้าไพศาลไม่แน่นหนาพอ อีกทั้งอายุยังน้อย ดังนั้นอย่างมากสุดก็เป็นได้แค่ยอดฝีมือลำดับสองของยุทธภพแห่งนี้ ห่างจากปรมาจารย์ลำดับหนึ่งอยู่อีกไกล
หวนอินที่จิตใจแทบจะแหลกสลายในหายนะครั้งนั้น นักพรตหนุ่มหวงซ่างที่เปลี่ยนสำนักมาอยู่กับลู่ไถ
บุรุษหนุ่มต่างแซ่ผู้มากความสามารถที่ได้รับความสำคัญจากป้อมอินทรีบิน เถาเสียหยาง ซึ่งก็คือหมากที่ผู้ฝึกตนนอกรีตโอสถทองสวมกวานห้าขุนเขาตอกฝังไว้ในป้อมอินทรีบิน
ตอนนี้คนทั้งสามต่างก็เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของลู่ไถ
ลู่ไถเดินมาหยุดอยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวนและถนนเส้นหนึ่ง บริเวณใกล้เคียงมีศูนย์ฝึกวรยุทธ์อยู่แห่งหนึ่ง ลู่ไถมองเรือนหลังเล็กที่เคยเป็นที่พักของติงอิงและยาเอ๋อร์ตอนที่เข้ามาอยู่ในเมืองแห่งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นฐานแห่งหนึ่งของลัทธิมารในแคว้นหนันเยวี่ยน เพียงแต่ว่าหลังศึกใหญ่ปิดฉากลง ราชครูจ้งชิวเก็บบ้านหลังนี้เอาไว้ตลอดเวลา ลู่ไถเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นับแต่วันนี้ไป ที่นี่ก็คือเรือนพักส่วนตัวของข้า”
เขาหันหน้าไปสั่งความคนทั้งสาม “หวงซ่างเจ้าไปที่พรรคหูซานสักรอบหนึ่ง จะเรียนรู้วิชาจากอวี๋เจินอี้มาได้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของเจ้าเองแล้ว”
“ส่วนเถาเสียหยางและหวนอิน พื้นที่มงคลแห่งนี้ พวกเจ้าสองคนเดินเที่ยวได้ตามใจชอบ เถาเสียหยางสามารถสังเกตการณ์ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งหลงอู่ให้มากหน่อย หวนอินก็สามารถขยับเข้าไปใกล้เฉิงหยวนซานปี้เซิ่งที่อยู่นอกด่านคนนั้น”
“หกสิบปีให้หลัง หากพวกเจ้าไม่สามารถเลื่อนเป็นสิบอันดับแรกของใต้หล้าแห่งนี้ได้ ก็จงกลายเป็นสารอาหารที่บำรุงหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคลแห่งนี้ไปเถอะ จงภาวนาขอให้ตัวเองโชคดี ข้าได้มอบวัตถุคุ้มกันกายให้พวกเจ้าแต่ละคนไปแล้ว หากยังต้องถูกน้ำในยุทธภพเล็กๆ แห่งนี้ท่วมตาย ข้าก็รู้สึกว่าการพาพวกเจ้าลงมาที่นี่ช่างสิ้นเปลืองเงินนัก”
ลู่ไถโบกมือ คนทั้งสามจึงบอกลาอย่างนอบน้อมแล้วพากันจากไป
ห่างออกไปไม่ไกลคือคนของลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวที่จอนผมสองข้างล้วนเป็นสีออกเงิน ก็คืออาจารย์จ้งในสายตาของเฉาฉิงหล่าง วันนี้ไม่ใช่พวกนักเรียนเกเรซุกซน ชอบเอาแต่นอนที่มาสาย กลับเป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุยผู้นี้ที่มาสายเสียเอง
ลู่ไถยิ้มมองไปยังราชครูจ้งชิว “ข้ากับเฉินผิงอันเป็นเพื่อนกัน บุคลิกอันสง่างามของราชครูจ้ง ข้าเคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนแล้ว ดังนั้นข้าจึงเลือกมาปักหลักอยู่ที่แคว้นหนันเยวี่ยน”
จ้งชิวพยักหน้ารับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะคอยดู หวังว่าเจ้าจะไม่กังวลถึงสิ่งใด ต่อให้เจ้าจะเป็นเพื่อนของเฉินผิงอันก็ตาม”
เสียงพรึ่บดังหนึ่งครั้ง ลู่ไถคลี่พัดไม้ไผ่ที่เรียบง่ายแต่สง่างามด้ามนั้นออก พัดเอาลมเย็นและสายฝนเม็ดบางเข้าหาตัวเบาๆ ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เคยคิดหรือไม่ว่าอีกหกสิบปีให้หลังจะออกไปชมทัศนียภาพข้างนอก?”
จ้งชิวส่ายหน้า หมุนกายเดินจากไป
ลู่ไถไม่ถือสา เขาหันหน้าไปมองประตูบ้านที่ผ่านลมพัดแดดส่องมาหนึ่งปี ภาพเทพทวารบาลที่แปะไว้หน้าประตูสีซีดออกเก่าแล้ว เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ต้องเปลี่ยนภาพเทพทวารบาล ต้องติดกลอนคู่วันปีใหม่ แล้วยังต้องจ้างเด็กสาวหน้าตางดงามชวนมองมาเป็นสาวใช้หลายๆ คน หรือจะไปเยือนตำหนักคลื่นวสันต์ ขอสาวใช้มาจากหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อดี?”
หลังจากที่เฉินผิงอันโยนเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญที่สองลงไปในม้วนภาพวาด
พรรคหูซานแคว้นซงไล่ก็มีฝนโปรยปรายที่ตกลงมาทั้งที่แสงแดดเจิดจ้า ไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจ นอกจากอวี๋เจินอี้เจินเหรินเจ้าประมุขพรรคที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กเล็กซึ่งกำลังขี่กระบี่บินทะยานอยู่กลางอากาศ
อวี๋เจินอี้ขี่กระบี่ไปหยุดอยู่ตรงตำแหน่งที่สูงอย่างถึงที่สุด ลมแรงบนท้องฟ้าพัดให้ชุดเต๋าของเขาส่งเสียงดังพึ่บพั่บ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ลมมรสุมกำลังจะมาแล้ว”
จวนขุนนางแห่งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งหอบตำราเดินออกมา ผลกลับกลายเป็นว่ามีวัตถุหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า กระแทกลงบนพื้นเบื้องหน้าเขา เกือบจะกระแทกโดนเขา ทำเอาเด็กหนุ่มตกใจสะดุ้งโหยง
เพ่งมองอย่างละเอียดจึงเห็นว่าเป็นวานรขาวตัวน้อยผอมแห้งที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดสด
เจ้าตัวน้อยนอนอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง สีหน้าเลื่อนลอยมึนงงเสียยิ่งกว่าเด็กหนุ่มที่หอบตำราไว้เสียอีก
ส่วนในชายแดนทางทิศเหนือของแคว้นเป่ยจิ้นพื้นที่มงคลดอกบัว นักพรตหนุ่มคนหนึ่งยืนพึมพำอยู่ริมทะเลสาบ มองไปยังทะเลสาบที่ใสราวกับกระจก พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “ข้าเป็นใคร? ข้าเป็นใคร?”
เขาที่ปวดหัวราวหัวจะแตกกุมศีรษะทรุดตัวลงนั่งยอง
……
ในวัดร้าง บรรยากาศแปลกประหลาด
ทุกคนล้วนนั่งล้อมรอบกองไฟ
เฉินผิงอันพูดเพียงประโยคเดียวว่า “ลำบากแล้ว”
จูเหลี่ยนปฏิเสธขวดยาที่เฉินผิงอันส่งมาให้ บอกว่าอาการบาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้เหมาะสำหรับการยืดเส้นยืดสายมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองยาวิเศษของนายน้อย
จากนั้นเขาก็ชำเลืองตามองสุยโย่วเปียนที่เป็นขอบเขตร่างทอง คนคลั่งวรยุทธ์ถามด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อย ข้ามีประโยคหนึ่งที่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ลองว่ามาสิ”
จูเหลี่ยนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือด หลายจุดมีกระดูกขาวโผล่ออกมายังคงมีรอยยิ้มเป็นปกติ “ ‘กินเงินหนึ่งเหรียญ สิบเอ็ดสู่สิบ หลังจากนี้หยุดเดิน’ จะอธิบายว่าอย่างไร?”
สุยโย่วเปียนลุกพรวดขึ้นยืน ปราณสังหารทะยานพรวดพราด แต่กลับพบว่าหลังจากเฉินผิงอันเอากระบี่ชือซินเล่มนั้นกลับคืนไปก็ยังไม่ได้คืนให้นาง
สุยโย่วเปียนจ้องเขม็งไปที่ผู้เฒ่าหลังค่อม “จูเหลี่ยน เหตุใดเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้?!”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “น่าจะบอกว่าทุกครั้งที่ตายไป หลังจากที่ข้าใช้เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญเชิญพวกเจ้าออกมาจากภาพวาดอีกรอบ ผลสำเร็จบนวิถีวรยุทธ์ที่สูงที่สุดของพวกเจ้าในอนาคตก็จะถดถอยจาก ‘ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้’ ซึ่งเป็นขอบเขตสิบเอ็ดบนวิถีวรยุทธ์มาเป็นขอบเขตสิบ กินไปสองเหรียญก็เป็นได้แค่ปรมาจารย์ขอบเขตเก้าที่มีชื่อเรียกว่าขอบเขตยอดเขา หรือก็คือขอบเขตปลายทางในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปบนโลก”
สีหน้าของสุยโย่วเปียนเศร้ารันทด ทว่าปราณสังหารกลับยิ่งเข้มข้น
ทั้งเกลียดจูเหลี่ยน ทั้งแค้นเฉินผิงอันจนมิอาจระงับอารมณ์ได้
จูเหลี่ยนหัวเราะเฮอๆ “เข้าใจแล้ว ขอบคุณคุณชายที่ช่วยไขข้อข้องใจให้บ่าวเฒ่า”
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน เดินตรงออกไปนอกวัด “สุยโย่วเปียน ตามข้าออกไปข้างนอกหน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
สุยโย่วเปียนที่อยู่ในวัดสายตาเย็นชา
เฉินผิงอันยังคงไม่หันหน้ากลับมา เดินข้ามธรณีประตูออกไป “ภายในหนึ่งก้านธูป หากเจ้ายังไม่ออกไปพบข้า ข้าจะเผาม้วนภาพวาดทิ้งซะ เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่เจ้าติดค้างข้า ไม่ต้องคืนก็ได้”
สุยโย่วเปียนถึงได้เดินออกไปจากวัดร้างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สาวเท้าก้าวเร็วๆ ตามแผ่นหลังที่เดินอยู่บนทางภูเขานั้นไป
หลังจากสุยโย่วเปียนตามมาแล้ว ดูเหมือนเฉินผิงอันจะไม่กลัวว่านางจะเดือดดาลจนลงมือสังหารคนแม้แต่น้อย เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “สภาพจิตใจพังแล้ว วันหน้าจะยังฝึกกระบี่อะไรได้อีก? เจ้าสุยโย่วเปียนมีสติปัญญาเพียงเท่านี้เองหรือ ข้าว่าอันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องฝึกกระบี่แล้ว ถึงอย่างไรจะมีพันธนาการจากนักพรตเฒ่าตงไห่หรือไม่ เจ้าก็เดินไปได้ไม่ถึงจุดสูงสุดอยู่ดี”
นิ้วมือของสุยโย่วเปียนสั่นน้อยๆ
เฉินผิงอันที่อยู่ข้างหน้ายังคงเดินทอดน่องเชื่องช้า ปากก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เจ้าต้องตาย หากเจ้าอยากตายจริงๆ ก่อนหน้าเจ้าจะตาย ข้ามีคำพูดอยากเอ่ยให้เจ้าฟัง”
สุยโย่วเปียนเงียบงัน
……
หนึ่งเค่อต่อมา เฉินผิงอันกับสุยโย่วเปียนก็เดินตามกันกลับเข้ามาในวัดร้าง
แม้ว่าสีหน้าของสุยโย่วเปียนจะย่ำแย่มาก แต่ดูเหมือนสภาพจิตใจจะดีขึ้น ไม่หลงเหลือปราณสังหารอีกแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ไม่มีความคิดบ้าคลั่งที่อยากให้ทุกคนในวัดร้างตายไปพร้อมกับวิถีวรยุทธ์ที่พังภินท์ลงของนางด้วย
คนทั้งสองนั่งลงข้างกองไฟอีกครั้ง
เฉินผิงอันรับถ้วยข้าวที่เผยเฉียนยื่นส่งมาให้ เริ่มกินข้าวถ้วยที่สองของคืนนี้ เผยเฉียนที่ขี้ประจบและเฉลียวฉลาดยังคงนั่งอยู่ข้างกายเขา สองมือถือประคองผักดองถ้วยเล็ก เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ามาถึงใต้หล้าที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้แล้ว มีความคิดอะไรหรือไม่?”
คนทั้งสี่เงียบงันกันไปครู่หนึ่ง เป็นหลูป๋ายเซี่ยงที่เปิดปากด้วยรอยยิ้มก่อน “บนภูเขามีเรื่องอะไรให้ทำ? ใช้ดอกซงมาหมักสุรา ใช้น้ำฤดูใบไม้ผลิมาต้มชา ปรารถนาอยากจะมีอิสระเสรี”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “บนโลกนี้ที่ทำให้คนหวั่นไหวล้วนหนีไม่พ้นสิ่งของธรรมดา ดั่งน้ำบ๊วยในถ้วยกระเบื้องขาว ดั่งเกล็ดน้ำแข็งบนผิวน้ำ หวังได้ครองใจสาวงาม”
เว่ยเซี่ยนคิดแล้วก็พูดประโยคที่สอดคล้องกับสถานะฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของเขา “สังหารทหารนับล้านจนสิ้น บนกระบี่ยังทิ้งกลิ่นคาวเลือด”
เผยเฉียนเบิกตากว้าง “เหล่าเว่ย ผายลมรึไง เจ้าพูดประโยคที่เพราะๆ บ้างไม่ได้รึ?”
เว่ยเซียนพยักหน้ารับ “ประโยคนี้คือกลอนที่ปัญญาชนในแคว้นหนันเยวี่ยนมอบให้ข้า แต่หากให้ข้าแต่งกลอนเองล่ะก็ ก็น่าจะเป็น…ฝนกระหน่ำตกซ่าๆ ฟืนและข้าวต่างขึ้นราคา ม้านั่งเอามาเผาทำฟืน แม้แต่เตียงยังหวาดผวา”
เผยเฉียนถึงได้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เหล่าเว่ย กลอนบทนี้ดีกว่ากลอนบทก่อนหน้าเยอะเลย ขนาดข้ายังฟังเข้าใจ”
เว่ยเซี่ยนอืมรับหนึ่งคำ “ปีนั้นมีปัญญาชนหลายคนที่พูดอย่างจริงใจ บอกว่าข้ามีพรสวรรค์ด้านบทประพันธ์อย่างแท้จริง”
เผยเฉียนเหลือกตามองบน
สุยโย่วเปียนพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ยินดีติดตามอาจารย์ขึ้นแท่นสวรรค์ ยามว่างกวาดบุปผาร่วงโรยอยู่กับเซียน”
สุดท้ายเฉินผิงอันหันมาถามเผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้ม “เหลือแค่เจ้าแล้ว”
เผยเฉียนร้องอ๋าอย่างตกตะลึง กล่าวอย่างขัดเขินว่า “ข้ายังอ่านหนังสือได้ไม่เยอะ ตอนนี้ยังแต่งกลอนไม่เป็นหรอก”
เฉินผิงอันพุ้ยข้าวคำใหญ่ คีบผักดองมาหนึ่งชิ้น ยิ้มพูดว่า “ข้าก็ไม่ได้บอกให้เจ้าแต่งกลอนสักหน่อย”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที สีหน้าเบิกบานมีชีวิตชีวา “ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดความจริงแล้วนะ ห้ามโกรธ ห้ามด่าข้าด้วย!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เผยเฉียนพูดเสียงดัง “ข้าอยากอ่านหนังสือเล่มที่บางที่สุด กินอาหารที่แพงที่สุด ด่าคนที่เลวที่สุด ตีสุนัขที่ต่ำช้าที่สุด!”
เฉินผิงอันเกือบจะสำลักข้าวเพราะคำพูดของนาง
เผยเฉียนเห็นท่าไม่ดี รู้สึกว่าบางทีอาจเป็นเพราะปณิธานของตัวเองไม่ยิ่งใหญ่พอ จึงชำเลืองตามองไปยังไม้เท้าเดินป่าที่อยู่ข้างเท้า รีบพูดเสริมไปอีกว่า “ไม่อย่างนั้นก็เพิ่มอีกอย่างว่า…แหย่รังแตนที่ใหญ่ที่สุดด้วย ดีไหม?!”
เว่ยเซี่ยนพูดหน้าเคร่ง “อายุน้อยๆ กลับมีปณิธานที่เผด็จการถึงเพียงนี้”
เผยเฉียนหันไปยิ้มกว้างให้เว่ยเซี่ยน ยกนิ้วโป้งให้ “ยังคงเป็นเจ้าเหล่าเว่ยที่รู้ความ! สายตามีแววอย่างยิ่ง มิน่าเล่าถึงได้เป็นฮ่องเต้ เฮ้อ แค่ตอนนี้ยากจนไปสักหน่อย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า จากนั้นก็หัวเราะตามไปด้วย
นอกวัดร้าง ฝนหยุดแล้ว
—–